บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (26 พ.ย.) ว่า บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT สำหรับปี 2557 ขาดทุนปกติที่ 194 ล้านบาท ขณะที่ขาดทุนสุทธิคาด 120 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากประกันราว 73 ล้านบาท รอบ 9 เดือนแรกของปี 57 ขาดทุนปกติยู่ที่ 236 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าจะกลับมามีกำไรได้ในไตรมาส 4/57 เป็นครั้งแรกหลังน้ำท่วมที่ราว 42 ล้านบาท หลังผู้บริหารใหม่ปรับกลยุทธ์ 3 ด้าน คือ
1) เน้นสร้างรายได้จากลูกค้าเดิมมากขึ้น ด้วยความพยายามให้บริการแบบครบวงจร (Turnkey) 2) ลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไร ด้วยการหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ ที่หลากหลายและมีต้นทุนต่ำกว่าและ 3) ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มและอัตรากำไรสูง ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินงาน ซึ่งจะเปิดเผยได้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 58 เป็นพันธมิตรในต่างประเทศ เน้นสินค้ากลุ่มโทรคมนาคม และเครื่องมือทางการแพทย์ ทำให้ SMT เป็นบริษัทที่มีความเป็น High technology มากขึ้นกว่าแค่รับจ้างผลิตในปัจจุบัน ซึ่งจะเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้นในระยะยาว
โดยกลุยุทธ์ที่ 1 และ 2 จะเห็นผลได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/57 เป็นต้นไปส่วนกลยุทธ์ที่ 3 คาดว่าจะเห็นรายได้ในครึ่งปีหลังของปี 58 ใช้เงินลงทุนไม่สูงและมีกำไรทันที อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงอยู่บ้างที่กำไรอาจต่ำกว่าทีประเมินไว้ใน ไตรมาส 4/57 แต่ผู้บริหารค่อนข้างมั่นใจว่าไตรมาส 1/58 บริษัทจะมีกำไรได้ชัดเจน
ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2558 เติบโต 12% ซึ่งที่เป้าหมายมีคำสั่งซื้อลูกค้ารองรับแล้วเกือบ 100% แม้ว่า HDD จะเติบโตต่ำ แต่ลูกค้าลดจำนวน Supplier ทำให้รายได้ส่วนนี้เติบโต ส่วน IC เพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเป็น 50% จากคำสั่งซื้อที่เริ่มเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 4/57 นอกจากนี้มีผลิตภัณฑ์ใหม่คือการผลิต และจำหน่ายกล่องรับสัญญาณ DTV ในประเทศไทย จะเริ่มขายได้ในไตรมาส 1/58 และสามารถรับแลกคูปองได้ เราประเมินว่าเป็นส่วนเพิ่มรายได้ให้บริษัท จากธุรกิจหลักและมีความได้เปรียบเนื่องจากเป็นผู้ผลิตเองจึงบริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่ง ปัจจุบันอัตราใช้กำลังการผลิตของ HDD ราว 80% ส่วน IC ราว 60-70% (จุดคุ้มทุนราว 65%) เราคาดรายได้ปี 2558 เติบโต 17% และคาดกำไรปกติที่ 292 ล้านบาท เป็นกำไรปีแรกนับตั้งแต่น้ำท่วมในปี 2554 และยังไม่รวมธุรกิจใหม่ไว้ในประมาณการ
ด้วยภาพธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จากความพยายามลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไร และเริ่มเห็นผลแล้วตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ประมาณการกำไรปี 2558 ของเราคิดเป็น EPS ที่ 0.70 บาท อ้างอิง PER ที่ 13 เท่า (เท่ากับค่าเฉลี่ยการประมเมินมูลค่าหุ้นอื่นในกลุ่ม) ได้ราคาเป้าหมายปี 2558 ที่ 9.10 บาท มี Upside gain 46% ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PER 2558 เพียง 8.8 ต่ำที่สุดในกลุ่มที่เราทำการศึกษา จึงกลับมาแนะนำ "ซื้อ" อีกครั้ง คาดเงินปันผลปี 2558 ที่ 0.28 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 4.6%
SMT ในที่สุด กิมเอ็งก็ออก บทวิเคราะห์จนได้ diversify ไปธุรกิจกลุ่มโทรคมนาคม และเครื่องมือทางการแพทย์
1) เน้นสร้างรายได้จากลูกค้าเดิมมากขึ้น ด้วยความพยายามให้บริการแบบครบวงจร (Turnkey) 2) ลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไร ด้วยการหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ ที่หลากหลายและมีต้นทุนต่ำกว่าและ 3) ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มและอัตรากำไรสูง ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินงาน ซึ่งจะเปิดเผยได้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 58 เป็นพันธมิตรในต่างประเทศ เน้นสินค้ากลุ่มโทรคมนาคม และเครื่องมือทางการแพทย์ ทำให้ SMT เป็นบริษัทที่มีความเป็น High technology มากขึ้นกว่าแค่รับจ้างผลิตในปัจจุบัน ซึ่งจะเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้นในระยะยาว
โดยกลุยุทธ์ที่ 1 และ 2 จะเห็นผลได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/57 เป็นต้นไปส่วนกลยุทธ์ที่ 3 คาดว่าจะเห็นรายได้ในครึ่งปีหลังของปี 58 ใช้เงินลงทุนไม่สูงและมีกำไรทันที อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงอยู่บ้างที่กำไรอาจต่ำกว่าทีประเมินไว้ใน ไตรมาส 4/57 แต่ผู้บริหารค่อนข้างมั่นใจว่าไตรมาส 1/58 บริษัทจะมีกำไรได้ชัดเจน
ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2558 เติบโต 12% ซึ่งที่เป้าหมายมีคำสั่งซื้อลูกค้ารองรับแล้วเกือบ 100% แม้ว่า HDD จะเติบโตต่ำ แต่ลูกค้าลดจำนวน Supplier ทำให้รายได้ส่วนนี้เติบโต ส่วน IC เพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเป็น 50% จากคำสั่งซื้อที่เริ่มเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 4/57 นอกจากนี้มีผลิตภัณฑ์ใหม่คือการผลิต และจำหน่ายกล่องรับสัญญาณ DTV ในประเทศไทย จะเริ่มขายได้ในไตรมาส 1/58 และสามารถรับแลกคูปองได้ เราประเมินว่าเป็นส่วนเพิ่มรายได้ให้บริษัท จากธุรกิจหลักและมีความได้เปรียบเนื่องจากเป็นผู้ผลิตเองจึงบริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่ง ปัจจุบันอัตราใช้กำลังการผลิตของ HDD ราว 80% ส่วน IC ราว 60-70% (จุดคุ้มทุนราว 65%) เราคาดรายได้ปี 2558 เติบโต 17% และคาดกำไรปกติที่ 292 ล้านบาท เป็นกำไรปีแรกนับตั้งแต่น้ำท่วมในปี 2554 และยังไม่รวมธุรกิจใหม่ไว้ในประมาณการ
ด้วยภาพธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จากความพยายามลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไร และเริ่มเห็นผลแล้วตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ประมาณการกำไรปี 2558 ของเราคิดเป็น EPS ที่ 0.70 บาท อ้างอิง PER ที่ 13 เท่า (เท่ากับค่าเฉลี่ยการประมเมินมูลค่าหุ้นอื่นในกลุ่ม) ได้ราคาเป้าหมายปี 2558 ที่ 9.10 บาท มี Upside gain 46% ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PER 2558 เพียง 8.8 ต่ำที่สุดในกลุ่มที่เราทำการศึกษา จึงกลับมาแนะนำ "ซื้อ" อีกครั้ง คาดเงินปันผลปี 2558 ที่ 0.28 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 4.6%