คนที่มีศรัทธามากๆ คือประกอบไปด้วยศรัทธา มันประกอบไปด้วยความเชื่อ มันอ่อนด้วยปัญญา สมาธิก็เก่ง แต่ว่าวิปัสสนาไม่มีมันเห็นไปหน้าเดียว เห็นไปรูปเดียว ก็เป็นไป คิดอะไรก็ไม่รู้ มันมีศรัทธา ในทางพระพุทธศาสนาท่านพูดตามตัวหนังสือ ท่านว่า ศรัทธาอธิโมกข์ มันมีศรัทธาก็จริง แต่ว่าศรัทธานี้มันปราศจากปัญญา แต่เราก็มองไม่เห็นในขณะนั้น เราก็นึกว่าปัญญาเราก็มี ยังงี้ มันก็เลยมองไม่เห็นความผิด
เพราะฉะนั้นท่านจึงตรัสกำลังทั้งห้าไว้ว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธาคือ ความเชื่อ
สติคือ ความระลึกได้
วิริยะคือ ความเพียร
สมาธิคือ ความตั้งใจมั่น
ปัญญาคือ ความรู้ทั่ว
ปัญญาความรู้ทั่ว อย่าไปพูดแต่เพียงว่าปัญญาความรู้ ปัญญาความรอบรู้ทั่วถึง ปราชญ์ท่านจัดธรรมทั้งห้าประการนี้เป็นตอนๆ เพื่อเราจะมองดูปริยัติที่เรียนแล้ว มาเปรียบเทียบกับขณะจิตของเราที่มันเป็นอยู่อย่างศรัทธา คือความเชื่อ เราเชื่อไหม เราเป็นอย่างนั้นแล้วหรือยังวิริยะเรามีเพียรแล้วหรือยัง ที่เราเพียรอยู่นี่มันถูกหรือผิด อันนี้เราต้องพิจารณา ใครก็เพียรกันหมดทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเพียรนี้มันประกอบไปด้วยปัญญาหรือเปล่า สตินี่ก็เหมือนกัน แมวมันก็มีสติเห็นหนูขึ้นมา สติมาก็รู้ขึ้นมา ตามันจ้องดูของมัน นี่สติของแมว อะไรมันก็มีทุกอย่างละ สัตว์เดรัจฉานมันก็มี อันธพาลมันก็มี ปราชญ์ก็มีสมาธิความมุ่งมั่น ความตั้งใจมั่น อันนี้มันก็มีอีกแหละ แมวมันก็มีมันมั่นที่จะตะครุบหนูกิน นี่ ความมุ่งมั่นของมันมี สตินั้นก็เรียกว่าสติเหมือนกัน สมาธิความตั้งใจมั่นว่าจะทำอย่างนั้น มันก็มีอยู่ ปัญญาความรู้มันก็มี แต่ว่ามันไม่รอบรู้เหมือนมนุษย์ มันรู้อย่างสัตว์ มีปัญญาเพื่อจะตะครุบหนูกินเป็นอาหาร ธรรมทั้งห้าประการนี้ ท่านเรียกว่า กำลังสิ่งทั้งห้าประการนี้เกิดมาด้วยสัมมาทิฏฐิหรือเปล่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่เกิดมาจากสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า สัมมาทิฏฐินี้เป็นอย่างไร อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้เราต้องรู้ชัด
หลวงพ่อชา สุภัทโท
http://www.ubu.ac.th/wat/index.php?page=acebooks
อย่ามีศรัทธาที่ปราศจากปัญญา
เพราะฉะนั้นท่านจึงตรัสกำลังทั้งห้าไว้ว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธาคือ ความเชื่อ
สติคือ ความระลึกได้
วิริยะคือ ความเพียร
สมาธิคือ ความตั้งใจมั่น
ปัญญาคือ ความรู้ทั่ว
ปัญญาความรู้ทั่ว อย่าไปพูดแต่เพียงว่าปัญญาความรู้ ปัญญาความรอบรู้ทั่วถึง ปราชญ์ท่านจัดธรรมทั้งห้าประการนี้เป็นตอนๆ เพื่อเราจะมองดูปริยัติที่เรียนแล้ว มาเปรียบเทียบกับขณะจิตของเราที่มันเป็นอยู่อย่างศรัทธา คือความเชื่อ เราเชื่อไหม เราเป็นอย่างนั้นแล้วหรือยังวิริยะเรามีเพียรแล้วหรือยัง ที่เราเพียรอยู่นี่มันถูกหรือผิด อันนี้เราต้องพิจารณา ใครก็เพียรกันหมดทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเพียรนี้มันประกอบไปด้วยปัญญาหรือเปล่า สตินี่ก็เหมือนกัน แมวมันก็มีสติเห็นหนูขึ้นมา สติมาก็รู้ขึ้นมา ตามันจ้องดูของมัน นี่สติของแมว อะไรมันก็มีทุกอย่างละ สัตว์เดรัจฉานมันก็มี อันธพาลมันก็มี ปราชญ์ก็มีสมาธิความมุ่งมั่น ความตั้งใจมั่น อันนี้มันก็มีอีกแหละ แมวมันก็มีมันมั่นที่จะตะครุบหนูกิน นี่ ความมุ่งมั่นของมันมี สตินั้นก็เรียกว่าสติเหมือนกัน สมาธิความตั้งใจมั่นว่าจะทำอย่างนั้น มันก็มีอยู่ ปัญญาความรู้มันก็มี แต่ว่ามันไม่รอบรู้เหมือนมนุษย์ มันรู้อย่างสัตว์ มีปัญญาเพื่อจะตะครุบหนูกินเป็นอาหาร ธรรมทั้งห้าประการนี้ ท่านเรียกว่า กำลังสิ่งทั้งห้าประการนี้เกิดมาด้วยสัมมาทิฏฐิหรือเปล่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่เกิดมาจากสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า สัมมาทิฏฐินี้เป็นอย่างไร อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้เราต้องรู้ชัด
หลวงพ่อชา สุภัทโท
http://www.ubu.ac.th/wat/index.php?page=acebooks