เพื่อนๆเคยมีปัญหาเรื่องการเงินกับครอบครัวหรือญาติสนิทบ้างมั้ยคะ?

ปัญหามันเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้วค่ะ แม่ของจขกท. ได้เสียชีวิตเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2556
ก่อนเสียแม่ได้ขายที่ไว้เพื่อที่จะเอาเงินไว้ส่งจขกท. เรียนมหาวิทยาลัยค่ะ แต่จขกท. ดื้อเองค่ะเลทำให้ไม่ได้เรียนต่อ
แม่ขายที่ไปได้เป็นจำนวนเงินแปดแสนบาทค่ะ และแม่ได้เอาเงินส่วนนั้นฝากไว้กับป้า
(ป้ามีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของจขกท.ค่ะ และแม่สนิทกับป้าเพียงคนเดียว เพราะแม่กับป้าเข้ามาเป็นสะใภ้พร้อมๆกัน แม่จึงไว้ใจป้ามากค่ะ)
ในตอนนั้น จขกท. อายุ 20 ปีค่ะ และเนื่องจากจขกท. อยู่กับแม่ โดนแม่เลี้ยงให้เป็นเด็กติดแม่ หัวอ่อนมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้จขกท.ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย
หลังจากแม่เสีย ก็ใช้เงินจัดงานศพแม่ไปประมาณหนึ่งแสนกว่าบาทค่ะ และหลังนั้น ป้าก็มาอธิบายเรื่องเงินทั้งหมดของแม่ค่ะ โดยป้าได้พูดกับจขกท. ว่า
"ตอนนี้เงินของแม่เหลืออยู่หาแสนบาทนะ" ตอนนั้นจขกท. ก็งง ว่าทำไมเหลือแค่นั้น แต่ก็คิดในแง่ดีว่า อาจจะมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก แม่อาจจะต้องใช้หนี้ใคร
ก็เลยไม่ถกเถียงอะไร จนมาวันนึง ป้าจับได้ว่าเราไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ก็เลยบังคับให้เรามาทำงานและมาอยู่กับพี่สาวที่หัวหินค่ะ
(พี่สาวที่เราพูดถึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเราค่ะ ขอเรียกพี่สาวสั้นๆว่า "เจ้" พี่สาวเป็นลูกของลุง ลุงเป็นพี่ชายพ่อ และพ่อเสียชีวิตก่อนแม่เมื่อเราเด็กๆ)
สรุปสั้นๆคือ เรามีสถานะเป็นเป็นเด็กกำพร้า ที่ต้องมาหางานทำ และอาศัยอยู่กับเจ้ที่หัวหิน
เจ้แต่งงานกับคนในพื้นที่หัวหิน และเจ้ทำงานโรงแรมชื่อดังในหัวหินค่ะ ในตอนที่จขกท.ไปอาศัยอยู่กับเจ้ เจ้เค้าก็ดูแลจขกท.อย่างดีค่ะ
เค้าพาไปสมัครงานต่างๆนาๆ จขกท.ก็ได้งานค่ะ ทำโรงแรมเล็กๆ ตำแหน่งฟร้อนท์ ทำได้แปดเดือน ล่วงเลยขึ้นปีใหม่ ปีพ.ศ.2557  ก็ต้องลาออก เพราะเจ้าของโรงแรมด่ากระทบถึงแม่ค่ะ (จขกท.เป็นคนเซ้นซิทีฟเรื่องแม่ค่ะ อยู่กับแม่ตั้งแต่เด็ก ใครว่าถึงแม่นี่ บ่อน้ำตาแตกทีเดียว)
ไปสมัครโรงแรมใหม่ค่ะ ได้อยู่ฟร้อนท์เหมือนเดิม แต่ก็ต้องลาออกอีกค่ะ เพราะว่าเจ้าของโรงแรมเบี้ยว ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน ทำงานทั้งเดือน
ได้เงือนเดือนมาสองพันบาทค่ะ เอาว่ะ ไม่ย่อท้อ สมัรคที่ใหม่ ไปสมัครในห้าง ได้งานค่ะ ได้เป็นพีอาร์ ประชาสัมพันธ์สินค้า ก็ทำค่ะ แต่เป็นงานที่จขกท.ไม่ชอบ เพราะมันใช้แค่หน้าตา ไม่ใช้ความสามาถรอย่างอื่นเลย (อีกอย่างจขกท. ขี้อายค่ะ ไม่กล้าแสดงออก) ก็เลยแอบไปหางานตามโรงแรมด้วย
ทีนี้ เจ้ของจขกท. ก็พาไปสมัครโรงแรมเดียวกับที่เค้าทำงานอยู่ จขกท.ก็กลัว เพราะว่ามันเป็นโรงแรมใหญ่ แล้วจขกท.เองก็มีแค่วุฒิม.6 เค้าจะรับเหรอ
ในตอนนั้น ก็ไปกรอกใบสมัคร เลือกแผนก และสัมภาษณ์กับหัวหน้าค่ะ ตอนแรกจขกท.สมัครตำแหน่งบูติคไป แต่พี่แผนกเฮชอาร์เค้าก็ถามว่า "ไม่สนใจแผนกสปาเหรอ เค้ารับสมัครอยู่สิบคนนะ" จขกท.ก็เลยตอบว่า "นวดไม่เป็นค่ะ ไม่มีความรู้ทางนี้เลยด้วยค่ะ" แต่ก็กรอกตำแหน่งสปาไปด้วย แล้วก็นั่งรอหัวหน้าแผนกสปาเรียกสัมภาษณ์ค่ะ พอถึงเวลาสัมภาษณ์ หัวหน้าก็ถามคำถามนู่นนี่นั่น ให้อ่านภาษาอังกฤษ ให้ฟัง ให้แปล เยอะแยะไปหมด
สัมภาษณ์เสร็จสัพ หัวหน้าบอกกับจขกท. ว่า "มีคนที่โปรไพล์ดีกว่าเกดมาสมัครนะ พี่อาจไม่ได้รับเราเข้าทำงานนะ" จขกท. ก็แบบ "ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ แต่หนูก็อยากขอร้องให้พี่ลองพิจารณาหนูสักหน่อยค่ะ" ก็กลับบ้านทำงานพีอาร์ต่อไป จนจะสิ้นเดือนพฤษภาคม ทางโรงแรมนั้นโทรมาบอกว่าได้งานค่ะ
ได้แผนกสปา จขกท.ก็ห้ะ อะไรนะคะ งงด้วย ดีใจด้วย พี่เค้าก็อธิบายว่า ทางโรงแรมจะส่งเราไปเรียนสปาที่โรงเรียนสปาอคาเดมี่ในกรุงเทพ (ในซอยเอกมัยค่ะ) ซึ่งเป็นของเจ้าของเดียวกํบโรงแรม ไปเรียนหนึ่งเดือน ในระหว่างเรียนเค้าก็จะให้เงินเดือนวันละสามร้อย ยกเว้นวันเสาร์ - อาทิตย์ แล้วก็ไปเซ็นต์สัญญาที่โรงแรมค่ะ จขกท.ก็ได้ไปทำเรื่องลาออกจากงานพีอาร์ที่ห้างค่ะ แล้วก็ถึงเวลา ที่จขกท. จะต้องขนเสื้อผ้าขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงแล้วค่ะ..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่