แนวเรื่อง : ระทึกขวัญ/สยองขวัญ
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)
บทที่ 2 : ห้องสุดท้ายปลายทางเดิน
“โอม! ปิดเทอมแล้ว นายจะกลับบ้านรึเปล่าวะ” เสียงทุ้มใหญ่คล้ายตัวโกงในหนังสมัยก่อนดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดของรัตติกาล
“ยังไม่รู้ว่ะ กูว่าจะลองหางานทำฆ่าเวลา ไม่ค่อยอยากขอเงินพ่อ แต่จะให้กลับไปช่วยพ่อ กูก็ไม่เอาว่ะ ก็รู้อยู่ว่าทำไม... แล้วล่ะสิงห์ จะกลับไปช่วยอาม๊าขายของไหม” เด็กหนุ่มผิวสีดำแดงส่งเสียงตอบ พร้อมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังแสดงภาพใบหน้าอันคมเข้ม ซ้ำยังไว้หนวดไว้เคราของตน แม้จะไม่ได้มากมายแบบที่มองแล้วคิดถึงภาพของมหาโจร แต่มันก็ทำให้เขาแลดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุจริงหลายปี เพื่อถามอีกฝ่ายบ้าง
“แต่จริง ๆ กลับบ้านก็ดีนะ ม๊าเขาจะได้เห็นหน้าคร่าตาลูกชายสุดที่รักของเขาแบบตัวเป็น ๆ บ้าง ไม่ใช่แค่ทางวีดีโอคอลล์ อย่างทุกที กูว่านะ อาม๊าคงดีใจน่าดู คิดภาพออกเลยว่ะ ม๊าคงจะวิ่งเข้าไปกอด แล้วหอมแก้ม ซ้ายที ขวาทีแน่นอนว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะของโอมช่างฟังดูสะใจตัวผู้พูดเสียจริง จนทำให้ผู้ถูกเอ่ยถึงเองต้องหันกลับ เพื่อขอดูใบหน้าเพื่อนรักซึ่งกำลังหัวร่องอหายอย่างสะใจ แบบที่ภาษาวัยรุ่นเรียกกันว่า ‘แซบเวอร์’
“แซวเล่นนี่สนุกที่สุดละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โอมพูดย้ำอีกหน ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังกว่าเดิม นึกขำในท่าทางของเพื่อนสนิทที่กำลังใช้ตาชั้นเดียวของตัวเองจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะบุ้ยปากเบือนหน้าเรียบเนียนละม้ายสตรีเพศหนีไปอีกทาง พลางกอดอก บิดเรือนร่างขาวสูงดูสะอาดสะอ้านไปมาเลียนแบบท่าทางของสาวน้อยขี้งอน ตามประสาคนทะเล้น
ทั้งโอม และสิงห์เป็นเพื่อนสนิท รู้จักกันตอนเข้าเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัย ต่อมาสิงห์จึงมาขออยู่ที่ห้องเดียวกันกับโอมด้วย เพื่อจะได้ช่วยหารค่าเช่าหอ แบ่งเบาภาระทางการเงินของเพื่อนสนิท แล้วในที่สุดทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ้ก ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘โอมอยู่ที่ไหน สิงห์ย่อมอยู่ที่นั่น’ เป็นคู่ซี้หมากรุกให้เพื่อนในคลาสต่างเรียกกันแบบหยิกแกมหยอกอย่างสนุกปาก
เพราะสิงห์มีรูปร่างสูงผิวขาวจึงได้อีกฉายาว่า ‘ม้าขาว’ เป็นของแถม ส่วนในทางกลับกัน โอม ซึ่งเป็นหนุ่มคมเข้ม รูปร่างกำยำล่ำสัน ค่าความสูงตามมาตรฐานชายไทย แต่ถ้าเทียบกับม้าขาวเพื่อนซี้แล้ว เขาจะดูเตี้ยไปในทันที จึงได้ฉายาเพื่อให้เข้ากันว่า ‘โคนดำ’
“ไม่อ่ะ เรากลัวนายอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา เราคุยกับม๊าแล้วว่า จะหางานทำดูบ้าง อาจจะแค่กลับไปเยี่ยมสักครั้ง จะได้พาเพื่อนสนิทไปให้ม๊าดูหน้าด้วย ฮ่า ฮ่า ม๊าเราเขาอยากรู้จักรูมเมท ลูกชายเขาอ่ะ เขาพูดหลายทีแล้ว” สิงห์ทิ้งจังหวะความเงียบอย่างมีชั้นเชิง จนโอมหันหน้ามา จึงยืดตัวตรงกอดอกแล้วพูดต่อ
“เอ้อ! เราอนุญาตให้นายเรียกม๊าเราว่าม๊าได้นะ เผื่อนายจะอิจฉา ไม่แน่... ม๊าอาจจะวิ่งเข้าไปหอมแก้มนายด้วยก็ได้ ฮ่า ฮ่า” สิงห์แอบหยิกหยอกเพื่อนสนิทบ้างเป็นการเอาคืน พร้อมกับแสดงสีหน้าแบบผู้ชนะ ทว่าภายในแววตากลับมีลับลมคมในบางอย่างซุ่มซ่อน
“เออ ๆ ๆ! ตามนั้น แล้วค่อยว่ากัน นอนเถอะ ห่า! นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว กูง่วง” โอมตอบรับคำเพื่อนก่อนจะหาวออกมาเสียงดังอย่างอดไม่อยู่
เด็กหนุ่มผิวขาวยิ้มตอบอย่างมีความหมาย จากนั้นจึงกระโดดลงบนเตียงขนาดหกฟุตจนเกิดเสียงดังฟุ่บ ทำให้เพื่อนซี้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก่อนแล้ว เด้งขึ้นจากฟูกราวกับติดสปริง
ด้วยความหมั่นไส้ โอมจึงประเคนกำปั้นเข้าไปที่แขนของสิงห์เบา ๆ เป็นของกำนัล
“โอม เราขออะไรอย่างได้รึเปล่า” สิงห์แกล้งดัดเสียงให้สูงขึ้น แววตาใสแบ๊วจับจ้องไปยังใบหน้าของเพื่อนสนิท
“อะไรวะ”
“คือแบบว่า... คืนนี้... นาย... เอ่อ... นายช่วย...” สิงห์เงียบเสียงไปชั่วครู่ รอจนเพื่อนสนิทหันมาจึงค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงปรกติ “นาย อย่าแย่งผ้าห่มเราอีกนะเฟ้ย เราหนาวอ่ะ”
“เออ เออ แล้วจะถอดเสื้อนอนทำเชี่ยไรวะ” โอมสวนกลับแทบจะในทันที แม้ในความเป็นจริงแล้ว เขาเองอยากจะเขกหัวเพื่อนรัก โทษฐานกวนบาทาเกินกว่าเหตุอีกสักครั้งสองครั้งก็ตาม
“ไม่บอกหรอกเฟ้ย! คิดเอาเอง ฝันดี”
“เออ ก็เหมือนกัน ฝันดี”
แล้วความเงียบก็ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยให้นิทราแห่งค่ำคืนเข้าจุมพิตกับเปลือกตาที่กำลังปิดลงของคนทั้งคู่ ท่ามกลางอ้อมกอดของความมืด
...
“กรี๊ด...........................!” เสียงกรีดร้องอันเล็ก และแหลมสูงของหญิงสาวดังผ่าความเงียบขึ้นอย่างปริศนา ทำลายความสงบสุขที่ค่ำคืนประทานให้จนสูญสิ้น ม้าขาวลุกขึ้นนั่งด้วยดวงตาเบิกโพลง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงอาการของความตกใจ เขามองซ้ายทีขวาที เพ่งพิจเข้าไปในความมืดรอบตัว พลางใช้มือระดมกำปั้นเข้ากระทุ้งหน้าอกเพื่อนอย่างแรง จนอีกฝ่ายต้องสะดุ้งตื่นขึ้น
“โอ๊ย! จะทุบกูทำเชี่ยไรวะ ไอ้หล่มเป็ด!” โอมโจนตัวขึ้นนั่งพร้อมกับคำสบถอันแฝงระคนด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องซึ่งกำลังหันขวับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“นายไม่ได้ยินเหรอฟระ เสียงผู้หญิงกรี๊ดน่ะ” เพราะน้ำเสียงของสิงห์สั่นเครือเล็กน้อย พร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดผาดขึ้นตรงหางคิ้ว มันทำให้โอมเชื่อในสิ่งที่เพื่อนสนิทพูด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงนั้นด้วยก็ตามที
แต่แล้วความเงียบของทั้งคู่ก็ได้ถูกทำลายลง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ได้ยินแว่วผ่านเข้ามาจากทางด้านนอกของห้อง ปลุกสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นในตัวมนุษย์ให้ทำงานอย่างได้ผล เด็กหนุ่มผิวเข้มเด้งตัวขึ้นจากเตียงในทันที
“เอ้าเร็วสิวะ!” โอมแกล้งชวนส่งเสียงดังเพื่อเรียกสติของเพื่อนกลับคืนมา แต่ดูเหมือนจะยังไม่เร็วพอไปกว่าใจของเขาเอง
“ไปไหนฟระ” เสียงของสิงห์สั่นเครือ ระคนด้วยความสงสัย
“ไปดูดิ” เด็กหนุ่มผิวคล้ำเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท คว้าหมับที่แขน ฉุดดึงให้อีกฝ่ายต้องลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่เต็มใจนัก ด้วยรูปร่างอันแตกต่างกัน... แม้สิงห์จะตัวสูงกว่า แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานแรงของเพื่อนได้ พละกำลังอันมากมายเหลือเชื่อนั้นมาจากรูปร่างของโอมซึ่งผ่านการขัดเกลามาอย่างดีด้วย ‘อดีต’ “ไปเร็ว! ไปดูกัน”
ความตระหนกตกใจยังคงฉาบฉายอยู่ในแววตาของสิงห์ แต่ดูเหมือนคนเป็นเพื่อนกันจะดูออกได้อย่างง่ายดาย
“เร็วสิวะ! ไม่ต้องกลัว กูอยู่ด้วยทั้งคน” โอมจ้องหน้าเพื่อนด้วยแววตาอันมุ่งมั่น
เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะรู้จักถึงอดีตของโอม สิงห์จึงยอมข่มความกลัวไว้ เดินตามหลังเพื่อนไปแต่โดยดี
เด็กหนุ่มผิวเข้มหยุดยืนที่หน้าประตูชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองเพื่อนร่วมห้องอีกครั้ง สิงห์พยักหน้าให้เป็นเชิงตอบรับ โอมจึงบิดลูกบิดอย่างช้า ๆ ประหนึ่งกลัวจะมีอะไรสักอย่างพุ่งเข้าใส่
หอพักนี้เป็นหอนอกซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ดังนั้นผู้เช่าเกือบทั้งหมดเองจึงเป็นนักศึกษา ตามปรกติหอจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งผู้เช่าเอง เพื่อนผู้เช่า แฟน กิ๊ก ชู้ และต่างๆ นานา อีกมากมายสารพัด แต่ไม่ใช่ช่วงนี้แน่นอน ตอนนี้เป็นเวลาปิดเทอม หอพักซึ่งเคยมีคนมากมายเดินกันขวักไขว่ทั้งกลางวัน และกลางคืนจึงมีผู้คนอยู่บางตา ห้องพักทั้งหมดก็เกือบจะว่างเปล่า บ้างก็กลับบ้านต่างจังหวัด บ้างก็ไปเที่ยว บ้างก็ย้ายออก
ตรงโถงทางเดินทอดยาว คนสองสามกลุ่มรวมตัวคุยกันอยู่หน้าห้องที่เรียงรายกันกว่ายี่สิบห้อง ต่างคนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันถึงต้นตอของเสียงกรีดร้องปริศนา ซึ่งคาดว่า น่าจะดังมาจากห้องหนึ่งซึ่งอยู่สุดทางเดิน แต่น่าแปลก... กลับไม่มีใครสักคนกล้าเดินไปดูเหมือนที่โอมกับสิงห์กำลังจะทำ
หากเป็นละคร พวกเขาคงถูกเรียกว่า ‘หน่วยกล้าตาย’
โอมจูงมือเพื่อนสนิท พากันสาวเท้าทีละนิดไปตามทางเดินทอดยาว ผ่านไปทีละห้อง ๆ สมาธิจับจ้องอยู่เพียงด้านหน้า เตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน
“พี่สิงห์!” เสียงร้องเรียกที่สั่นเทาของเด็กสาวดังขึ้น ทั้งคู่หันมองตามในทันที แล้วก็ได้พบกับ เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเธอเป็นรูปไข่ เรียบเนียนได้ทรง ดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย รูปลักษณ์อันสวยงามของเธอ เปรียบประหนึ่งยาเสน่ห์ชั้นชั้นเลิศ ดึงดูดให้บุรุษเพศ ทั้งมวลพากันหลงใหลได้ปลื้ม
--- อ่านต่อด้านล่าง ---
หมู่บ้านเงาจันทร์ (Village of lunar's shadow) - ตอนที่ 2 ห้องสุดท้ายปลายทางเดิน [mystery-thiller]
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)
“โอม! ปิดเทอมแล้ว นายจะกลับบ้านรึเปล่าวะ” เสียงทุ้มใหญ่คล้ายตัวโกงในหนังสมัยก่อนดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดของรัตติกาล
“ยังไม่รู้ว่ะ กูว่าจะลองหางานทำฆ่าเวลา ไม่ค่อยอยากขอเงินพ่อ แต่จะให้กลับไปช่วยพ่อ กูก็ไม่เอาว่ะ ก็รู้อยู่ว่าทำไม... แล้วล่ะสิงห์ จะกลับไปช่วยอาม๊าขายของไหม” เด็กหนุ่มผิวสีดำแดงส่งเสียงตอบ พร้อมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังแสดงภาพใบหน้าอันคมเข้ม ซ้ำยังไว้หนวดไว้เคราของตน แม้จะไม่ได้มากมายแบบที่มองแล้วคิดถึงภาพของมหาโจร แต่มันก็ทำให้เขาแลดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุจริงหลายปี เพื่อถามอีกฝ่ายบ้าง
“แต่จริง ๆ กลับบ้านก็ดีนะ ม๊าเขาจะได้เห็นหน้าคร่าตาลูกชายสุดที่รักของเขาแบบตัวเป็น ๆ บ้าง ไม่ใช่แค่ทางวีดีโอคอลล์ อย่างทุกที กูว่านะ อาม๊าคงดีใจน่าดู คิดภาพออกเลยว่ะ ม๊าคงจะวิ่งเข้าไปกอด แล้วหอมแก้ม ซ้ายที ขวาทีแน่นอนว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะของโอมช่างฟังดูสะใจตัวผู้พูดเสียจริง จนทำให้ผู้ถูกเอ่ยถึงเองต้องหันกลับ เพื่อขอดูใบหน้าเพื่อนรักซึ่งกำลังหัวร่องอหายอย่างสะใจ แบบที่ภาษาวัยรุ่นเรียกกันว่า ‘แซบเวอร์’
“แซวเล่นนี่สนุกที่สุดละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โอมพูดย้ำอีกหน ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังกว่าเดิม นึกขำในท่าทางของเพื่อนสนิทที่กำลังใช้ตาชั้นเดียวของตัวเองจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะบุ้ยปากเบือนหน้าเรียบเนียนละม้ายสตรีเพศหนีไปอีกทาง พลางกอดอก บิดเรือนร่างขาวสูงดูสะอาดสะอ้านไปมาเลียนแบบท่าทางของสาวน้อยขี้งอน ตามประสาคนทะเล้น
ทั้งโอม และสิงห์เป็นเพื่อนสนิท รู้จักกันตอนเข้าเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัย ต่อมาสิงห์จึงมาขออยู่ที่ห้องเดียวกันกับโอมด้วย เพื่อจะได้ช่วยหารค่าเช่าหอ แบ่งเบาภาระทางการเงินของเพื่อนสนิท แล้วในที่สุดทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ้ก ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘โอมอยู่ที่ไหน สิงห์ย่อมอยู่ที่นั่น’ เป็นคู่ซี้หมากรุกให้เพื่อนในคลาสต่างเรียกกันแบบหยิกแกมหยอกอย่างสนุกปาก
เพราะสิงห์มีรูปร่างสูงผิวขาวจึงได้อีกฉายาว่า ‘ม้าขาว’ เป็นของแถม ส่วนในทางกลับกัน โอม ซึ่งเป็นหนุ่มคมเข้ม รูปร่างกำยำล่ำสัน ค่าความสูงตามมาตรฐานชายไทย แต่ถ้าเทียบกับม้าขาวเพื่อนซี้แล้ว เขาจะดูเตี้ยไปในทันที จึงได้ฉายาเพื่อให้เข้ากันว่า ‘โคนดำ’
“ไม่อ่ะ เรากลัวนายอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา เราคุยกับม๊าแล้วว่า จะหางานทำดูบ้าง อาจจะแค่กลับไปเยี่ยมสักครั้ง จะได้พาเพื่อนสนิทไปให้ม๊าดูหน้าด้วย ฮ่า ฮ่า ม๊าเราเขาอยากรู้จักรูมเมท ลูกชายเขาอ่ะ เขาพูดหลายทีแล้ว” สิงห์ทิ้งจังหวะความเงียบอย่างมีชั้นเชิง จนโอมหันหน้ามา จึงยืดตัวตรงกอดอกแล้วพูดต่อ
“เอ้อ! เราอนุญาตให้นายเรียกม๊าเราว่าม๊าได้นะ เผื่อนายจะอิจฉา ไม่แน่... ม๊าอาจจะวิ่งเข้าไปหอมแก้มนายด้วยก็ได้ ฮ่า ฮ่า” สิงห์แอบหยิกหยอกเพื่อนสนิทบ้างเป็นการเอาคืน พร้อมกับแสดงสีหน้าแบบผู้ชนะ ทว่าภายในแววตากลับมีลับลมคมในบางอย่างซุ่มซ่อน
“เออ ๆ ๆ! ตามนั้น แล้วค่อยว่ากัน นอนเถอะ ห่า! นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว กูง่วง” โอมตอบรับคำเพื่อนก่อนจะหาวออกมาเสียงดังอย่างอดไม่อยู่
เด็กหนุ่มผิวขาวยิ้มตอบอย่างมีความหมาย จากนั้นจึงกระโดดลงบนเตียงขนาดหกฟุตจนเกิดเสียงดังฟุ่บ ทำให้เพื่อนซี้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก่อนแล้ว เด้งขึ้นจากฟูกราวกับติดสปริง
ด้วยความหมั่นไส้ โอมจึงประเคนกำปั้นเข้าไปที่แขนของสิงห์เบา ๆ เป็นของกำนัล
“โอม เราขออะไรอย่างได้รึเปล่า” สิงห์แกล้งดัดเสียงให้สูงขึ้น แววตาใสแบ๊วจับจ้องไปยังใบหน้าของเพื่อนสนิท
“อะไรวะ”
“คือแบบว่า... คืนนี้... นาย... เอ่อ... นายช่วย...” สิงห์เงียบเสียงไปชั่วครู่ รอจนเพื่อนสนิทหันมาจึงค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงปรกติ “นาย อย่าแย่งผ้าห่มเราอีกนะเฟ้ย เราหนาวอ่ะ”
“เออ เออ แล้วจะถอดเสื้อนอนทำเชี่ยไรวะ” โอมสวนกลับแทบจะในทันที แม้ในความเป็นจริงแล้ว เขาเองอยากจะเขกหัวเพื่อนรัก โทษฐานกวนบาทาเกินกว่าเหตุอีกสักครั้งสองครั้งก็ตาม
“ไม่บอกหรอกเฟ้ย! คิดเอาเอง ฝันดี”
“เออ ก็เหมือนกัน ฝันดี”
แล้วความเงียบก็ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยให้นิทราแห่งค่ำคืนเข้าจุมพิตกับเปลือกตาที่กำลังปิดลงของคนทั้งคู่ ท่ามกลางอ้อมกอดของความมืด
...
“กรี๊ด...........................!” เสียงกรีดร้องอันเล็ก และแหลมสูงของหญิงสาวดังผ่าความเงียบขึ้นอย่างปริศนา ทำลายความสงบสุขที่ค่ำคืนประทานให้จนสูญสิ้น ม้าขาวลุกขึ้นนั่งด้วยดวงตาเบิกโพลง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงอาการของความตกใจ เขามองซ้ายทีขวาที เพ่งพิจเข้าไปในความมืดรอบตัว พลางใช้มือระดมกำปั้นเข้ากระทุ้งหน้าอกเพื่อนอย่างแรง จนอีกฝ่ายต้องสะดุ้งตื่นขึ้น
“โอ๊ย! จะทุบกูทำเชี่ยไรวะ ไอ้หล่มเป็ด!” โอมโจนตัวขึ้นนั่งพร้อมกับคำสบถอันแฝงระคนด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องซึ่งกำลังหันขวับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“นายไม่ได้ยินเหรอฟระ เสียงผู้หญิงกรี๊ดน่ะ” เพราะน้ำเสียงของสิงห์สั่นเครือเล็กน้อย พร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดผาดขึ้นตรงหางคิ้ว มันทำให้โอมเชื่อในสิ่งที่เพื่อนสนิทพูด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงนั้นด้วยก็ตามที
แต่แล้วความเงียบของทั้งคู่ก็ได้ถูกทำลายลง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ได้ยินแว่วผ่านเข้ามาจากทางด้านนอกของห้อง ปลุกสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นในตัวมนุษย์ให้ทำงานอย่างได้ผล เด็กหนุ่มผิวเข้มเด้งตัวขึ้นจากเตียงในทันที
“เอ้าเร็วสิวะ!” โอมแกล้งชวนส่งเสียงดังเพื่อเรียกสติของเพื่อนกลับคืนมา แต่ดูเหมือนจะยังไม่เร็วพอไปกว่าใจของเขาเอง
“ไปไหนฟระ” เสียงของสิงห์สั่นเครือ ระคนด้วยความสงสัย
“ไปดูดิ” เด็กหนุ่มผิวคล้ำเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท คว้าหมับที่แขน ฉุดดึงให้อีกฝ่ายต้องลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่เต็มใจนัก ด้วยรูปร่างอันแตกต่างกัน... แม้สิงห์จะตัวสูงกว่า แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานแรงของเพื่อนได้ พละกำลังอันมากมายเหลือเชื่อนั้นมาจากรูปร่างของโอมซึ่งผ่านการขัดเกลามาอย่างดีด้วย ‘อดีต’ “ไปเร็ว! ไปดูกัน”
ความตระหนกตกใจยังคงฉาบฉายอยู่ในแววตาของสิงห์ แต่ดูเหมือนคนเป็นเพื่อนกันจะดูออกได้อย่างง่ายดาย
“เร็วสิวะ! ไม่ต้องกลัว กูอยู่ด้วยทั้งคน” โอมจ้องหน้าเพื่อนด้วยแววตาอันมุ่งมั่น
เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะรู้จักถึงอดีตของโอม สิงห์จึงยอมข่มความกลัวไว้ เดินตามหลังเพื่อนไปแต่โดยดี
เด็กหนุ่มผิวเข้มหยุดยืนที่หน้าประตูชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองเพื่อนร่วมห้องอีกครั้ง สิงห์พยักหน้าให้เป็นเชิงตอบรับ โอมจึงบิดลูกบิดอย่างช้า ๆ ประหนึ่งกลัวจะมีอะไรสักอย่างพุ่งเข้าใส่
หอพักนี้เป็นหอนอกซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ดังนั้นผู้เช่าเกือบทั้งหมดเองจึงเป็นนักศึกษา ตามปรกติหอจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งผู้เช่าเอง เพื่อนผู้เช่า แฟน กิ๊ก ชู้ และต่างๆ นานา อีกมากมายสารพัด แต่ไม่ใช่ช่วงนี้แน่นอน ตอนนี้เป็นเวลาปิดเทอม หอพักซึ่งเคยมีคนมากมายเดินกันขวักไขว่ทั้งกลางวัน และกลางคืนจึงมีผู้คนอยู่บางตา ห้องพักทั้งหมดก็เกือบจะว่างเปล่า บ้างก็กลับบ้านต่างจังหวัด บ้างก็ไปเที่ยว บ้างก็ย้ายออก
ตรงโถงทางเดินทอดยาว คนสองสามกลุ่มรวมตัวคุยกันอยู่หน้าห้องที่เรียงรายกันกว่ายี่สิบห้อง ต่างคนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันถึงต้นตอของเสียงกรีดร้องปริศนา ซึ่งคาดว่า น่าจะดังมาจากห้องหนึ่งซึ่งอยู่สุดทางเดิน แต่น่าแปลก... กลับไม่มีใครสักคนกล้าเดินไปดูเหมือนที่โอมกับสิงห์กำลังจะทำ
หากเป็นละคร พวกเขาคงถูกเรียกว่า ‘หน่วยกล้าตาย’
โอมจูงมือเพื่อนสนิท พากันสาวเท้าทีละนิดไปตามทางเดินทอดยาว ผ่านไปทีละห้อง ๆ สมาธิจับจ้องอยู่เพียงด้านหน้า เตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน
“พี่สิงห์!” เสียงร้องเรียกที่สั่นเทาของเด็กสาวดังขึ้น ทั้งคู่หันมองตามในทันที แล้วก็ได้พบกับ เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเธอเป็นรูปไข่ เรียบเนียนได้ทรง ดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย รูปลักษณ์อันสวยงามของเธอ เปรียบประหนึ่งยาเสน่ห์ชั้นชั้นเลิศ ดึงดูดให้บุรุษเพศ ทั้งมวลพากันหลงใหลได้ปลื้ม
--- อ่านต่อด้านล่าง ---