[๔๕๔] ๑๕. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว
มีพระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่าปเจตนะ ครั้งนั้น
พระเจ้าปเจตนะได้รับสั่งกะ
นายช่างรถว่า
ดูกรนายช่างรถผู้สหายแต่นี้ไปอีก ๖ เดือน ฉันจักทำสงคราม ท่านสามารถจะทำล้อคู่ใหม่ของฉันได้ไหม
นายช่างรถได้ทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำถวายได้
ครั้งนั้นแล นายช่างรถได้ทำล้อสำเร็จข้างหนึ่ง โดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเจตนะตรัสเรียกนายช่างรถมาถามว่า ดูกรชายช่างรถผู้สหาย
แต่นี้ไปอีก ๖ วัน ฉันจักทำสงคราม ล้อคู่ใหม่สำเร็จแล้วหรือ ฯ
นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ โดย ๖ เดือน หย่อนอยู่อีก ๖ ราตรีนี้แล ล้อได้เสร็จไปแล้วข้างหนึ่งฯ
พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย ๖ วันนี้ท่านสามารถจะทำล้อข้างที่สองของฉันให้เสร็จได้หรือ ฯ
นายช่างรถได้กราบทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำให้เสร็จได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้นแล นายช่างรถทำล้อข้างที่สองเสร็จโดย ๖ วันแล้ว นำเอาล้อคู่ใหม่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเจตนะถึงที่ประทับ
แล้วกราบทูลว่าขอเดชะล้อคู่ใหม่ของพระองค์นี้สำเร็จแล้ว
พระเจ้าปเจตนะรับสั่งถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย
ล้อของท่านข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อน ๖ ราตรี กับอีกข้างหนึ่งเสร็จโดย ๖ วันนี้
เหตุอะไรเป็นเครื่องทำให้แตกต่างกัน ฉันจะเห็นความแตกต่างของมันได้อย่างไร ฯ
นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ ความแตกต่างของมันมีอยู่ ขอพระองค์จงทรงทอดพระเนตรความแตกต่างกันของมัน ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ลำดับนั้นแล นายช่างรถยัง
ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ให้หมุนไป ล้อนั้นเมื่อนายช่างรถหมุนไป
ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไป
แล้วหมุนเวียนล้มลงบนพื้นดิน
..........นายช่างรถได้ยัง
ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรีให้หมุนไป
ล้อนั้น เมื่อนายช่างรถหมุนไป ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไป
แล้วตั้งอยู่เหมือนอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ
พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วันนี้
เมื่อถูกท่านหมุนไปแล้ว จึงหมุนไปเพียงเท่าท่านหมุนไปได้ แล้วหมุนเวียนล้มลงบนพื้นดิน
ก็อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรีนี้
เมื่อท่านหมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ท่านหมุนไปได้ แล้วได้ตั้งอยู่เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ
นายช่างรถกราบทูลว่า
ขอเดชะ กงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี ของล้อข้างที่เสร็จแล้วโดย ๖ วันนี้
มันคดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด
เพราะกงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี คดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด ฉะนั้นเมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป
แล้วหมุนเวียนล้มบนพื้นดิน ขอเดชะ
ส่วนกงก็ดีกำก็ดี ดุมก็ดี ของล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่อีก ๖ ราตรีนี้
ไม่คดโค้ง หมดโทษ ไม่มีรสฝาด
ฉะนั้น เมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปได้เท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป แล้วได้ตั้งอยู่เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ท่านทั้งหลายจะพึงคิดอย่างนี้ว่า
สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นนายช่างรถ แต่ข้อนี้ไม่ควรเห็นดังนั้น สมัยนั้น เราได้เป็นนายช่างรถ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คราวนั้น เราเป็นคนฉลาดในความคดโค้งแห่งไม้ ในโทษแห่งไม้ ในรสฝาดแห่งไม้
แต่บัดนี้เราเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉลาดในความคดโกงแห่งกาย ในโทษแห่งกาย ในรสฝาดแห่งกาย
ฉลาดในความคดโกงแห่งวาจา ในโทษแห่งวาจา ในรสฝาดแห่งวาจา ฉลาดในความคดโกงแห่งใจ
ในโทษแห่งใจ ในรสฝาดแห่งใจ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย
ไม่ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ไม่ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ
เขาได้พลัดตกไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง
ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย
ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา
ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจได้
เขาดำรงมั่นอยู่ในธรรมวินัยนี้เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรี ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราทั้งหลายจักละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย
จักละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา
จักละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
---------------------
ปเจตนสูตร
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๒๙๑๙ - ๒๙๘๑. หน้าที่ ๑๒๖ - ๑๒๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=2919&Z=2981&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=454
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย ไม่ละความคดโกงแห่งวาจา.......
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว
มีพระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่าปเจตนะ ครั้งนั้น พระเจ้าปเจตนะได้รับสั่งกะนายช่างรถว่า
ดูกรนายช่างรถผู้สหายแต่นี้ไปอีก ๖ เดือน ฉันจักทำสงคราม ท่านสามารถจะทำล้อคู่ใหม่ของฉันได้ไหม
นายช่างรถได้ทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำถวายได้
ครั้งนั้นแล นายช่างรถได้ทำล้อสำเร็จข้างหนึ่ง โดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเจตนะตรัสเรียกนายช่างรถมาถามว่า ดูกรชายช่างรถผู้สหาย
แต่นี้ไปอีก ๖ วัน ฉันจักทำสงคราม ล้อคู่ใหม่สำเร็จแล้วหรือ ฯ
นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ โดย ๖ เดือน หย่อนอยู่อีก ๖ ราตรีนี้แล ล้อได้เสร็จไปแล้วข้างหนึ่งฯ
พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย ๖ วันนี้ท่านสามารถจะทำล้อข้างที่สองของฉันให้เสร็จได้หรือ ฯ
นายช่างรถได้กราบทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำให้เสร็จได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้นแล นายช่างรถทำล้อข้างที่สองเสร็จโดย ๖ วันแล้ว นำเอาล้อคู่ใหม่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเจตนะถึงที่ประทับ
แล้วกราบทูลว่าขอเดชะล้อคู่ใหม่ของพระองค์นี้สำเร็จแล้ว
พระเจ้าปเจตนะรับสั่งถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย
ล้อของท่านข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อน ๖ ราตรี กับอีกข้างหนึ่งเสร็จโดย ๖ วันนี้
เหตุอะไรเป็นเครื่องทำให้แตกต่างกัน ฉันจะเห็นความแตกต่างของมันได้อย่างไร ฯ
นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ ความแตกต่างของมันมีอยู่ ขอพระองค์จงทรงทอดพระเนตรความแตกต่างกันของมัน ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ลำดับนั้นแล นายช่างรถยังล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ให้หมุนไป ล้อนั้นเมื่อนายช่างรถหมุนไป
ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไปแล้วหมุนเวียนล้มลงบนพื้นดิน
..........นายช่างรถได้ยังล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรีให้หมุนไป
ล้อนั้น เมื่อนายช่างรถหมุนไป ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไป แล้วตั้งอยู่เหมือนอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ
พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วันนี้
เมื่อถูกท่านหมุนไปแล้ว จึงหมุนไปเพียงเท่าท่านหมุนไปได้ แล้วหมุนเวียนล้มลงบนพื้นดิน
ก็อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรีนี้
เมื่อท่านหมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ท่านหมุนไปได้ แล้วได้ตั้งอยู่เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ
นายช่างรถกราบทูลว่า
ขอเดชะ กงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี ของล้อข้างที่เสร็จแล้วโดย ๖ วันนี้ มันคดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด
เพราะกงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี คดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด ฉะนั้นเมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป
แล้วหมุนเวียนล้มบนพื้นดิน ขอเดชะ
ส่วนกงก็ดีกำก็ดี ดุมก็ดี ของล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่อีก ๖ ราตรีนี้ ไม่คดโค้ง หมดโทษ ไม่มีรสฝาด
ฉะนั้น เมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปได้เท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป แล้วได้ตั้งอยู่เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ท่านทั้งหลายจะพึงคิดอย่างนี้ว่า
สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นนายช่างรถ แต่ข้อนี้ไม่ควรเห็นดังนั้น สมัยนั้น เราได้เป็นนายช่างรถ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คราวนั้น เราเป็นคนฉลาดในความคดโค้งแห่งไม้ ในโทษแห่งไม้ ในรสฝาดแห่งไม้
แต่บัดนี้เราเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉลาดในความคดโกงแห่งกาย ในโทษแห่งกาย ในรสฝาดแห่งกาย
ฉลาดในความคดโกงแห่งวาจา ในโทษแห่งวาจา ในรสฝาดแห่งวาจา ฉลาดในความคดโกงแห่งใจ
ในโทษแห่งใจ ในรสฝาดแห่งใจ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย
ไม่ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ไม่ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ
เขาได้พลัดตกไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย
ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจได้
เขาดำรงมั่นอยู่ในธรรมวินัยนี้เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรี ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราทั้งหลายจักละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย
จักละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา
จักละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
---------------------
ปเจตนสูตร
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๒๙๑๙ - ๒๙๘๑. หน้าที่ ๑๒๖ - ๑๒๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=2919&Z=2981&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=454