[บทที่ 1] โจโฉแห่งห้องบ๊วย เด็กผู้ไม่เคยเรียนหนังสือ

สืบเนื่องจากความเดิมในตอนแรก (http://pantip.com/topic/32918988) ที่ผมได้เล่าเรื่องราวชีวิตของเด็กไม่เอาถ่านคนนึงที่สามารถคว้าเกียรตินิยมเหรียญทองมหาวิทยาลัยอินเตอร์แห่งหนึ่งได้สำเร็จ ในสายตาของคนอื่นมันไม่ได้มีความหมายเลยครับ คือไอ้เด็กเวรนี่เป็นใครก็ไม่รู้ ได้เหรียญทองแล้วยังไง หาเงินได้หรือเปล่า ประสบความสำเร็จในชีวิตมั้ย มีความสุขกับชีวิตจริงหรือเปล่า? คำตอบคือ ผมก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะเขียน สิ่งที่สำคัญคือ ผมเอามันมาได้ยังไง และสิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผมแค่ไหนต่างหาก

ก่อนที่เราจะเข้าเนื้อเรื่อง ผมอยากขยายความเพิ่มสักเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อ่านกำลังจะได้เจอครับ อย่างที่หลายๆคนก็เคยได้ยินกันมาบ้างอยู่แล้ว ว่าการที่เราจะเอาชนะหรือประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรสักเรื่อง มันต้องมาจากทั้งตัวเราและโชคชะตาเกื้อหนุนกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเราก็อาจจะไม่ได้มาในสิ่งที่เราปรารถนา วันนี้ครับ ผมจะไม่พูดถึงเรื่องโชคเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมจะมาพูดถึงเรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละอุปสรรคที่ผมมี อุปสรรคที่มันกั้นผมไว้กับเหรียญทองเหรียญนั้น ผมประสบกับอะไรมาบ้าง มันปิดกั้นผมขนาดไหน และผมผ่านมันมาได้ยังไง



บทที่ 1 : โจโฉแห่งห้องบ๊วย เด็กผู้ไม่เคยเรียนหนังสือ


"นี่ชาติที่แล้วกูไปทำเวรทำกรรมทำอะไรมา ถึงได้มีลูกเ-ี้ยขนาดนี้!!"


เอาเถอะครับ ผมรู้ว่าแม่ผมก็ชมผมเกินไป ในอันที่จริงก็อาจจะไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่าครับ มันก็ออกมาจากปากแม่ผมเอง และผมยังก็จำมันได้ขึ้นใจ ตอนนั้นผมอยู่มัธยมต้นที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ในขณะที่เพื่อนๆร่วมห้องบ๊วยคนอื่นๆยังสนุกเมามันส์กับการไล่กระทืบเพื่อนกันเองเพื่อสร้างอำนาจ ผมกระโดดไปเล่นอีกขั้นนึงแล้วครับ ผมด่าครูบาอาจารย์ คือถ้าจะวัดที่ความรุนแรงมันก็ยังไม่ได้รุนแรงถึงขั้นขโมยของหรือฆ่าคนตายหรอกนะครับ แต่ถ้ามองให้ลึกเข้าไปถึงจิตสำนึกของเด็กคนนี้แล้วจะสัมผัสได้เลยว่า สะ-ถุนขนาดนี้ไม่น่าจะเยียวยารักษาได้

นอกจากผมจะถูกเพื่อนๆและอาจารย์เรียกว่าไอ้หัวแดงแล้ว (เนื่องจากย้อมผมสีแดงไปโรงเรียน) ผมก็ยังมีอีกหนึ่งชื่อที่เค้าเรียกกันบ่อยๆว่า โจโฉ หรือเรียกกันสั้นๆว่า "ไอ้โจ" สาเหตุมาจากปลายคิ้วทั้งสองข้างของผมมันจะตวัดขึ้นเหมือนคิ้วตัวโกง ผสมกับความเป็นเด็กซ่าส์ที่มีฝีปากเป็นอาวุธ อาจารย์ท่านนึงก็เลยตั้งชื่อนี้ให้เป็นเกียรติคุณ

ที่ผ่านๆมาก็โดนเรียกผู้ปกครองบ่อยอยู่แล้วนะฮะ สอบตกบ้าง ชกต่อยกับเพื่อนบ้าง หนีเรียนบ้าง เคยที่ทุเรศที่สุดตอนป.5 ผมเอาปิ๊กกะจูออกมาเล่นกับเพื่อนๆ เล่นกันอยู่พักใหญ่จนมีอาจารย์หญิงเดินเข้ามาเห็น ก็เป็นเรื่องเป็นราวกันไปพอสมควร แต่ครั้งนึ้มันรุนแรงกว่าครั้งอื่นๆครับ ผมสังเกตได้จากอะไร ผมสังเกตได้จากน้ำตาของแม่ผมครับ แม่ผมโดนเรียกพบผู้ปกครองครั้งนี้ เพราะทางโรงเรียนแจ้งไปว่าลูกของคุณควรจะมาขอขมาอาจารย์ประจำชั้นที่มันพึ่งด่าสาดเสียเทเสียไป แม่ผมเดินทางมาโรงเรียนด้วยความอับอายแบบสุดๆ ไม่อยากให้ใครเห็นหน้า ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นแม่ของไอ้โจ แต่เป็นเพราะแม่ผมเป็นคนดีมากๆ เป็นคนอ่อนน้อมและเคารพผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์ แม่เลยตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องเดินทางมาขอขมาแทนลูกชายตัวเอง

ทันทีที่มาพบอาจารย์ แม่ผมก็บอกให้ผมขอโทษอาจารย์ท่านซะ แต่ผมนี่ไม่ยอมครับ ยิ่งทำให้ผมฉุนเฉียวขึ้นไปใหญ่ "ก็ในเมื่อเรื่องนี้บิ๊กไม่ผิด อาจารย์ไม่แฟร์กับบิ๊ก อาจารย์โคตรไม่เป็นธรรม เรื่องอะไรบิ๊กจะต้องขอโทษอาจารย์ด้วย อาจารย์สิที่ต้องขอโทษบิ๊ก" ไอ้เวรโจตอบแม่มันไปแบบนั้นครับ แม่ยืนนิ่งไปชั่วครู่และมองหน้าผมด้วยตาสั่นคลอ หลังจากนั้นก็หันไปกราบคุณครูที่ยืนอยู่ข้างๆ "หนูขอโทษจริงๆนะคะคุณครู ลูกหนูมันไม่เอาไหน หนูขอโทษแทนลูกหนูด้วย อย่าไปเอาผิดอะไรมันเลยนะคะ หนูขอโทษจริงๆคะ" ผมยืนมองด้วยความจองหองผสมกับประหลาดใจ

หลังจากนั้นแม่ผมก็เรียกผมขึ้นรถกลับบ้าน แม่เดินนำหน้าไม่หันมาพูดคุยกับผมสักคำ ระหว่างทางขับรถที่ใกล้จะถึงบ้าน อยู่ดีๆแม่ผมก็เหยียบเบรคกระทันหันกลางถนนสี่เลน พร้อมเอื้อมมือมาเปิดประตูข้างๆผมแล้วพูดว่า " -ึงลงจากรถกูไปเลยนะ ลงไป๊!!! นี่ชาติที่แล้วกูไปทำเวรทำกรรมอะไรมา ถึงได้มีลูกเ-ี้ยแบบนี้" ตอนนั้นผมช็อคเลยครับ ไม่เคยเห็นแม่เป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน เหมือนกับผมสัมผัสได้จริงๆว่าแม่ไม่ได้รักผมแล้ว ผมกลัวมากครับ ผมรู้สึกผิดมาก รู้สึกเกลียดตัวเองแบบเข้าไส้กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป ผมมองไปที่พื้นถนนคอนกรีต เสียงรถวิ่งผ่านบีบแตรกันสนั่น ผมกลัวมากจนไม่รู้จะทำยังไง แม่ผมเองก็ไล่แล้วไล่อีก แล้วผมจะไปไหน ผมจะนอนยังไง ผมจะกินข้าวยังไง มันน่ากลัวมากจริงๆครับที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนั้น และกับคนๆนั้น

ผ่านไปราว 5 นาที แม่ผมก็ใจเย็นลง แม่ปาดน้ำตาและเอื้อมมือมาปิดประตูผม ผมนี่นั่งเอ๋อเลยครับ งง- ไปไม่ถูก โจโฉนี่กลายเป็นพลทหารทันที ในขณะที่สมองผมยังชาอยู่ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป ผมได้แต่นั่งนิ่งๆคอยสังเกตและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ แต่ความจริงมันกลับต่างกับสิ่งที่ผมคิดอย่างสิ้นเชิง คุณแม่พาผมเข้าบ้าน หลังจากที่วางข้าวของเรียบร้อย แม่ก็หายเข้าไปในครัวพักใหญ่ ปล่อยให้ผมนั่งงง-ต่อไป แต่แล้วแม่ก็กลับมาพร้อมกับอาหารแสนอร่อย (เอาจริงๆคือไม่อร่อย แม่ผมทำอาหารไม่เป็น แต่ชอบทำให้ลูกกิน) แม่เดินมาหาผมหน้าตาปกติมากครับ แม่บอกว่า "เอ้า วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กินข้าวเยอะๆหน่อย จะได้แข็งแรง" แล้วแม่ก็เดินไปนั่งที่ประจำของเค้า เค้าหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบพร้อมถอนหายใจ

พลทหารโจ จากที่เอ๋อ-อยู่แล้ว ตอนนี้เลยกลายเป็นต๊องเลยครับ มันเหมือนกับกลัวแม่สุดขีด แม่สามารถฟาดผมด้วยอะไรก็ได้ แต่แม่ไม่ทำ แม่กลับพูดดีกับผมพร้อมทำกับข้าวมาให้ทาน เชื่อมั้ยครับ เกิดมาในชีวิตผมไม่เคยยกมือไหว้แม่เลยสักครั้ง ผมไม่รู้จักคำว่าขอโทษ ผมไม่รู้จักคำว่าขอบคุณ ยกมือเฉพาะที่พ่อแม่สั่งให้ทำเท่านั้น แต่กับข้าวจานนั้นครับ ข้าวต้มหมูหยอง มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงคำว่า "ขอบคุณ" คำขอบคุณนี้ไม่ได้เพื่อข้าวต้มหมูหยอง แต่มันมีให้สำหรับ "โอกาส" ที่แม่มอบให้ผม ผมรู้สึกตื้นตันมากที่แม่ให้อภัยผม ผมยกมือไหว้แม่แบบสวยที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ "ขอบคุณหม่าม้า.....บิ๊กขอโทษนะหม่าม้า" ผมไม่กล้าเอามือลงครับ ผมอายน้ำตาตัวเอง ผมไม่อยากให้แม่เห็นผมร้องไห้ แต่เสียงนี่คือแบบสั่นจนแทบจะพูดไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

ผ่านไปเกือบนาที กว่าผมจะทำใจเอามือที่พนมอยู่ลงได้ ผมมองแม่ไม่ชัดครับ น้ำตามันท่วมปิดวิสัยทัศน์หมด แต่ผมจำได้แม่นภาพในวันนั้นที่ผมเห็น แม่สูบบุหรี่เข้าปอดคำใหญ่และพ่นออกมา แม่หัวเราะพร้อมหันมาพูดกับผม "เดี๋ยวนี้น้องบิ๊กยกมือไหว้เป็นแล้วหรอค่ะ" (พูดในน้ำเสียงล้อเลียน) ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเหมือนได้โอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผมหัวเราะแก้เขินทั้งน้ำตา แม่ผมเองก็หัวเราะพร้อมน้ำตาเช่นกัน

หลังจากนั้นผมก็เริ่มมองโลกนี้เปลี่ยนไป ผมเริ่มมองตัวเองเปลี่ยนไป ผมเริ่มมองพ่อแม่ผมเปลี่ยนไป ถึงแม้หลังจากนั้นก็ยังคงทำเรื่องผิดอีกนานับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เปลี่ยนรากฐานความคิดของผมโดยสิ้นเชิง ผมดีใจที่ผมสามารถผ่านด่านแรกไปได้สำเร็จ ผมดีใจที่ผมสามารถสร้าง "สำนึก" ขึ้นมาได้ในความคิด การสำนึกที่ไม่ได้มาจากการลงโทษ ไม่ได้มาจากการตะคอกด่าของแม่ ไม่ได้มาจากการถูกชี้นิ้วสั่ง แต่มาจากความรักและโอกาสที่แม่มอบให้ หลังจากนั้นได้อีกหนึ่งปี โชคชะตาก็พัดพาผมไปสู่ห้องคิง และชีวิตแห่งการเรียนหนังสือของผมก็เริ่มขึ้น

MORE ON



by storyteller
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่