20 กว่าปีแล้วครับที่ผมไม่เคยลืมเธอคนนั้นเลย ผมรู้จักกับเธอตอน ม.ต้นมันคงเป็นรักครั้งแรกของผมด้วยมั้ง รักแบบเด็กๆ ผมจึงไม่เคยลืมเธอจนถึงทุกวันนี้ หลังจากจบ ม.ต้นผมก็เดินเข้าศึกษาต่อที่สถาบันอาชีวะศึกษาแห่งหนึ่ง ส่วนเธอคนนั้นเรียนต่อ ม.ปลาย แม้ว่าจะอยู่คนละสถานศึกษาแต่ผมก็เฝ้าถามไถ่ข่าวคราวของเธอจากเพื่อนๆ ของผมที่เรียนต่อ ม.ปลายด้วยกับเธอ คอยถามไถ่ว่าเธอคนนั้นเป็นยังไงสบายดีมั้ย คบหากับใครอยู่ ผมรู้เรื่องราวของเธอเกือบตลอด แต่เธอไม่เคยรู้หรอกว่าผมรู้ หรืออาจจะรู้ผมก็ไม่แน่ใจ ผมเฝ้าติดตามสาระทุกสุกดิบของเธอจากเพื่อนๆจนกระทั่งเธอสำเร็จการศึกษาที่สถาบันราชภัฎแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน แถวถนนอิสรภาพ หลังจากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานเหล่าเพื่อนๆของผมที่ไกล้ชิดกับเธอก็ไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย นานหลายปีที่ผมไม่ได้ข่าวคราวของเธอ ระหว่างที่อยู่ในชีวิตวัยทำงานผมก็ได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมพร้อมจะทุ่มทั้งกายและใจสร้างครอบครัวกับเธอในช่วงเวลานั้นผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเธอคนนี้ มันทำให้ผมลืมเธอคนนั้นได้จนเกือบเหลือแค่ความรู้สึกดีๆ จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ผมเธอโดยบังเอิญที่สถานีรถไฟฟ้าตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมดีใจมาก หัวใจแทบจะหยุดเต้น ดีใจจนบอกไม่ถูก อยากกระโดดกอดเธอตรงนั้นเลย ดีใจจริงๆ ที่ได้พบได้พูดคุยกับเธออีกครั้งหนึ่ง วินาทีที่เราพบกันอีกครั้งผมรู้ว่าความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกผมที่มีต่อเธอ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้นว่าผมจะมีแฟนแล้วก็ตาม ผมได้สนทนากับเธอเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ถามไถ่สาระทุกสุกดิบต่างๆนานาที่พอจะถามได้ แต่ใจความสำคัญคือ " เธอแต่งงานแล้ว " กับชาวสหรัฐอเมริกา เชื้อสายญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ที่ ฮาวาย แรกที่ได้ยินผมเหมือนตกจากที่สูงที่ไม่มีวันที่จะถึงพื้นดิน เพราะสิ่งที่ผมเฝ้าฝันไว้คือสักวันถ้าพบเธอผมจะขอโอกาสเธออีกครั้งหนึ่ง แต่มันก็สลายไปในตอนนั้น มันปนกับความรู้สึกของผมอีกซีกหนึ่งที่รู้สึกยินดีไปกับเธอที่เห็นเธอมีคู่ครองที่เหมาะสมและสามารถดูแลเธอได้ แน่นอนดูแลเธอได้ดีกว่าผมด้วยซ้ำเพราะที่เธอเล่ามาสามีของเธอทำงานที่มีหน้าที่การงานและฐานะดีทีเดียว ซึ่งต่างกับผมในช่วงนั้นมากเพราะผมมีเงินเดือนเพียงแค่หมื่นกว่าบาท คงไม่สามารถให้ความสุขกับเธอได้ ผมแสดงความยินดีกับเธอสนทนากับเธออีกพักนึงเราจึงแลกเบอร์กัน หลังจากวันนั้นผมได้มีโอกาสโทรหาเธอสอง-สามครั้ง ด้วยความคิดถึง ใช่ครับ มันคือความคิดถึงล้วนๆ ใครจะว่าผมโทรหาเมียชาวบ้านผมไม่สน ผมคิดถึงเธอ คิดถึงเธอจริงๆ เพราะหลังจากเธอจบปริญญา ผมไม่ได้ข่าวเธอเลย เกือบห้าปี ห้าปีนะครับ ผมจึงไม่ลังเลที่จะหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาเธอ แต่หลังจากที่ผมได้พูดคุยสอง-สามครั้งผมก็ตั้งสติ บอกกับตัวเองว่าเธอมีครอบครัวแล้วนะ ปล่อยเธอไปได้แล้วมันจบแล้ว ผมกับเธอเราทำบุญกันไว้เป็นแค่เพื่อนกันฟ้าท่านลิขิตไว้แล้วเราฝืนโชคชะตาไม่ได้ ต้องเดินตามที่ฟ้าขีดไว้ ก็คงเหมือนกับการขับรถ ที่ต่อให้หาทางลัด หรือออกนอกเส้นทางยังไง ก็ต้องกลับเข้าถนนใหญ่อยู่วันยังค่ำ ผมจึงตัดสินใจไม่โทรหาเธออีกเลย แต่ผมไม่ได้ลบเบอร์เธอทิ้งนะ แต่คงเป็นโชคชะตาอีกนั่นแหละที่ไม่อยากให้ผมติดต่อเธออีก เพราะโทรศัพท์ผมถูกขโมยผมจึงไม่สามารถติดต่อเธอได้อีกเลย ที่ผมเล่ามานี้แค่อยากหาพื้นที่ระบายความในใจ ที่เธอคนนั้นไม่เคยรู้ หรือแม้แต่ผู้หญิงคนนี้ที่ปัจจุบันเธอคือภรรยาผมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกันไม่เคยรู้เลย ถึงตรงนี้ในใจผมก็ยังคิดถึงเธอคนนั้นอยู่ ความรู้สึกที่มีไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดที่ทำให้ผมไม่สามารถติดต่อเธอคนนั้นได้อีกเลย ผมได้แต่ภาวะนาขอให้เธอมีความสุข มีครอบครัวที่ดี มีความมั่นคง ไม่มีโรคภัย หรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดๆทั้งสิ้นและได้แต่หวังว่าสักวันจะได้พบเธออีก หรืออาจจะโชคดีถ้าหากเธอคนนั้นได้เข้ามาอ่านในสิ่งที่ผมได้ระบายออกมา ก็ขอให้เธอคนนั้นรับรู้ไว้ด้วยว่า.......ผม.......รักและคิดถึงเธอเสมอ
ความลับของผมตลอด 20 ปีที่ผ่านมา