๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ขอตอบคำถามหลังไมค์ ว่าด้วย"การเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น"

ผมชอบให้คำจำกัดความตัวเอง  ในฐานะคนที่ยังชีพจากตลาดหุ้นว่า

"ผู้เดินทางแสวงหาเงิน ในตลาดหุ้น"  

คือเดินทางผ่านราคาหุ้น  ที่ทำให้เราเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้
แล้วแต่ว่าบนเส้นทางเดินไปสู่ความฝันที่เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้  
มันเป็นดั่งที่ใจเราต้องการ หรือไม่ต้องการ
บอกได้เลยว่า   ใครเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นแบบ

ไม่มีวิธีการลงทุน  ที่มีประสิทธิภาพสำหรับตัวเอง  

ไร้วินัยในการใช้วิธีการลงทุนที่มีประสิทธิ์ภาพสำหรับตัวเอง  

ไร้ชะตาที่ฟ้าลิขิต  แต่ชีวิตคนกำหนดเอง  สำหรับตัวเองแล้ว



ลงท้าย  จะกลายเป็น "ผู้เดินทางแสวงหาความหายนะ ในตลาดหุ้น"  
เศร้าเศร้าเศร้าเศร้าเศร้า

ช่วงวันหยุด มีเพื่อนสมาขิกสินธร หลังไมค์มาถามสองท่าน

ก่อนอื่น   ขอให้ดูภาพประกอบนี้ก่อน

ถ้าดูแล้วเข้าใจ   ก็จะสื่อสารเข้าใจกันง่ายขึ้น





คำถามหลังไมค์ จากเพื่อนสมาชิก





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




จะขอแยกคำถามเป็นหลายส่วน   และตอบเป็นส่วนๆ  ดังนี้ครับ


ผมอายุยังไม่มาก ลงทุนในตลาดบนแนวคิด "หาธุรกิจที่ดี ราคาต่ำกว่าเพื่อนๆ"
ในพอตมีหุ้นประมาณสิบสองตัวครับ เงินลงทุนปัจจุบันประมาณเก้าล้านบาท (ต้นทุนพอต)


คำตอบ

จำนวนเงินตั้งต้นระดับนั้น   จะว่าไปแล้ว คุณ...น่าจะมีอิสรภาพทางการเงินที่มากพอสมควรอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า  อยากจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ชีวิต มากกว่าเดิม
ที่มาของเงินลงทุน  ผมว่าถือเป็นข้อได้เปรียบด้านสภาพจิตใจ  
ที่จะสามารถรับแรงกดดันจากความต้องการใช้เงินได้เป็นอย่างดีมากๆ
ไม่มีแรงกดดันจากความต้องการใช้เงิน  
วินัยในการใช้วิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง ก็จะมีตามมา ? ดอกไม้ดอกไม้





ผมพยายามอ่าน/ดู นักลงทุน vi เก่งๆ ตามรายการที่ไปออก มีเป้าหมายอยากเติบโตเช่นนั้นบ้างครับ
อย่าง ดร. เริ่มจากไม่กี่สิบ ตอนนี้มีเป็นพันๆ และคนอื่นๆ อีกหลายท่าน



คำตอบ  

ขอแยกตอบเป็นรายละเอียดปลีกย่อยเป็นดังนี้ครับว่า  
จริงๆแล้ว  เราจะทำได้หรือไม่ได้ตามท่านเหล่านั้น  มันขั้นอยู่กับ

A .  ตลาดหุ้นเป็นใจ

อันนี้  คนที่สามารถชนะความกลัวของคนในตลาดหุ้นได้ และมองเห็นอนาคตที่ตลาดหุ้นจะเดินไป
คนนั้นถือว่า โชคดีมากๆ  ที่เข้ามาถูกจังหวะ เพราะตลาดหุ้นเป็นใจ

ลองย้อนกลับไปดูครั้งใหญ่ที่ตลาดหุ้นเป็นใจ  ในรอบ สิบห้า สิบหกปีที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นเป็นใจ ครั้งใหญ่มากๆ  มีสองครั้งคือ

ฟองสบู่แตกในปี ๒๕๔๐   ใครเข้าถูกจังหวะตอนที่ตลาดหุ้นเป็นใจ
ลองคิดเล่นๆ  ถ้าคุณ.... เริ่มใช้เงินเก้าล้านบาท
เข้าซื้อหุ้นตอนดัชนีหุ้นเหลือสองร้อยจุด  กับเริ่มเข้าซื้อหุ้นตอนดัชนีหุ้นขึ้นไปถึงพันหกร้อยจุด
อำนาจซื้อของเงินจำนวนเท่าๆกัน  มันแตกต่างกันถึง   แปดเท่าตัว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ใครเข้าตอนตลาดหุ้นเป็นใจ  ถือเป็นแต้มต่อสำคัญอันดับต้นๆ  ในการสร้างพอร์ต
เพียงแต่เราจะต้อง สามารถเอาชนะความโลภและความกลัวของคนในตลาดหุ้นให้ได้

ช่วงซับไพร์ม  ซึ่งหุ้นลงประมาณห้าสิบ หกสิบเปอร์เซนต์
ใครเข้าถูกจังหวะในตอนนั้น    เงินตั้งต้นเก้าล้านบาท ก็จะมีอำนาจซื้อของเงินมากกว่าตอนนี้ประมาณสามเท่า
ซึ่งยังน้อยกว่าช่วงฟองสบู่แตก  แต่มีนักลงทุนจำนวนมาก  
สามารถใช้ตลาดหุ้นเป็นใจ ช่วงซับไพร์ม   สร้างพอร์ตให้ก้าวกระโดดขึ้นมาได้
บางทีเหนือกว่า  คนที่เริ่มต้นจากตลาดหุ้นเป็นใจ ช่วงฟองสบู่แตกซะอีก เพราะเหตุผลข้อ B  


ข้อ B  หุ้นที่เราเข้าไปซื้อเป็นใจ


ใครเจอหุ้นสิบเด้ง  ยี่สิบเด้ง เพราะกล้าถือยาว  คงเข้าใจดีว่า พอร์ตมันจะโตแบบคาดไม่ถึงได้อย่างไร

ข้อนี้คงไม่ต้องอธิบายมาก  
แต่ปัญหาที่ยากที่สุดคือ  เราจะหาหุ้นสิบเด้ง ยี่สิบเด้งได้จากไหน ?
อันนี้ยอมรับว่า  ก็จนปัญญาที่จะตอบเหมือนกันครับ  เศร้าเศร้าเศร้า

ข้อ C   จำนวนเงินที่ใช้ซื้อหุ้นที่เป็นใจ  


จำนวนเงินจะเป็นใจหรือไม่  ก็ขึ้นอยู่กับว่า มันเป็นเงินกี่เปอร์เซนต์ของมูลค่าพอร์ตโดยรวม
ถ้าใช้เก้าล้านบาท เข้าไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว  แล้วราคาหุ้นชึ้นจนกำไรสิบเด้ง
เงินเก้าล้านบาท จะกลายเป็น  เก้าสิบเก้าล้านทันที
แต่ถ้าใช้เงินเพียงห้าเปอร์เซนต์ของพอร์ตเก้าล้าน เข้าไปซื้อ
พอร์ตโดยรวมก็จะโตจากหุ้นตัวนี้เพียง สี่ล้านห้าแสนบาท

มันกลับไปที่ผมเคยพูดออกรายการมันนี่ทอล์คว่า
เราจะลงทุนแบบสวนสัตว์เชียงใหม่ หรือสวนสัตว์เขาดิน

ถ้าผมซื้อไอเฟค  ในปริมาณเปอร์เซนต์ของพอร์ต  เท่ากับตอนซื้อประกันคุ้มภัย
พอร์ตตอนนี้  ก็คงจะแตะร้อยล้านไปแล้ว

แต่ "กล้า" ซื้อแค่ ไม่ถึงหกเจ็ดเปอร์เซนต์ของพอร์ต   สิบเด้งที่ได้
ก็เลยไม่สามารถพาพอร์ตแตะร้อยล้าน  อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06

ลองนึกดู  ถ้าดร.นิเวศน์ซื้อเซเว่นไว้แค่ห้าเปอร์เซนต์ของเงินลงทุนในพอร์ต
ตอนนี้  ดร.นิเวศน์ท่านจะมีมูลค่าพอร์ตเท่าได

ถ้าเสี่ยยักษ์ไม่ได้กำไรหนักๆจาก ปตท. ตัวเดียว  เจ็ดร้อยล้านบาท
ตอนนี้  พอร์ตเสี่ยยักษ์จะมีมูลค่าเท่าใด  




ข้อ D  เครื่องมือและวิธีการที่ใช้ในการลงทุน  มีประสิทธิภาพและมีวินัยในการใช้ อย่างยั่งยืน


ไปๆมาๆ  ผมว่า ข้อนี้แหละ สำคัญกว่า ข้อ a  b  c  รวมกันซะอีก
เพราะมันจะเป็นคำตอบได้ว่า  
ในที่สุดพอร์ตเราจะโดได้แค่ไหน    
ต่อให้ตลาดหุ้น ราคาหุ้น  จำนวนเงินที่ซื้อเป็นใจ จนเราทำสิ่งที่เกินความสามารถของเรา
ถ้าขาดข้อ D   ในที่สุดก็อาจจะหมดตัวได้เหมือนกัน

ผมมีความเชื่อมานานแล้วว่า  
เราจะเดินทางแสวงหาเงินได้จากตลาดหุ้นหรือเสียเงินให้กับตลาดหุ้นมากน้อยแค่ไหน
มันขึ้นกับความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของเราว่า  มันมีแค่ไหน ได้ทำอะไรเกินตัวหรือเปล่า
สิ่งนี้มันสำคัญกว่าความรู้ทั่วๆไป  ไม่ว่าความรู้ด้านปัจจัยพื้นฐานหรือด้านกราฟ

ดังนั้นบางคนเลยรวยจากแนววีไอ  บางคนรวยจากการใช้กราฟ  บางคนรวยจากการใช้จิตวิทยามวลชน ฯลฯ

สองปีมานี้  ยอมรับว่า  วิธีการที่ผมใช้  
ไม่สามารถหาหุ้นที่มีแต้มต่อมากๆในการเข้าซื้อ
ได้แต่ถือหุ้นที่ซื้อมาตอนมีแต้มต่อมากๆ เอาไว้เท่านั้น

ในขณะที่พวกเชี่ยวชาญเรื่องกราฟ  พอร์ตจะโตมากกว่า
จากการจับตาดูการเตลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยตรง
แล้วหาแต้มต่อเข้าซื้อหุ้น

ข้อ E   คนคำนวนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต  

ข้อนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ทั้งนั้น  









แต่ผมลองมองดูผลตอบแทนของผม ผมว่าอย่างเก่งก็ได้ 10-20% ต่อปี
ซึ่งคิดอย่างไรก็ไม่น่าจะไปได้ไกลดังนั้นจริง (เคยได้ยินว่าแม้กระทั่งคุณปู่บัฟเฟตเองก็มีผลตอบแทนแค่ 20%กว่าต่อปี)


คำตอบ

จำได้ว่า แม้แต่ไอน์สไตน์ก็เคยบอกว่า   ไม่มีอะไรมหัศจรรย์เท่ากับดอกเบี้ยทบต้น  
ลองทบต้นดูซิครับ  ว่าพอร์ตในอีกสามสิบปีข้างหน้า จะเป็นเท่าไร  
ถ้าทบต้นเพียงแค่ปีละ สิบเปอร์เซนต์  ถ้าทบต้นเพียงปีละสิบห้าเปอร์เซนต์หรือยี่สิบเปอร์เซนต์ จากตอนนี้
คนที่ไม่ได้หวังรวยเร็วๆ  รวยง่ายๆ รวยมากๆ ซึ่งมันเป็นความสามารถเฉพาะต้วของคนบางคนเท่านั้น
ลงท้ายอาจจะรวยมาก รวยยั่งยืนก็ได้ครับ  



อยากถามคุณอาว่า จากประสบการณ์ที่ลงทุนเห็นตลาดมานาน
ผลตอบแทนจากตลาดมันมีโอกาสได้สูงแบบนั้นได้ไหมครับ มีแนวทางใด หรือมีอะไรชี้แนะให้ด้วยครับ


คำตอบ  
ลองย้อนกลับไปอ่าน  คำตอบข้างบน  ว่าด้วยข้อ a  b c  d  e  ดูครับ

ทั้งหมดมันต้องผสมผสานกันอย่างลงตัว  ถึงจะเป็นไปได้
แต่ลองตอบตัวเองดู
คนอ่านหนังสือของวอเรน  บุฟเฟต์ มีหลายสิบล้านคน
อ่านหนังสือของ ดร.นิเวศน์  มีนับล้านคน

ทุกวันนี้ ในตลาดหุ้นโลก มีอย่างวอเรน บัฟเฟต์กี่คน  
ในตลาดหุ้นไทย  มีอย่างดร.นิเวศน์แค่กี่คน ?

คนที่เริ่มต้นด้วยเงินเท่ากันกับ
เสี่ยปู่  เสี่ยยักษ์  เสี่ยป๋อง  คุณ *aqua* (ในห้องสินธร) ดร.นิเวศน์ อาจารย์ไพบูลย์ ฯลฯ
มีคนที่พอร์ตแตะพันล้าน กี่คน ?


ความรู้อาจจะรู้เท่ากันหมดได้ไม่ยาก  
แต่ที่นักลงทุนจะมีแตกต่างก็คือ
ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานชีวิตแต่ละคน มันมีไม่เท่ากันครับ


คนที่เตะบอลเป็น
ในโลกนี้น่าจะมีนับพันล้านคน  เตะบอลเก่งน่าจะมีนับสิบล้านคน
เตะบอลเก่งจนเป็นอาชีพมีนับแสนคน
แต่มีขาสองข้างของเมสซี่ และอัจฉริยะลูกหนังคนอื่นๆ แค่สองสามร้อยคนเท่านั้น
ที่ทำสิ่งที่โค้ชสุดยอดอัจฉริยะคนไหน ก็สอนให้ไม่ได้




หรือผมตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป ลงทุนในตลาดเราควรตั้งเป้าไว้ประมาณไหนครับ

คำตอบ
ข้อนี้ขอตอบว่า   หลังจากเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นมานานมาก

ทุกคนต้องถามตัวเองว่า

ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับคนที่เหนือว่าเรา หรือคนที่ด้อยกว่าเรา


เราก็พึงพอใจในชึวิตของเราเองหรือไม่

ถ้าตอบได้ว่า รุ้สึกพึงพอใจในชีวิตตัวเอง  
ผมถือว่า  นักลงทุนคนนั้นเป็นคนที่ประสพความสำเร็จในการลงทุน
ไม่ว่าพอร์ตจะเป็นแค่หนึ่งหมื่น  หนึ่งแสน หนึ่งล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน

จริงๆแล้ว ผมไม่เคยตั้งเป้าหมายเลยว่า  จะต้องมีเงินเท่าไร ชีวิตถึงจะมีความสุขมากๆ
ขอแค่มีเงินในระดับหนึ่ง  
ที่ทำให้สามารถใช้ชีวิตทางร่างกายได้อย่างสะดวกสบาย   แล้วรู้สึกพึงพอใจในชีวิตตัวเอง

ตอบแบบเล่นสำนวนก็คงจะประมาณว่า

เป้าหมายของผมคือ  ทำอะไรก็ได้  ที่ทำให้รู้สึกว่าเราพอใจในชีวิตของเราก็แล้วกันครับ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



เนื่องจาก พิมพ์ข้อความเกินตัวอักษรหนึ่งแสนตัว (คงนับรวมภาพประกอบ)  
ทำให้โพสต์ต่อไม่ได้
ขอย้ายอีกคำถามจากเพื่อนสมาชิกไปตอบ ในความคิดเห็นที่ ๕ ครับ

http://pantip.com/topic/32966663/comment5
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่