เป็นมนุษย์เงินเดือน ก็รวยได้ เพียงแค่กินปันผลเอา แต่ยังไงก็สู้เจ้าของทุนกิจไม่ได้นะ
หลังจากที่ได้ฟังควาเห็นจากหลายๆคน กลับกลายเป็นว่า เอาแต่มาโต้เถียงเอาผิดเอาถูก ไม่ก็ใช้ความคิดตัวเอง สรุปตัดสินอีกคน โดยเฉพาะคำพูดว่า จะลาออกทำไม ในเมื่อยังมีบ้านเช่า อสังหา ฟังแล้วก็รู้สึกว่า จริงๆเขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก แถมยังมีชีวิตที่สุ่ขสบายซะด้วยซ้ำ เผลอๆก็สามารถเลือกตำแหน่งที่ทำได้อีก เผลอๆก็อาจจะเป็นหลาน หรือ ลุกเจ้าของกิจการ ซึง่คนทัวไปนั้นเขาไม่มีตรงนี้ไง เขาก็เลยรุ้สึกเบื่อ อยากมีอิสระภาพ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น (ไม่ได้ถึงขนาดร่ำรวยแบบพวกต้นทุนบ้านดีนะ)
แล้วก็มีมนุษย์เงินเดือนอีกหลายๆคน ที่ชอบคิดว่า ลงทุนในหุ้น กินปันผล ทำให้ร่ำรวย สบายได้ ซึ่งมันก็ดูไม่ค่อยจะตรง และ นึกถึงความจริงซะเท่าไหร่ เพราะว่ามันมีค่าใช้จ่ายต่างๆเข้ามาอย่างมากมาย ยิ่งถ้าผ่อนรถ ผ่อนคอนโดอีก ไหนจะกินใช้หรูหราระหว่างเดือนอีกหล่ะ แล้วจะเอาที่ไหนเหลือไป ลงทุนในหุ้น พอพูดงี้ เดี๋ยวก็มีคนมาเถียง เงินเดือนเป็นแสน ก็อยากจะย้อนถามกลับไปนะ ถึงจะบอกว่าได้เงินเดือนเยอะ ก็อย่าลืมนะว่า ไอคนที่เป็นเจ้าของบริษัท เขามีรายได้มากกว่า ซึ่งเขาก็คงจะเอาไปลงทุนในหุ้นอยู่แล้วแระ ผลตอบแทนก็ย่อมจะได้มากกว่า มนุษย์เงินเดือนต่างๆอยู่แล้ว ถ้าไม่งั้นจะเขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างพนักงานได้หล่ะ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะราคาหุ้น เดี๋ยวนี้ ราคาแพงมาก แถมผัวผวน ไม่มีทิศทางแน่นอนอีก พวกหุ้นตัวใหญ่ ก็ขึ้นไม่มาก แม้จะมีปันผลให้บ้างก็ตาม
ซึ่งสาเหตุสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนทั่วไป ไม่สามารถลงทุนใหญ่โตได้ นั่นก็เพราะว่า เขาได้เงิน้อยกว่าคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ จริงอยู่ว่า มนุษย์เงินเดือน อาจจะดูสบายกว่า หลังเลิกงาน แต่ก็ต้องแลกกับความเหนื่อย เบื่อ หน่าย กับการเดินทาง เพื่อที่จะเข้าไปทำแลกค่าแรง ส่วนเจ้าของธุรกิจ แม้จะมีรายได้มากกว่า แต่ก็ต้องเครียด นอนน้อย เพราะต้องคอยคิดแก้ปัญหา ดูแลกิจการให้อยุ่รอด แต่ก็มีบางส่วน ที่ดูจะไม่คอ่ยเหนื่อยอะไรกับ การดูแลธุรกิจ อาจจะเนื่องจากพ่อแม่สร้างไว้ให้แล้ว โปรดอย่าเถียงเอาชนะผิดถูก เพราะที่ว่ามา เห็นมาหลายครั้ง ชีวิตคนมันไม่เท่ากัน อย่างไรถ้ามีอะไรที่จะแบ่งปัน เป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่น น่าจะดีกว่าเถียงเอาชนะ เพราะหลายๆคนก็เครียดกับการใช้ชีวิตกันมากอยู่แล้ว
เป็นมนุษย์เงินเดือน ก็รวยได้ เพียงแค่กินปันผลเอา แต่ยังไงก็สู้เจ้าของทุนกิจไม่ได้นะ
หลังจากที่ได้ฟังควาเห็นจากหลายๆคน กลับกลายเป็นว่า เอาแต่มาโต้เถียงเอาผิดเอาถูก ไม่ก็ใช้ความคิดตัวเอง สรุปตัดสินอีกคน โดยเฉพาะคำพูดว่า จะลาออกทำไม ในเมื่อยังมีบ้านเช่า อสังหา ฟังแล้วก็รู้สึกว่า จริงๆเขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก แถมยังมีชีวิตที่สุ่ขสบายซะด้วยซ้ำ เผลอๆก็สามารถเลือกตำแหน่งที่ทำได้อีก เผลอๆก็อาจจะเป็นหลาน หรือ ลุกเจ้าของกิจการ ซึง่คนทัวไปนั้นเขาไม่มีตรงนี้ไง เขาก็เลยรุ้สึกเบื่อ อยากมีอิสระภาพ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น (ไม่ได้ถึงขนาดร่ำรวยแบบพวกต้นทุนบ้านดีนะ)
แล้วก็มีมนุษย์เงินเดือนอีกหลายๆคน ที่ชอบคิดว่า ลงทุนในหุ้น กินปันผล ทำให้ร่ำรวย สบายได้ ซึ่งมันก็ดูไม่ค่อยจะตรง และ นึกถึงความจริงซะเท่าไหร่ เพราะว่ามันมีค่าใช้จ่ายต่างๆเข้ามาอย่างมากมาย ยิ่งถ้าผ่อนรถ ผ่อนคอนโดอีก ไหนจะกินใช้หรูหราระหว่างเดือนอีกหล่ะ แล้วจะเอาที่ไหนเหลือไป ลงทุนในหุ้น พอพูดงี้ เดี๋ยวก็มีคนมาเถียง เงินเดือนเป็นแสน ก็อยากจะย้อนถามกลับไปนะ ถึงจะบอกว่าได้เงินเดือนเยอะ ก็อย่าลืมนะว่า ไอคนที่เป็นเจ้าของบริษัท เขามีรายได้มากกว่า ซึ่งเขาก็คงจะเอาไปลงทุนในหุ้นอยู่แล้วแระ ผลตอบแทนก็ย่อมจะได้มากกว่า มนุษย์เงินเดือนต่างๆอยู่แล้ว ถ้าไม่งั้นจะเขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างพนักงานได้หล่ะ แต่ความจริงมันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะราคาหุ้น เดี๋ยวนี้ ราคาแพงมาก แถมผัวผวน ไม่มีทิศทางแน่นอนอีก พวกหุ้นตัวใหญ่ ก็ขึ้นไม่มาก แม้จะมีปันผลให้บ้างก็ตาม
ซึ่งสาเหตุสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนทั่วไป ไม่สามารถลงทุนใหญ่โตได้ นั่นก็เพราะว่า เขาได้เงิน้อยกว่าคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ จริงอยู่ว่า มนุษย์เงินเดือน อาจจะดูสบายกว่า หลังเลิกงาน แต่ก็ต้องแลกกับความเหนื่อย เบื่อ หน่าย กับการเดินทาง เพื่อที่จะเข้าไปทำแลกค่าแรง ส่วนเจ้าของธุรกิจ แม้จะมีรายได้มากกว่า แต่ก็ต้องเครียด นอนน้อย เพราะต้องคอยคิดแก้ปัญหา ดูแลกิจการให้อยุ่รอด แต่ก็มีบางส่วน ที่ดูจะไม่คอ่ยเหนื่อยอะไรกับ การดูแลธุรกิจ อาจจะเนื่องจากพ่อแม่สร้างไว้ให้แล้ว โปรดอย่าเถียงเอาชนะผิดถูก เพราะที่ว่ามา เห็นมาหลายครั้ง ชีวิตคนมันไม่เท่ากัน อย่างไรถ้ามีอะไรที่จะแบ่งปัน เป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่น น่าจะดีกว่าเถียงเอาชนะ เพราะหลายๆคนก็เครียดกับการใช้ชีวิตกันมากอยู่แล้ว