ยุคทองของ PC ราคาถูกจบแล้ว? เมื่อ AI แย่งทรัพยากรโลกไปจนหมด

ใครที่กำลังจะประกอบคอมใหม่ช่วงนี้คงรู้สึกเหมือนโดนปล้น ราคา RAM กับ SSD ดีดตัวขึ้นแบบน่าตกใจ ส่วนการ์ดจอตัวท็อปก็ราคาแรงจนแทบต้องขายไต นี่ไม่ใช่แค่ของขาดตลาดชั่วคราว แต่เป็นผลกระทบลูกโซ่จากสิ่งที่เรียกว่า AI Supercycle ที่กำลังเปลี่ยนโครงสร้างราคาของวงการไอทีไปตลอดกาล



เบื้องหลังความแพง: เม็ดเงิน 527,000 ล้านดอลลาร์ และกฏ 3 เท่าของการผลิต
สาเหตุที่ของแพงขึ้น ไม่ใช่เพราะเงินเฟ้อทั่วไป แต่เกิดจาก "สงครามแย่งชิงทรัพยากรการผลิต" ข้อมูลจาก Goldman Sachs ระบุว่าประมาณการรายจ่ายฝ่ายทุน (CAPEX) ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Hyperscalers) ในปี 2026 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 527,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 18.5 ล้านล้านบาท) เงินจำนวนมหาศาลนี้ไม่ได้ถูกใช้เพื่อผลิตสินค้าให้ผู้บริโภคทั่วไป แต่ถูกเทลงไปสร้าง Data Center สำหรับ AI
คอขวดสำคัญอยู่ที่ "หน่วยความจำ" การ์ดจอ AI อย่าง NVIDIA H100 หรือ Blackwell ต้องใช้แรมชนิดพิเศษที่เรียกว่า HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งกระบวนการผลิตนั้นกินทรัพยากรอย่างหนักหน่วง ข้อมูลจาก Micron ผู้ผลิตชิปรายใหญ่เผยว่า การผลิต HBM เพียง 1 GB ต้องใช้พื้นที่บนแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์ (Wafer) มากกว่าการผลิต RAM DDR5 ปกติถึง 3 เท่า
เมื่อโรงงานผลิตชิปที่มีจำนวนจำกัด ต้องเลือกระหว่าง HBM ที่ขายได้กำไรมหาศาล กับ DDR5 เกรดผู้ใช้ทั่วไปที่กำไรบางกว่า คำตอบทางธุรกิจจึงชัดเจน สายการผลิต RAM ทั่วไปจึงถูกโยกย้าย (Reallocate) ไปผลิต HBM แทน ผลลัพธ์ที่ตกอยู่กับเราคือ:
- ราคา RAM DDR5-6000 ขนาด 32GB ที่เคยหาซื้อได้ในราคาประมาณ $120 (ราว 4,000 บาท) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 พุ่งขึ้นไปแตะระดับ $410 (ราว 14,000 บาท) ในเดือนธันวาคม 2025 หรือเพิ่มขึ้นถึง 242% ภายในเวลาไม่ถึงปี
- ราคา SSD เกรด Enterprise พุ่งขึ้น 25% ในไตรมาสเดียว ส่งแรงกดดันมายังตลาดผู้บริโภคที่ต้องจำใจใช้ SSD เกรดรองลงมาในราคาที่เท่าเดิมหรือแพงขึ้น



NVIDIA: เมื่อเกมเมอร์กลายเป็น "ลูกค้าเกรดรอง" (9% vs 88%)
ถ้าใครยังหวังว่า NVIDIA จะออกการ์ดจอราคาประหยัดมาเพื่อเกมเมอร์เหมือนในอดีต อาจจะต้องทำใจเมื่อเห็นตัวเลขผลประกอบการไตรมาสล่าสุด
- รายได้จาก Data Center พุ่งแตะ 30,800 ล้านดอลลาร์ (เติบโต 112% จากปีก่อน) คิดเป็นสัดส่วน 87.7% ของรายได้รวม
- รายได้จาก Gaming อยู่ที่ 3,300 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 9.4% เท่านั้น
ตัวเลขนี้บอกชัดเจนว่า NVIDIA ไม่จำเป็นต้องง้อตลาดเกมมิ่งเพื่อความอยู่รอดอีกต่อไป อำนาจการต่อรองของผู้บริโภคแทบจะเป็นศูนย์ การ์ดจอเจนเนอเรชั่นใหม่ (RTX 50-series) จึงมีแนวโน้มถูกตั้งราคาแบบ Premium โดยอิงจากความคุ้มค่าในการนำไปรัน AI มากกว่าเฟรมเรตในการเล่นเกม หากการ์ดจอตัวไหนทำงาน AI ได้ดี ราคามันจะไม่มีวันถูกลงมาให้คนทั่วไปจับต้องได้ง่ายๆ



ทางรอดที่ถูกบีบให้เลือก: จาก "เจ้าของ" สู่ "ผู้เช่า" (The End of Ownership)
เมื่อราคาฮาร์ดแวร์แพงระยับจนเกินเอื้อม ตลาดจึงเริ่มบีบให้ผู้ใช้เปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่โมเดล Desktop as a Service (DaaS) หรือ Cloud Gaming แทน แต่แม้กระทั่งบน Cloud ทรัพยากรก็เริ่มมีจำกัด
สัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดคือ NVIDIA GeForce Now ซึ่งประกาศจำกัดเวลาเล่นของผู้ใช้งานสมาชิกรายเดือนไว้ที่ 100 ชั่วโมงต่อเดือน เริ่มต้นปี 2026 นี่สะท้อนให้เห็นถึง "ต้นทุนค่าเสียโอกาส" เพราะการนำการ์ดจอหนึ่งใบไปให้บริการสตรีมเกม ได้เงินน้อยกว่าการนำไปให้บริการประมวลผล AI หลายเท่าตัว
ในอนาคต รูปแบบการใช้งานคอมพิวเตอร์อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง:
- เราอาจไม่ได้ซื้อคอมพิวเตอร์สเปกเทพมาตั้งที่บ้านอีกแล้ว แต่จะใช้ "Thin Client" หรือคอมพิวเตอร์สเปกพื้นฐาน เพื่อเชื่อมต่อกับ Windows บน Cloud แทน
- สอดคล้องกับข่าวลือเรื่อง Windows 365 Consumer Edition ที่ Microsoft เตรียมเปิดตัวเพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปเช่าใช้คอมพิวเตอร์ผ่านเน็ต ในราคาที่ (อาจจะ) ถูกกว่าการผ่อนฮาร์ดแวร์เอง
- ตลาด DaaS นี้คาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ย (CAGR) สูงถึง 19.4% ยาวไปจนถึงปี 2035



เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญที่ "สิทธิในการครอบครองพลังประมวลผลสูง" กำลังกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย สำหรับคนทำงานทั่วไปหรือเกมเมอร์ การ "ซื้อขาด" อาจจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ และถูกแทนที่ด้วยการ "จ่ายรายเดือน" เพื่อขอแบ่งปันทรัพยากรจาก Data Center แทน
ใครที่มีฮาร์ดแวร์อยู่ในมือตอนนี้ จงดูแลรักษามันให้ดี เพราะในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การจะหาซื้อสเปกเดิมในราคาเดิม อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่