*** คำว่าวันนี้ทั้งหมดในกระทู้หมายถึงวันที่ 29 พย 57 นะครับ พอดีตั้งกระทู้นี้หลังเที่ยงคืน แต่ยังใช้คำว่าวันนี้ = =;
เรื่องของเรื่องเริ่มมาจากเมื่อราวๆ 1 เดือนก่อนลูกชายคนเล็กของผมเคยมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบและมีอ๊อกซิเจนต่ำกว่า 95 ทำให้หมอที่ รพ กรุงเทพฯ (เอ่ยชื่อ รพ นี้เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดในวันนี้ เพียงเอามาอ้างอิงอดีตเท่านั้น) ซึ่งทำการตรวจเลือด, รวมไปถึงการเอ็กซเรย์ปอดน้อง (เพื่อดูว่าติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียกันแน่) เพราะหมอสันนิษฐานว่าน้องคงติดเชื้อไวรัส RSV แน่นอน แต่ผลการตรวจกลับได้ผลเป็นลบ จากนั้นจึงดูดเสมหะน้องไปเพาะเชื้อและต้องแอดมิสและนอนในอ๊อกซิเจนเต๊นท์เพื่อเพิ่มจำนวนอ๊อกซิเจน (ซึ่งปกติจะต้องมีค่ามากกว่า 95)
แต่ระหว่างที่แอดมิสนั้นน้องติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มเติม (ในวันที่ 2 หลังแอดมิส) ทำให้หมอตัดสินใจให้ยาฆ่าเชื้อทันที (ซึ่งในขณะนั้นการเพาะเชื้อยังไม่แล้วเสร็จ) ในภายหลังพบว่าน้องติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียก็รักษาตัวโดยรวม 5 คืน (ตั้งแต่วันจันทร์กลับวันเสาร์ รวม 5 คืน) โดยอาการหลักๆ ที่น้องเป็นคือไอค่อนข้างหนัก, เสมหะเยอะทำให้ต้องทำกายภาพเคาะปอดและดูดเสมหะวันละ 3-4 รอบ หลังจากนั้นก็ได้ยาจำนวนหนึ่งและแลคโตบาซิลัสกลับมาทานต่อที่บ้านจนอาการหายดีในระยะเวลา 2-3 วันหลังจากกลับมาบ้าน
จนกระทั่งเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา (ประมาณเกือบ 3 สัปดาห์หลังอาการในรอบแรกหายสนิท) น้องก็กลับมามีน้ำมูกไหล (น้ำมูกใส) และเริ่มมีอาการไอใน 2 วันที่ผ่านมาซึ่งผมและแฟนได้ลองล้างจมูกน้องโดยการใช้สลิง (หลอดดูดยา) ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือด้วยตนเองกัน ซึ่งครั้งแรก (เมื่อวานตอนเช้า) ที่ทดลองทำพบว่ามีน้ำมูกออกมาเยอะพอสมควร (แรกๆ น้ำมูกมีสีเขียวเล็กน้อย แต่ล้างไปอีก 6-8 หลอดพบว่าหลังๆ มีแต่น้ำมูกใสๆ) หลังจากนั้นก็ล้างรอบเย็น และเมื่อเช้า (วันที่ 29 พย ได้ยินเสียงหายใจดังวี๊ดๆหลังตื่นอน) จึงทำการล้างจมูกรอบเช้าวันนี้อีกครั้งพบว่ามีแต่น้ำมูกใสๆ และจำนวนก็ลดลงจากครั้งแรกค่อนข้างมากและหลังล้างจมูกก็ไม่มีเสียงดังวี๊ดๆอีก แต่เนื่องจากในคืนวันจันทร์ที่ 1 ธค ผมจะต้องเดินทางไปต่างประเทศดังนั้นในช่วงสายๆ แฟนผมจึงชวนผมให้พาน้องมาตรวจเพื่อความสบายใจก่อนที่ผมจะไม่อยู่ รอบนี้ตัดสินใจเปลี่ยน รพ จากที่ปกติจะใช้บริการกรุงเทพฯ เป็นประจำ (ถ้ามีอาการค่อนข้างไม่ดี แต่ถ้าอาการเล็กๆ น้อยๆ มักจะไป รพ อื่นที่อยู่ใกล้บ้าน) เลยตัดสินใจมา รพ เอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องหมอเด็กพอสมควร (ขออนุญาตไม่บอกชื่อ รพ) ซึ่งจากการพบแพทย์หญิงท่านหนึ่งผมและแฟนก็ได้เล่าเรื่องประวัติ (ตามย่อหน้าแรก) หลอดลมอักเสบของน้องให้ท่านฟัง แต่จากการตรวจหมอก็พบว่าเสียงปอดน้องปกติมากและไม่มีไข้ใดๆ หมอจึงลงความเห็นว่าน้องน่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดา จึงให้ยาฆ่าเชื้อ Zithromax และยาลดน้ำมูกกลับไปทานเองที่บ้าน หลังจากออกจาก รพ ในช่วงราวๆ เที่ยงพอดี ก็ได้เดินทางไปแวะร้านอาหารเพื่อทานมื้อกลางวัน และแวะซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต (แวะซื้อของไม่ถึง 20 นาที) จากนั้นก็กลับบ้านทันที และด้วยความเพลียจึงพากันนอนพักผ่อนทั้งครอบครัว พ่อ แม่ และลูกชาย 2 คน (น้องที่กล่าวถึงมาตลอดนี้เป็นคนเล็กอายุเกือบๆ 6 เดือน ส่วนพี่ชายอายุ 3 ปี 4 เดือน ซึ่งรอบแรกน่าจะติดมาจากพี่ชายที่เรียนอนุบาล 1 แต่รอบนี้พี่ชายไม่มีอาการป่วยแต่อย่างใด) ตั้งแต่เวลาประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง จนถึงเกือบๆ 5 โมงเย็น
ซึ่งสัญญาณไม่ดีก็เกิดขึ้นหลังจากที่ตื่นนอน (นอนในห้องนอนซึ่งเปิดแอร์ 28 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติที่นอนกันทุกคืน) พบว่าน้อง (คนเล็ก) มีอาการหายใจผิดปกติ โดยเวลาหายใจจะมีอาการตัวโยนเล็กน้อย แต่เนื่องจากนัดกับคุณแม่และน้องสาวว่าจะไปทานมื้อเย็นกันจึง พาน้องทั้ง 2 คนไปด้วย ระหว่างทานอาหารก็รู้สึกว่าน้องหายใจแรงขึ้นหว่าเดิมจึงตัดสินใจเดินทางมา รพ (เดียวกับรอบเช้า) อีกครั้งซึ่งมาถึง รพ ราวๆ 3 ทุ่ม รอบนี้แพทย์หญิง (อีกคนหนึ่ง) แทบไม่ต้องฟังเสียงปอดก็สั่งให้น้องไปพ่นควันเพื่อขยายหลอดลมทันที โดยให้น้องพ่นควัน 2 รอบ (เว้นช่วงพัก 15 นาที) หลังจากพ่นควันครบ 2 รอบเมื่อหมอฟังเสียงปอดก็ยังรู้สึกว่ายังมีเสียงดังอยู่บ้าง แต่อาการหายใจหอบลดลงจนเกือบจะปกติดีแล้ว จึงมีข้อเสนอ 2 ข้อคือ
1. ควรแอดมิสเพื่อพ่นควันทุกๆ 4 ชม ตลอดคืน
2. พ่นควันอีกครั้งแล้วกลับบ้าน แต่ถ้าน้องมีอาการหายใจรุนแรงจะต้องมา รพ ทันที (หรือถ้าไม่มีอาการให้มา รพ อีกครั้งเช้าวันถัดไป)
แต่หลังจากปรึกษากันในครอบครัวพวกเราจึงตัดสินใจให้น้องเข้าแอดมิสไปเพราะหมอแจ้งว่า สาเหตุที่ตอนนี้ (เวลาราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง ณ เวลานั้น) น้องมีอ๊อกซิเจนปกติ (97) เพราะน้องต้องหายใจแรงและเร็วกว่าปกติ (ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตัวโยนขณะหายใจ) แต่ถ้าน้องฝืนจนเหนื่อยเกินไปการหายใจจะค่อยๆ ช้าลงทำให้ระดับอ๊อกซิเจนต่ำลงเรื่อยๆ ถ้าต่ำมากๆ (โดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 92) จะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงเดินเรื่องแอดมิส ซึ่งหลังจากทำเรื่องเสร็จผมก็กลับบ้านไปพร้อมน้องสาว คุณแม่ และลูกชายคนโตเพื่อพาลูกชายไปนอน และเตรียมของสำหรับค้างคืนสำหรับตนเองและแฟน โดยฝากลูกชายให้น้องสาวและคุณแม่ผมช่วยดูแล ส่วนวผมก็เตรียมของต่างๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จก็เดินกลับมา รพ อีกครั้ง ซึ่งมาถึง รพ ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ เมื่อมาถึงห้องก็พบว่า น้องกำลังให้น้ำเกลือ + ยาฆ่าเชื้อ และใช้ท่อพ่นควันขนาดใหญ่แบบปล่อยควันทั้งคืนแต่ไม่มีฝาครอบปิดปาก (ประมาณว่าไม่เน้นให้สูดเข้าไปเต็มๆ เหมือนแบบครอบปาก แต่เน้นการพ่นนานตลอดคืน) แฟนก็แจ้งว่าหมอเด็ก (อีกท่านหนึ่ง) แจ้งว่าควรให้ยาฆ่าเชื้อทันที (ซึ่งก่อนออกจากบ้านมาทานข้าวเย็น ผมได้ป้อนยาฆ่าเชื้อ Zithromax ที่ได้มาจากรอบเช้าไปแล้วต่างหาก) แต่เราก็ไม่ติดใจอะไรเพราะพยาบาลแจ้งว่าจากการตรวจเลือดเบื้องต้นพบว่าน้องมีเม็ดเลือดขาวมากผิดปกติ (ปกติจะมีประมาณ 12,000 แต่ของน้องมีมากกว่า 20,000) ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าติดเชื้อแบคทีเรียแน่นอน
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือแฟนผมแจ้งว่าพยาบาลเจาะมือน้องหลายเข็มพอสมควรกว่าจะสำเร็จ (ตั้งแต่เจาะเลือดและต่อท่อให้น้ำเกลือทิ้งไว้) และก่อนที่จะให้น้ำเกลือ (ซึ่งมียาฆ่าเชื้อผสมอยู่) น้องก็นอนหลับได้ดี แต่หลังจากให้น้ำเกลือไม่นานน้องจะมีอาการกระสับกระส่ายนอนหลับไม่ลง (หลับได้ไม่กี่น่าทีก็กระสัยกระส่ายตื่นขึ้นมาเป็นแบบนี้สลับกันไปตลอด) อาการเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมมาถึง (เกือบๆ ตีหนึ่ง) จนกระทั่งน้องเริ่มร้องหนักขึ้นประมาณตีสอง จนต้องอุ้มตลอด (ถ้าวางน้องและให้นอนบนตักจะร้องไห้ทันที) แต่ช่วงนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตุแขนน้องแต่อย่างใด จนกระทั่งใกล้ๆ ตีสาม (แฟนเริ่มเพลียจึงตกลงกันว่าสลับกันดูแลน้อง) ผมเลยสลับมาอุ้มน้องอีกครั้ง ในช่วงที่อุ้มจนน้องหลับตาคิดจะทดลองเอาน้องนอนคว่ำดูก็สังเกตุเห็นว่าแขน (ข้างที่ให้น้ำเกลือ) ของน้องบวมผิดปกติมาก (แว๊บแรกที่เห็นแทบจะเข้าใจผิดว่าแขนน้องหักแล้วกระดูกตรงข้อศอกแทงออกมาจนปูด) จึงรีบปลุกแฟนและปกเรียกพยาบาลทันที เมื่อพยาบาลทราบเรื่องก็รีบมาดูพบว่าน้องแขนบวมนิ้วบวมมาก พยาบาลจึงรีบถอดสายน้ำเกลือและแกะผ้าก๊อตและที่พันแขนน้อง (สำหรับกันเข็มงอ) ช่วงแรกที่แกะผ้าออกสังเกตุเห็นว่าบรเวณปลายนิ้วทั้ง 5 ของน้องเขียวพอสมควร จากนั้นพยาบาลก็รีบไปหาซองบรรจุเจล (สำหรับแช่เย็น หรือทำความเย็น) มาประคบแขนบริวเณที่บวม (โดยเอาผ้าห่อ แล้วประคบ) ซักประมาณ 4-5 นาที จากนั้นก็สอนให้ผมและแฟนประคบ ส่วนตัวพยาบาลก็ไปหาซองบรรจุเจลขนาดเล็กกว่าซองแรก (ซึ่งใหญ่มากไปมาเพิ่มอีก 2 ซอง) ใช้ผ้าห่อและประคบด้านบนและล่างของแขน โดยให้พยายามชูแขนให้สูงเพื่อให้เลือดย้อนกลับไปสู่หัวใจ แต่หลังจากหาซองเจลมาให้ก็สอนให้สลับประคบและแช่เย็นจากนั้นก็หายไปเกิน 10 นาที
ระหว่างที่พยาบาลหายไปผมจึงถ่ายรูปแขนและมือของน้องเอาไว้ และปรึกษากับแฟนว่าจะเอายังไงต่อไปดี? ควรแจ้งให้เปลี่ยนจากการยาฆ่าเชื้อผ่านน้ำเกลือเป็นกินโดยตรงแทนไหม? เมื่อเห็นว่าพยาบาลหายไปนานกว่า 10 นาทีจึงกดเรียกพยาบาลอีกครั้ง ครั้งนี้พยาบาลยกขบวนกันมา 3 คนเลยทีเดียว (คาดว่าคงจะได้ข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแล้ว เพราะผ่านมาเกือบ 30 นาทีหลังจากที่แจ้งเรื่องแขนบวมไปในรอบแรก) พยาบาลที่มาก็ช่วยกันอธิบายว่าอาการที่เกิดนี้น่าจะเกิดขึ้นเพราะเส้นเลือดน้องตีบเกินไปทำให้น้ำเกลือเกิดติดขัดเดินทางไม่สะดวก ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่กับเด็กจะมีความเสี่ยงมากกว่าเพราะเส้นเลือดจะมีขนาดเล็ก
ผมและแฟนเลยสอบถามว่าอาการแบบนี้อันตรายหรือไม่?
พยาบาลก็ตอบว่าไม่อันตรายเพราะไม่มีสารอันตรายใดๆ ในน้ำเกลือ (มีแค่น้ำเกลือ กับยาฆ่าเชื้อ)
ผมก็เลยถามต่อไปว่าถ้าพวกผมไม่เห็นแล้วอะไรจะเกิดขึ้น?
พยาบาลก็แจ้งกลับมาว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ต่อไปก็น่าจะทำให้เลือดอุดตันไม่สามารถเดินทางได้ตามปกติ... แต่ไม่ตอบต่อว่าแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
โอเค... พวกผมไม่เซ้าซี้ต่อ เปลี่ยนเป็นสอบถามเรื่องการเปลี่ยนไปป้อนยาโดยตรงแทนได้หรือไม่?
พยาบาลแจ้งว่าการให้ยาฆ่าเชื้อทำได้ 3 วิธีคือ
1) ให้พร้อมกับน้ำเกลือ - เป็นวิธีที่ได้ผลเร็วและได้ผลนานที่สุด มักให้ตอนค้าง หรือมีเวลาอยู่ รพ ซึ่งหลังจากแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านจะสั่งยาส่วนทีเ่หลือให้กลับไปทานต่อที่บ้าน
2) ฉีดเข้าตรงสะโพก
3) ให้ยาชนิดทาน วิธีนี้จะได้ผลน้อยและช้าที่สุด
ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีให้ยาหรือไม่จะต้องรอแพทย์เจ้าของไข้ตัดสินใจในวันพรุ่งนี้ แต่คืนนี้จะงดการให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อไปก่อน
ต่อมาผมสอบถามต่อว่า อาการที่น้องเป็นนี้เจ็บหรือไม่?
พยาบาลตอบว่าเจ็บ แต่อาการเจ็บจะหายไปในระยะเวลา 3-4 ชม จากนั้นจะรู้สึกตึงๆ และหนักแขนแทน
ผมถามต่ออีกว่าจากอาการที่นอ้งเป็นนี้ (อาการแขนและนิ้วมือบวม) ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ จึงน่าจะหายกลับมาเป็นปกติ
พยาบาลมาเช็คความบวมของแขนน้องและแจ้งว่าน่าจะประมาณ 3 วัน
จากนั้นก็แนะนำเรื่องวิธีการประคบและการชูแขน รวมไปถึงการกำมือ-แบมือ และการไล่เลือดกลับไปสู่หัวใจ แล้วก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ (อะไรก็ไม่ทราบ) หลังจากตอนนั้น (ตีสามครึ่ง) จนกระทั่งตอนนี้ (ตี 5) ก็มีพยาบาลหลักแวะมาดูครั้งเดียว โดยแวะมาดูจริงๆ พอเห็นผมนั่งหน้าโน๊ตบุ๊ค และแฟนผมนอนกอดน้องนอนหลับได้ก็กลับออกไป
ก็เลยอยากถามคำถามต่างๆ ดังต่อไปนี้ครับ
1. สาเหตุของการเกิดแขนบวมจากการให้น้ำเกลือ น่าจะเกิดจากอะไรกันแน่? เกิดจากเส้นเลือดของน้องตีบผิดปกติเอง หรือ พยาบาลเจาะไม่ถูกต้องเองกันแน่?
2. ถ้าสมมติว่าผมก็ไม่ได้สังเกตุ แฟนผมก็ไม่ทันสังเกตุ พยาบาลก็ไม่มาดูแล ปล่อยไปจนถึงเช้า (หรือนานจนน้องร้องไห้โฮลั่นห้อง จนพบสาเหตุ) จะเกิดอะไรขึ้น? และอันตรายแค่ไหน?
3. หากเหตุการณ์ในข้อ 2 เกิดขึ้นทาง รพ จะรับผิดชอบหรือไม่? เพราะ พยาบาลที่ดูแลมักจะเข้ามาดู (เมียงมอง) แล้วก็ไป อาจจะมีสอบถามนิดหน่อย แต่ไม่ได้มาตรวจดูน้องแต่อย่างใด (ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องตอนแจ้งเรื่องแขนบวมครั้งแรก พยาบาลคนนี้แจ้งว่า จริงๆ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะเด็กเล็ก จริงๆ เธอก็ควรที่จะตรวจสอบเป็นระยๆ แต่เมื่อเข้าห้องมาแล้วเห็นน้องนอนคลุมผ้าห่มก็เลยไม่อยากเข้ามาปลุกก็เลยลืมตรวจสอบไป) ถ้าเทียบกับ รพ กรุงเทพฯ พยาบาลจะเดินมาตรวจวัดอ๊อกซิเจน, อุณหภูมิคืนละหลายรอบ (ยอมรับว่าตอนนั้นก็รู้สึกเพลียที่พยาบาลเข้ามาบ่อยๆ เพราะพอพยาบาลเข้ามาเราก็รู้สึกตัวตื่นเลยนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม) แต่มาตอนนี้เลยรู้สึกขอบคุณพยาบาลเหล่านั้นที่มาตรวจเช็คลูกเราอย่างดี
4. การที่พยาบาลสอนวิธีประคบและให้พ่อแม่ต้องมาประคบแขนที่บวมของลูกด้วยตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่พยาบาลทำถูกแล้วหรือไม่? พยาบาลควรเป็นคนมาประคบหรือเปล่าครับ?
น้อง 5 เดือนแขนบวมเพราะการให้ยาฆ่าเชื้อพร้อมน้ำเกลือ น้องซวยเองหรือใครเป็นคนผิด?
เรื่องของเรื่องเริ่มมาจากเมื่อราวๆ 1 เดือนก่อนลูกชายคนเล็กของผมเคยมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบและมีอ๊อกซิเจนต่ำกว่า 95 ทำให้หมอที่ รพ กรุงเทพฯ (เอ่ยชื่อ รพ นี้เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดในวันนี้ เพียงเอามาอ้างอิงอดีตเท่านั้น) ซึ่งทำการตรวจเลือด, รวมไปถึงการเอ็กซเรย์ปอดน้อง (เพื่อดูว่าติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียกันแน่) เพราะหมอสันนิษฐานว่าน้องคงติดเชื้อไวรัส RSV แน่นอน แต่ผลการตรวจกลับได้ผลเป็นลบ จากนั้นจึงดูดเสมหะน้องไปเพาะเชื้อและต้องแอดมิสและนอนในอ๊อกซิเจนเต๊นท์เพื่อเพิ่มจำนวนอ๊อกซิเจน (ซึ่งปกติจะต้องมีค่ามากกว่า 95)
แต่ระหว่างที่แอดมิสนั้นน้องติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มเติม (ในวันที่ 2 หลังแอดมิส) ทำให้หมอตัดสินใจให้ยาฆ่าเชื้อทันที (ซึ่งในขณะนั้นการเพาะเชื้อยังไม่แล้วเสร็จ) ในภายหลังพบว่าน้องติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียก็รักษาตัวโดยรวม 5 คืน (ตั้งแต่วันจันทร์กลับวันเสาร์ รวม 5 คืน) โดยอาการหลักๆ ที่น้องเป็นคือไอค่อนข้างหนัก, เสมหะเยอะทำให้ต้องทำกายภาพเคาะปอดและดูดเสมหะวันละ 3-4 รอบ หลังจากนั้นก็ได้ยาจำนวนหนึ่งและแลคโตบาซิลัสกลับมาทานต่อที่บ้านจนอาการหายดีในระยะเวลา 2-3 วันหลังจากกลับมาบ้าน
จนกระทั่งเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา (ประมาณเกือบ 3 สัปดาห์หลังอาการในรอบแรกหายสนิท) น้องก็กลับมามีน้ำมูกไหล (น้ำมูกใส) และเริ่มมีอาการไอใน 2 วันที่ผ่านมาซึ่งผมและแฟนได้ลองล้างจมูกน้องโดยการใช้สลิง (หลอดดูดยา) ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือด้วยตนเองกัน ซึ่งครั้งแรก (เมื่อวานตอนเช้า) ที่ทดลองทำพบว่ามีน้ำมูกออกมาเยอะพอสมควร (แรกๆ น้ำมูกมีสีเขียวเล็กน้อย แต่ล้างไปอีก 6-8 หลอดพบว่าหลังๆ มีแต่น้ำมูกใสๆ) หลังจากนั้นก็ล้างรอบเย็น และเมื่อเช้า (วันที่ 29 พย ได้ยินเสียงหายใจดังวี๊ดๆหลังตื่นอน) จึงทำการล้างจมูกรอบเช้าวันนี้อีกครั้งพบว่ามีแต่น้ำมูกใสๆ และจำนวนก็ลดลงจากครั้งแรกค่อนข้างมากและหลังล้างจมูกก็ไม่มีเสียงดังวี๊ดๆอีก แต่เนื่องจากในคืนวันจันทร์ที่ 1 ธค ผมจะต้องเดินทางไปต่างประเทศดังนั้นในช่วงสายๆ แฟนผมจึงชวนผมให้พาน้องมาตรวจเพื่อความสบายใจก่อนที่ผมจะไม่อยู่ รอบนี้ตัดสินใจเปลี่ยน รพ จากที่ปกติจะใช้บริการกรุงเทพฯ เป็นประจำ (ถ้ามีอาการค่อนข้างไม่ดี แต่ถ้าอาการเล็กๆ น้อยๆ มักจะไป รพ อื่นที่อยู่ใกล้บ้าน) เลยตัดสินใจมา รพ เอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องหมอเด็กพอสมควร (ขออนุญาตไม่บอกชื่อ รพ) ซึ่งจากการพบแพทย์หญิงท่านหนึ่งผมและแฟนก็ได้เล่าเรื่องประวัติ (ตามย่อหน้าแรก) หลอดลมอักเสบของน้องให้ท่านฟัง แต่จากการตรวจหมอก็พบว่าเสียงปอดน้องปกติมากและไม่มีไข้ใดๆ หมอจึงลงความเห็นว่าน้องน่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดา จึงให้ยาฆ่าเชื้อ Zithromax และยาลดน้ำมูกกลับไปทานเองที่บ้าน หลังจากออกจาก รพ ในช่วงราวๆ เที่ยงพอดี ก็ได้เดินทางไปแวะร้านอาหารเพื่อทานมื้อกลางวัน และแวะซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต (แวะซื้อของไม่ถึง 20 นาที) จากนั้นก็กลับบ้านทันที และด้วยความเพลียจึงพากันนอนพักผ่อนทั้งครอบครัว พ่อ แม่ และลูกชาย 2 คน (น้องที่กล่าวถึงมาตลอดนี้เป็นคนเล็กอายุเกือบๆ 6 เดือน ส่วนพี่ชายอายุ 3 ปี 4 เดือน ซึ่งรอบแรกน่าจะติดมาจากพี่ชายที่เรียนอนุบาล 1 แต่รอบนี้พี่ชายไม่มีอาการป่วยแต่อย่างใด) ตั้งแต่เวลาประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง จนถึงเกือบๆ 5 โมงเย็น
ซึ่งสัญญาณไม่ดีก็เกิดขึ้นหลังจากที่ตื่นนอน (นอนในห้องนอนซึ่งเปิดแอร์ 28 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติที่นอนกันทุกคืน) พบว่าน้อง (คนเล็ก) มีอาการหายใจผิดปกติ โดยเวลาหายใจจะมีอาการตัวโยนเล็กน้อย แต่เนื่องจากนัดกับคุณแม่และน้องสาวว่าจะไปทานมื้อเย็นกันจึง พาน้องทั้ง 2 คนไปด้วย ระหว่างทานอาหารก็รู้สึกว่าน้องหายใจแรงขึ้นหว่าเดิมจึงตัดสินใจเดินทางมา รพ (เดียวกับรอบเช้า) อีกครั้งซึ่งมาถึง รพ ราวๆ 3 ทุ่ม รอบนี้แพทย์หญิง (อีกคนหนึ่ง) แทบไม่ต้องฟังเสียงปอดก็สั่งให้น้องไปพ่นควันเพื่อขยายหลอดลมทันที โดยให้น้องพ่นควัน 2 รอบ (เว้นช่วงพัก 15 นาที) หลังจากพ่นควันครบ 2 รอบเมื่อหมอฟังเสียงปอดก็ยังรู้สึกว่ายังมีเสียงดังอยู่บ้าง แต่อาการหายใจหอบลดลงจนเกือบจะปกติดีแล้ว จึงมีข้อเสนอ 2 ข้อคือ
1. ควรแอดมิสเพื่อพ่นควันทุกๆ 4 ชม ตลอดคืน
2. พ่นควันอีกครั้งแล้วกลับบ้าน แต่ถ้าน้องมีอาการหายใจรุนแรงจะต้องมา รพ ทันที (หรือถ้าไม่มีอาการให้มา รพ อีกครั้งเช้าวันถัดไป)
แต่หลังจากปรึกษากันในครอบครัวพวกเราจึงตัดสินใจให้น้องเข้าแอดมิสไปเพราะหมอแจ้งว่า สาเหตุที่ตอนนี้ (เวลาราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง ณ เวลานั้น) น้องมีอ๊อกซิเจนปกติ (97) เพราะน้องต้องหายใจแรงและเร็วกว่าปกติ (ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตัวโยนขณะหายใจ) แต่ถ้าน้องฝืนจนเหนื่อยเกินไปการหายใจจะค่อยๆ ช้าลงทำให้ระดับอ๊อกซิเจนต่ำลงเรื่อยๆ ถ้าต่ำมากๆ (โดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 92) จะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงเดินเรื่องแอดมิส ซึ่งหลังจากทำเรื่องเสร็จผมก็กลับบ้านไปพร้อมน้องสาว คุณแม่ และลูกชายคนโตเพื่อพาลูกชายไปนอน และเตรียมของสำหรับค้างคืนสำหรับตนเองและแฟน โดยฝากลูกชายให้น้องสาวและคุณแม่ผมช่วยดูแล ส่วนวผมก็เตรียมของต่างๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จก็เดินกลับมา รพ อีกครั้ง ซึ่งมาถึง รพ ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ เมื่อมาถึงห้องก็พบว่า น้องกำลังให้น้ำเกลือ + ยาฆ่าเชื้อ และใช้ท่อพ่นควันขนาดใหญ่แบบปล่อยควันทั้งคืนแต่ไม่มีฝาครอบปิดปาก (ประมาณว่าไม่เน้นให้สูดเข้าไปเต็มๆ เหมือนแบบครอบปาก แต่เน้นการพ่นนานตลอดคืน) แฟนก็แจ้งว่าหมอเด็ก (อีกท่านหนึ่ง) แจ้งว่าควรให้ยาฆ่าเชื้อทันที (ซึ่งก่อนออกจากบ้านมาทานข้าวเย็น ผมได้ป้อนยาฆ่าเชื้อ Zithromax ที่ได้มาจากรอบเช้าไปแล้วต่างหาก) แต่เราก็ไม่ติดใจอะไรเพราะพยาบาลแจ้งว่าจากการตรวจเลือดเบื้องต้นพบว่าน้องมีเม็ดเลือดขาวมากผิดปกติ (ปกติจะมีประมาณ 12,000 แต่ของน้องมีมากกว่า 20,000) ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าติดเชื้อแบคทีเรียแน่นอน
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือแฟนผมแจ้งว่าพยาบาลเจาะมือน้องหลายเข็มพอสมควรกว่าจะสำเร็จ (ตั้งแต่เจาะเลือดและต่อท่อให้น้ำเกลือทิ้งไว้) และก่อนที่จะให้น้ำเกลือ (ซึ่งมียาฆ่าเชื้อผสมอยู่) น้องก็นอนหลับได้ดี แต่หลังจากให้น้ำเกลือไม่นานน้องจะมีอาการกระสับกระส่ายนอนหลับไม่ลง (หลับได้ไม่กี่น่าทีก็กระสัยกระส่ายตื่นขึ้นมาเป็นแบบนี้สลับกันไปตลอด) อาการเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมมาถึง (เกือบๆ ตีหนึ่ง) จนกระทั่งน้องเริ่มร้องหนักขึ้นประมาณตีสอง จนต้องอุ้มตลอด (ถ้าวางน้องและให้นอนบนตักจะร้องไห้ทันที) แต่ช่วงนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตุแขนน้องแต่อย่างใด จนกระทั่งใกล้ๆ ตีสาม (แฟนเริ่มเพลียจึงตกลงกันว่าสลับกันดูแลน้อง) ผมเลยสลับมาอุ้มน้องอีกครั้ง ในช่วงที่อุ้มจนน้องหลับตาคิดจะทดลองเอาน้องนอนคว่ำดูก็สังเกตุเห็นว่าแขน (ข้างที่ให้น้ำเกลือ) ของน้องบวมผิดปกติมาก (แว๊บแรกที่เห็นแทบจะเข้าใจผิดว่าแขนน้องหักแล้วกระดูกตรงข้อศอกแทงออกมาจนปูด) จึงรีบปลุกแฟนและปกเรียกพยาบาลทันที เมื่อพยาบาลทราบเรื่องก็รีบมาดูพบว่าน้องแขนบวมนิ้วบวมมาก พยาบาลจึงรีบถอดสายน้ำเกลือและแกะผ้าก๊อตและที่พันแขนน้อง (สำหรับกันเข็มงอ) ช่วงแรกที่แกะผ้าออกสังเกตุเห็นว่าบรเวณปลายนิ้วทั้ง 5 ของน้องเขียวพอสมควร จากนั้นพยาบาลก็รีบไปหาซองบรรจุเจล (สำหรับแช่เย็น หรือทำความเย็น) มาประคบแขนบริวเณที่บวม (โดยเอาผ้าห่อ แล้วประคบ) ซักประมาณ 4-5 นาที จากนั้นก็สอนให้ผมและแฟนประคบ ส่วนตัวพยาบาลก็ไปหาซองบรรจุเจลขนาดเล็กกว่าซองแรก (ซึ่งใหญ่มากไปมาเพิ่มอีก 2 ซอง) ใช้ผ้าห่อและประคบด้านบนและล่างของแขน โดยให้พยายามชูแขนให้สูงเพื่อให้เลือดย้อนกลับไปสู่หัวใจ แต่หลังจากหาซองเจลมาให้ก็สอนให้สลับประคบและแช่เย็นจากนั้นก็หายไปเกิน 10 นาที
ระหว่างที่พยาบาลหายไปผมจึงถ่ายรูปแขนและมือของน้องเอาไว้ และปรึกษากับแฟนว่าจะเอายังไงต่อไปดี? ควรแจ้งให้เปลี่ยนจากการยาฆ่าเชื้อผ่านน้ำเกลือเป็นกินโดยตรงแทนไหม? เมื่อเห็นว่าพยาบาลหายไปนานกว่า 10 นาทีจึงกดเรียกพยาบาลอีกครั้ง ครั้งนี้พยาบาลยกขบวนกันมา 3 คนเลยทีเดียว (คาดว่าคงจะได้ข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแล้ว เพราะผ่านมาเกือบ 30 นาทีหลังจากที่แจ้งเรื่องแขนบวมไปในรอบแรก) พยาบาลที่มาก็ช่วยกันอธิบายว่าอาการที่เกิดนี้น่าจะเกิดขึ้นเพราะเส้นเลือดน้องตีบเกินไปทำให้น้ำเกลือเกิดติดขัดเดินทางไม่สะดวก ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่กับเด็กจะมีความเสี่ยงมากกว่าเพราะเส้นเลือดจะมีขนาดเล็ก
ผมและแฟนเลยสอบถามว่าอาการแบบนี้อันตรายหรือไม่?
พยาบาลก็ตอบว่าไม่อันตรายเพราะไม่มีสารอันตรายใดๆ ในน้ำเกลือ (มีแค่น้ำเกลือ กับยาฆ่าเชื้อ)
ผมก็เลยถามต่อไปว่าถ้าพวกผมไม่เห็นแล้วอะไรจะเกิดขึ้น?
พยาบาลก็แจ้งกลับมาว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ต่อไปก็น่าจะทำให้เลือดอุดตันไม่สามารถเดินทางได้ตามปกติ... แต่ไม่ตอบต่อว่าแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
โอเค... พวกผมไม่เซ้าซี้ต่อ เปลี่ยนเป็นสอบถามเรื่องการเปลี่ยนไปป้อนยาโดยตรงแทนได้หรือไม่?
พยาบาลแจ้งว่าการให้ยาฆ่าเชื้อทำได้ 3 วิธีคือ
1) ให้พร้อมกับน้ำเกลือ - เป็นวิธีที่ได้ผลเร็วและได้ผลนานที่สุด มักให้ตอนค้าง หรือมีเวลาอยู่ รพ ซึ่งหลังจากแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านจะสั่งยาส่วนทีเ่หลือให้กลับไปทานต่อที่บ้าน
2) ฉีดเข้าตรงสะโพก
3) ให้ยาชนิดทาน วิธีนี้จะได้ผลน้อยและช้าที่สุด
ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีให้ยาหรือไม่จะต้องรอแพทย์เจ้าของไข้ตัดสินใจในวันพรุ่งนี้ แต่คืนนี้จะงดการให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อไปก่อน
ต่อมาผมสอบถามต่อว่า อาการที่น้องเป็นนี้เจ็บหรือไม่?
พยาบาลตอบว่าเจ็บ แต่อาการเจ็บจะหายไปในระยะเวลา 3-4 ชม จากนั้นจะรู้สึกตึงๆ และหนักแขนแทน
ผมถามต่ออีกว่าจากอาการที่นอ้งเป็นนี้ (อาการแขนและนิ้วมือบวม) ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ จึงน่าจะหายกลับมาเป็นปกติ
พยาบาลมาเช็คความบวมของแขนน้องและแจ้งว่าน่าจะประมาณ 3 วัน
จากนั้นก็แนะนำเรื่องวิธีการประคบและการชูแขน รวมไปถึงการกำมือ-แบมือ และการไล่เลือดกลับไปสู่หัวใจ แล้วก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ (อะไรก็ไม่ทราบ) หลังจากตอนนั้น (ตีสามครึ่ง) จนกระทั่งตอนนี้ (ตี 5) ก็มีพยาบาลหลักแวะมาดูครั้งเดียว โดยแวะมาดูจริงๆ พอเห็นผมนั่งหน้าโน๊ตบุ๊ค และแฟนผมนอนกอดน้องนอนหลับได้ก็กลับออกไป
ก็เลยอยากถามคำถามต่างๆ ดังต่อไปนี้ครับ
1. สาเหตุของการเกิดแขนบวมจากการให้น้ำเกลือ น่าจะเกิดจากอะไรกันแน่? เกิดจากเส้นเลือดของน้องตีบผิดปกติเอง หรือ พยาบาลเจาะไม่ถูกต้องเองกันแน่?
2. ถ้าสมมติว่าผมก็ไม่ได้สังเกตุ แฟนผมก็ไม่ทันสังเกตุ พยาบาลก็ไม่มาดูแล ปล่อยไปจนถึงเช้า (หรือนานจนน้องร้องไห้โฮลั่นห้อง จนพบสาเหตุ) จะเกิดอะไรขึ้น? และอันตรายแค่ไหน?
3. หากเหตุการณ์ในข้อ 2 เกิดขึ้นทาง รพ จะรับผิดชอบหรือไม่? เพราะ พยาบาลที่ดูแลมักจะเข้ามาดู (เมียงมอง) แล้วก็ไป อาจจะมีสอบถามนิดหน่อย แต่ไม่ได้มาตรวจดูน้องแต่อย่างใด (ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องตอนแจ้งเรื่องแขนบวมครั้งแรก พยาบาลคนนี้แจ้งว่า จริงๆ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะเด็กเล็ก จริงๆ เธอก็ควรที่จะตรวจสอบเป็นระยๆ แต่เมื่อเข้าห้องมาแล้วเห็นน้องนอนคลุมผ้าห่มก็เลยไม่อยากเข้ามาปลุกก็เลยลืมตรวจสอบไป) ถ้าเทียบกับ รพ กรุงเทพฯ พยาบาลจะเดินมาตรวจวัดอ๊อกซิเจน, อุณหภูมิคืนละหลายรอบ (ยอมรับว่าตอนนั้นก็รู้สึกเพลียที่พยาบาลเข้ามาบ่อยๆ เพราะพอพยาบาลเข้ามาเราก็รู้สึกตัวตื่นเลยนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม) แต่มาตอนนี้เลยรู้สึกขอบคุณพยาบาลเหล่านั้นที่มาตรวจเช็คลูกเราอย่างดี
4. การที่พยาบาลสอนวิธีประคบและให้พ่อแม่ต้องมาประคบแขนที่บวมของลูกด้วยตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่พยาบาลทำถูกแล้วหรือไม่? พยาบาลควรเป็นคนมาประคบหรือเปล่าครับ?