TOT.ธันวา ระบุ กรณีบอร์ดที่ผ่านมาไม่สรุปเป็นพาร์ตเนอร์กับ AIS เหตุกลัวข้อครหาว่าจะมีผลประโยชน์!! ชี้ยังจำเป็นต้องหาเพราะ TOT มีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่เก่งเรื่องรีเทล
ประเด็นหลัก
- ถ้า AIS คือผู้เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุด
ในอดีตเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนกัน เชื่อว่าครั้งนี้เป็นไทมิ่งที่ดี และทีโอทีต้องการพาร์ตเนอร์ตามมติบอร์ดที่ออกมา ให้ฝ่ายบริหารกับรักษาการซีอีโอมาดำเนินการ เพราะบอร์ดก็ระมัดระวังข้อครหาว่าจะมีผลประโยชน์ ฉะนั้นก็มี 2 ขั้นตอน คือฝ่ายบริหารไปเจรจามา แล้วส่งให้บอร์ดตัดสินใจในสิ่งที่เขาเจรจามาว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงหรือเปล่า แล้วก็จะเปรียบเทียบกับข้อเสนอของรายอื่น ๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เป็นการเช็กแอนด์บาลานซ์กัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและได้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการจะพลิกฟื้นทีโอทีกลับมา
- ถ้ายังหาพาร์ตเนอร์ไม่ได้
ระหว่างที่รอบอร์ดฟันธงเราก็ยังต้องเดินหน้าทำธุรกิจไปตามปกติ
- พาร์ตเนอร์จำเป็นแค่ไหน
ปัจจุบันการทำธุรกิจโดยลำพังคนเดียวทำได้ลำบาก ไม่ใช่เฉพาะการทำธุรกิจของทีโอที โอเปอเรเตอร์รายอื่น ๆ ก็มีพาร์ตเนอร์เพื่อให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ทีโอทีก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิ การลงทุน เทคโนโลยี การใช้ทรัพยากร ซึ่งถ้าไม่มีพาร์ตเนอร์ทีโอทีก็จะใช้ทรัพยากรไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างธุรกิจโมบายต้องยอมรับว่า ทีโอทีไม่เก่งเรื่องรีเทล การมีพันธมิตรจะเสริมได้เยอะ ทำให้ 1 + 1 มากกว่า 2 ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานก็เหมือนกัน รวมไปถึงกลุ่มอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ด้วย
- มีอะไรที่ดึงดูดพาร์ตเนอร์ได้ดีสุด
แบนด์วิดท์ คลื่นความถี่ ฐานลูกค้าลาสต์ไมล์ พวกนี้คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของธุรกิจโทรคมนาคมถึงต้องมีการแข่งขัน ประมูลแย่งกันเพราะใครได้ไปเท่ากับเสือติดปีก จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรคมนาคมต้องการและทีโอทีมีอยู่
______________________________
ฟื้นองค์กรจากรุ่งริ่งสู่ "รุ่งโรจน์" "ทีโอที" นับหนึ่งหาพันธมิตร
"ธันวา เลาหศิริวงศ์" 3 เดือนที่ผ่านมาในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการบริหาร บมจ.ทีโอที ล่าสุดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาได้รับการแต่งตั้งให้ควบตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ จากผู้บริหารเบอร์ 1 ในบริษัทไอทีข้ามชาติ ยักษ์สีฟ้า "ไอบีเอ็ม" (ประเทศไทย) มาสู่รัฐวิสาหกิจโทรคมนาคมที่ (เคย) ยิ่งใหญ่แต่ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มองค์กรที่ต้องเร่งฟื้นฟู และหนึ่งในแผนเร่งด่วนคือการหาพันธมิตร ทำไมและเพราะเหตุใด รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีคำตอบใน "ประชาชาติธุรกิจ" ดังนี้
- ทำไมตัดสินใจมาเป็นบอร์ดทีโอที
คิดว่าเป็นโอกาสในการช่วยทีโอที เพราะเป็นสมบัติของชาติที่ทุกคนจะช่วยให้ดีขึ้นได้ ซึ่งบอร์ดทุกคนก็คิดแบบนี้ เพราะเรามา ณ วันที่ทีโอทีติดลบ ขาดทุนกว่า 7,800 ล้านบาท ไม่ได้เริ่มที่ศูนย์ 3 เดือนที่ผ่านมาบอร์ดทุกคนทำงานกันหนักมาก เพื่อให้ทีโอทีกลับมาเริ่มที่ศูนย์ได้และเริ่มเดินไปข้างหน้าได้
ทีโอทีเป็นหน่วยงานที่รุ่งเรืองมาตลอด จนเริ่มเกิดปัญหาจากสัมปทานที่ใกล้จะหมดจึงอยากขอให้ทุกฝ่ายช่วย ขณะที่ทีโอทีก็ต้องปรับตัวเพื่อให้คุณภาพบริการ คุณภาพโปรดักต์เทียบเท่ามาตรฐานที่ดีและใช้จ่ายประหยัดสมฐานะ เข้มงวดเรื่องจัดซื้อจัดจ้างจะทำให้ผลประกอบการดีขึ้นแน่นอน
- งานเร่งด่วน
หาพันธมิตรทางกลยุทธ์ตามมติบอร์ด 15 ต.ค.ที่ผ่านมา บอร์ดเห็นว่าการพลิกฟื้นองค์กรอาจไม่ได้ใช้ศักยภาพเท่าที่ควรถ้าเราเดินไปลำพัง จึงมอบหมายให้เปิดรับพันธมิตรธุรกิจที่กว้างขวางขึ้น
โดยส่งจดหมายเชิญผู้ประกอบการที่น่าจะเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ไป 5 บริษัท คือเอไอเอส, ดีแทค, ทรู, ล็อกซเล่ย์ และสามารถฯ ทุกรายตอบรับมาดี บางรายประชุมร่วมกันไปแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้มีรายไหนยื่นเงื่อนไขแบบคอมเมอร์เชียลเทอม
เราเปิดรับข้อเสนอจากผู้ที่สนใจเชื่อว่าทีโอทีมีศักยภาพ มีทรัพยากรมากพอที่จะหนุนพาร์ตเนอร์ได้ ในประเทศมีรายอื่น ๆ ติดต่อเข้ามาแล้วอย่างทีทีแอนด์ที และโอเปอเรเตอร์ในกลุ่มโทรคมนาคมต่างประเทศก็มีติดต่อนัดคุย 2-3 ราย จากออสเตรเลีย, จีน, เกาหลี ซึ่งสนใจในแง่โครงสร้างพื้นฐานที่ทีโอทีมี เพราะโทรคมนาคมแต่ละประเทศมีจุดที่ต้องขยายไปต่างประเทศเพื่อให้คงการเติบโตไว้ได้ วันที่ 18 พ.ย.นี้จะคุยกับต่างชาติรายแรก
พาร์ตเนอร์ร่วมกันนี้ ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจโมบาย แต่เป็น 6 กลุ่มธุรกิจ คือโครงสร้างพื้นฐาน เสาโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ โมบาย โทรศัพท์ประจำที่ และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ กลุ่มบริการด้านไอทีจะมีฝ่ายบริหารเป็นทีมงานเฉพาะเพื่อดีลกับแต่ละบริษัท เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุดมาให้บอร์ดพิจารณา เป็นเรื่องเร่งด่วนเพราะทีโอทีมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องเร่งแก้ไข ถ้าสรุปเร็วย่อมดีกับทีโอที บอร์ดตั้งใจจะให้เอาข้อเสนอของแต่ละรายเข้าที่ประชุมในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ธ.ค.ให้ได้
- ทุกดีลบอร์ดตัดสินใจหรือต้องส่ง ครม.อีก
จบที่บอร์ด ยกเว้นกรณีที่มีมูลค่าสูงและเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนต้องเสนอ ครม.อนุมัติ
- 1 กลุ่มธุรกิจมีพาร์ตเนอร์แค่ 1 ราย
ต้องดูสถานการณ์ของข้อเสนอ เพราะอย่างกลุ่มโมบายทีโอทีก็มีทั้งคลื่น 900 MHz คลื่น 2300 MHz มีเสาสัญญาณ ก็คงต้องดูหลายอย่าง เพราะบอร์ดต้องพิจารณาถึงการทำงานร่วมกันตามข้อเสนอด้วย
- การหาพาร์ตเนอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่
พาร์ตเนอร์ทีโอทีเมื่อก่อนเป็นแบบซื้อมาขายไป แต่วันนี้ที่หาคือพันธมิตรทางกลยุทธ์ที่จะมาช่วยกันพัฒนา ใช้ศักยภาพของ 2 องค์กรเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน มาช่วยกันดูว่าเราจะคอมพลิเมนต์ในทางบริการได้อย่างไร
- โดนครหาเรื่องพาร์ตเนอร์มาตลอด
จุดนี้เชื่อว่าเป็นไทมิ่งที่ดีในการพาร์ตเนอร์ เพราะบอร์ดจะไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา แต่จะใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจในสิ่งที่ฝ่ายบริหารได้ไปเจรจาหาเงื่อนไขที่ดีที่สุดมาเสนอ
บอร์ดชุดนี้มีความตั้งใจและเชื่อว่าจะหาพาร์ตเนอร์ได้ โดยยึดหลักความตรงไปตรงมาและโปร่งใส ซึ่งเราก็จะดูทั้งในประเด็นด้านกฎหมายและความมั่นคงด้วย ส่วนข้อครหาต่าง ๆ บอร์ดจะต้องอธิบายได้ในแต่ละข้อเสนอที่ตัดสินใจ
- ตัดสินใจเลือกจากอะไร
มองทั้งเชิงกลยุทธ์และผลตอบแทนที่จะได้
- ถ้า AIS คือผู้เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุด
ในอดีตเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนกัน เชื่อว่าครั้งนี้เป็นไทมิ่งที่ดี และทีโอทีต้องการพาร์ตเนอร์ตามมติบอร์ดที่ออกมา ให้ฝ่ายบริหารกับรักษาการซีอีโอมาดำเนินการ เพราะบอร์ดก็ระมัดระวังข้อครหาว่าจะมีผลประโยชน์ ฉะนั้นก็มี 2 ขั้นตอน คือฝ่ายบริหารไปเจรจามา แล้วส่งให้บอร์ดตัดสินใจในสิ่งที่เขาเจรจามาว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงหรือเปล่า แล้วก็จะเปรียบเทียบกับข้อเสนอของรายอื่น ๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เป็นการเช็กแอนด์บาลานซ์กัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและได้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการจะพลิกฟื้นทีโอทีกลับมา
- ถ้ายังหาพาร์ตเนอร์ไม่ได้
ระหว่างที่รอบอร์ดฟันธงเราก็ยังต้องเดินหน้าทำธุรกิจไปตามปกติ
- พาร์ตเนอร์จำเป็นแค่ไหน
ปัจจุบันการทำธุรกิจโดยลำพังคนเดียวทำได้ลำบาก ไม่ใช่เฉพาะการทำธุรกิจของทีโอที โอเปอเรเตอร์รายอื่น ๆ ก็มีพาร์ตเนอร์เพื่อให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ทีโอทีก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิ การลงทุน เทคโนโลยี การใช้ทรัพยากร ซึ่งถ้าไม่มีพาร์ตเนอร์ทีโอทีก็จะใช้ทรัพยากรไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างธุรกิจโมบายต้องยอมรับว่า ทีโอทีไม่เก่งเรื่องรีเทล การมีพันธมิตรจะเสริมได้เยอะ ทำให้ 1 + 1 มากกว่า 2 ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานก็เหมือนกัน รวมไปถึงกลุ่มอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ด้วย
- มีอะไรที่ดึงดูดพาร์ตเนอร์ได้ดีสุด
แบนด์วิดท์ คลื่นความถี่ ฐานลูกค้าลาสต์ไมล์ พวกนี้คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของธุรกิจโทรคมนาคมถึงต้องมีการแข่งขัน ประมูลแย่งกันเพราะใครได้ไปเท่ากับเสือติดปีก จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรคมนาคมต้องการและทีโอทีมีอยู่
- ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร
เราเตรียมตัวจัดองค์กรให้เป็น 6 กลุ่มรองรับกับคำสั่งของ กนร.วันหนึ่ง กนร.ก็คงสรุปมาว่า 6 กลุ่มนี้จะยังอยู่กับทีโอที หรือสปินออฟออกไป
- เป้าผลประกอบการสิ้นปี
ต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่ แต่ดีขึ้นแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ถ้าโดนตัดทรัพย์สินด้อยค่าเยอะก็อาจขาดทุนเป็นหมื่นล้าน ขึ้นอยู่กับผู้สอบบัญชีและ สตง.ด้วย ไม่ได้ขึ้นกับบอร์ดอย่างเดียว
- ประสบการณ์บริษัทข้ามชาติ
ทำให้การทำทุกอย่าง Base on ธุรกิจ คือความตรงไปตรงมาที่พาร์ตเนอร์ต่างชาติน่าจะโอเค
- จะลงสมัครเป็น CEO ด้วย
เป็นเรื่องของอนาคต
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1415641317
TOT.ธันวา ระบุ กรณีบอร์ดที่ผ่านมาไม่สรุปเป็นพาร์ตเนอร์กับ AIS เหตุกลัวข้อครหาว่าจะมีผลประโยชน์!! ชี้ยังจำเป็นต้องหา!!
ประเด็นหลัก
- ถ้า AIS คือผู้เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุด
ในอดีตเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนกัน เชื่อว่าครั้งนี้เป็นไทมิ่งที่ดี และทีโอทีต้องการพาร์ตเนอร์ตามมติบอร์ดที่ออกมา ให้ฝ่ายบริหารกับรักษาการซีอีโอมาดำเนินการ เพราะบอร์ดก็ระมัดระวังข้อครหาว่าจะมีผลประโยชน์ ฉะนั้นก็มี 2 ขั้นตอน คือฝ่ายบริหารไปเจรจามา แล้วส่งให้บอร์ดตัดสินใจในสิ่งที่เขาเจรจามาว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงหรือเปล่า แล้วก็จะเปรียบเทียบกับข้อเสนอของรายอื่น ๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เป็นการเช็กแอนด์บาลานซ์กัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและได้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการจะพลิกฟื้นทีโอทีกลับมา
- ถ้ายังหาพาร์ตเนอร์ไม่ได้
ระหว่างที่รอบอร์ดฟันธงเราก็ยังต้องเดินหน้าทำธุรกิจไปตามปกติ
- พาร์ตเนอร์จำเป็นแค่ไหน
ปัจจุบันการทำธุรกิจโดยลำพังคนเดียวทำได้ลำบาก ไม่ใช่เฉพาะการทำธุรกิจของทีโอที โอเปอเรเตอร์รายอื่น ๆ ก็มีพาร์ตเนอร์เพื่อให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ทีโอทีก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิ การลงทุน เทคโนโลยี การใช้ทรัพยากร ซึ่งถ้าไม่มีพาร์ตเนอร์ทีโอทีก็จะใช้ทรัพยากรไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างธุรกิจโมบายต้องยอมรับว่า ทีโอทีไม่เก่งเรื่องรีเทล การมีพันธมิตรจะเสริมได้เยอะ ทำให้ 1 + 1 มากกว่า 2 ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานก็เหมือนกัน รวมไปถึงกลุ่มอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ด้วย
- มีอะไรที่ดึงดูดพาร์ตเนอร์ได้ดีสุด
แบนด์วิดท์ คลื่นความถี่ ฐานลูกค้าลาสต์ไมล์ พวกนี้คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของธุรกิจโทรคมนาคมถึงต้องมีการแข่งขัน ประมูลแย่งกันเพราะใครได้ไปเท่ากับเสือติดปีก จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรคมนาคมต้องการและทีโอทีมีอยู่
______________________________
ฟื้นองค์กรจากรุ่งริ่งสู่ "รุ่งโรจน์" "ทีโอที" นับหนึ่งหาพันธมิตร
"ธันวา เลาหศิริวงศ์" 3 เดือนที่ผ่านมาในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการบริหาร บมจ.ทีโอที ล่าสุดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาได้รับการแต่งตั้งให้ควบตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ จากผู้บริหารเบอร์ 1 ในบริษัทไอทีข้ามชาติ ยักษ์สีฟ้า "ไอบีเอ็ม" (ประเทศไทย) มาสู่รัฐวิสาหกิจโทรคมนาคมที่ (เคย) ยิ่งใหญ่แต่ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มองค์กรที่ต้องเร่งฟื้นฟู และหนึ่งในแผนเร่งด่วนคือการหาพันธมิตร ทำไมและเพราะเหตุใด รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีคำตอบใน "ประชาชาติธุรกิจ" ดังนี้
- ทำไมตัดสินใจมาเป็นบอร์ดทีโอที
คิดว่าเป็นโอกาสในการช่วยทีโอที เพราะเป็นสมบัติของชาติที่ทุกคนจะช่วยให้ดีขึ้นได้ ซึ่งบอร์ดทุกคนก็คิดแบบนี้ เพราะเรามา ณ วันที่ทีโอทีติดลบ ขาดทุนกว่า 7,800 ล้านบาท ไม่ได้เริ่มที่ศูนย์ 3 เดือนที่ผ่านมาบอร์ดทุกคนทำงานกันหนักมาก เพื่อให้ทีโอทีกลับมาเริ่มที่ศูนย์ได้และเริ่มเดินไปข้างหน้าได้
ทีโอทีเป็นหน่วยงานที่รุ่งเรืองมาตลอด จนเริ่มเกิดปัญหาจากสัมปทานที่ใกล้จะหมดจึงอยากขอให้ทุกฝ่ายช่วย ขณะที่ทีโอทีก็ต้องปรับตัวเพื่อให้คุณภาพบริการ คุณภาพโปรดักต์เทียบเท่ามาตรฐานที่ดีและใช้จ่ายประหยัดสมฐานะ เข้มงวดเรื่องจัดซื้อจัดจ้างจะทำให้ผลประกอบการดีขึ้นแน่นอน
- งานเร่งด่วน
หาพันธมิตรทางกลยุทธ์ตามมติบอร์ด 15 ต.ค.ที่ผ่านมา บอร์ดเห็นว่าการพลิกฟื้นองค์กรอาจไม่ได้ใช้ศักยภาพเท่าที่ควรถ้าเราเดินไปลำพัง จึงมอบหมายให้เปิดรับพันธมิตรธุรกิจที่กว้างขวางขึ้น
โดยส่งจดหมายเชิญผู้ประกอบการที่น่าจะเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ไป 5 บริษัท คือเอไอเอส, ดีแทค, ทรู, ล็อกซเล่ย์ และสามารถฯ ทุกรายตอบรับมาดี บางรายประชุมร่วมกันไปแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้มีรายไหนยื่นเงื่อนไขแบบคอมเมอร์เชียลเทอม
เราเปิดรับข้อเสนอจากผู้ที่สนใจเชื่อว่าทีโอทีมีศักยภาพ มีทรัพยากรมากพอที่จะหนุนพาร์ตเนอร์ได้ ในประเทศมีรายอื่น ๆ ติดต่อเข้ามาแล้วอย่างทีทีแอนด์ที และโอเปอเรเตอร์ในกลุ่มโทรคมนาคมต่างประเทศก็มีติดต่อนัดคุย 2-3 ราย จากออสเตรเลีย, จีน, เกาหลี ซึ่งสนใจในแง่โครงสร้างพื้นฐานที่ทีโอทีมี เพราะโทรคมนาคมแต่ละประเทศมีจุดที่ต้องขยายไปต่างประเทศเพื่อให้คงการเติบโตไว้ได้ วันที่ 18 พ.ย.นี้จะคุยกับต่างชาติรายแรก
พาร์ตเนอร์ร่วมกันนี้ ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจโมบาย แต่เป็น 6 กลุ่มธุรกิจ คือโครงสร้างพื้นฐาน เสาโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต เกตเวย์ โมบาย โทรศัพท์ประจำที่ และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ กลุ่มบริการด้านไอทีจะมีฝ่ายบริหารเป็นทีมงานเฉพาะเพื่อดีลกับแต่ละบริษัท เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุดมาให้บอร์ดพิจารณา เป็นเรื่องเร่งด่วนเพราะทีโอทีมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องเร่งแก้ไข ถ้าสรุปเร็วย่อมดีกับทีโอที บอร์ดตั้งใจจะให้เอาข้อเสนอของแต่ละรายเข้าที่ประชุมในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ธ.ค.ให้ได้
- ทุกดีลบอร์ดตัดสินใจหรือต้องส่ง ครม.อีก
จบที่บอร์ด ยกเว้นกรณีที่มีมูลค่าสูงและเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนต้องเสนอ ครม.อนุมัติ
- 1 กลุ่มธุรกิจมีพาร์ตเนอร์แค่ 1 ราย
ต้องดูสถานการณ์ของข้อเสนอ เพราะอย่างกลุ่มโมบายทีโอทีก็มีทั้งคลื่น 900 MHz คลื่น 2300 MHz มีเสาสัญญาณ ก็คงต้องดูหลายอย่าง เพราะบอร์ดต้องพิจารณาถึงการทำงานร่วมกันตามข้อเสนอด้วย
- การหาพาร์ตเนอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่
พาร์ตเนอร์ทีโอทีเมื่อก่อนเป็นแบบซื้อมาขายไป แต่วันนี้ที่หาคือพันธมิตรทางกลยุทธ์ที่จะมาช่วยกันพัฒนา ใช้ศักยภาพของ 2 องค์กรเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน มาช่วยกันดูว่าเราจะคอมพลิเมนต์ในทางบริการได้อย่างไร
- โดนครหาเรื่องพาร์ตเนอร์มาตลอด
จุดนี้เชื่อว่าเป็นไทมิ่งที่ดีในการพาร์ตเนอร์ เพราะบอร์ดจะไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา แต่จะใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจในสิ่งที่ฝ่ายบริหารได้ไปเจรจาหาเงื่อนไขที่ดีที่สุดมาเสนอ
บอร์ดชุดนี้มีความตั้งใจและเชื่อว่าจะหาพาร์ตเนอร์ได้ โดยยึดหลักความตรงไปตรงมาและโปร่งใส ซึ่งเราก็จะดูทั้งในประเด็นด้านกฎหมายและความมั่นคงด้วย ส่วนข้อครหาต่าง ๆ บอร์ดจะต้องอธิบายได้ในแต่ละข้อเสนอที่ตัดสินใจ
- ตัดสินใจเลือกจากอะไร
มองทั้งเชิงกลยุทธ์และผลตอบแทนที่จะได้
- ถ้า AIS คือผู้เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุด
ในอดีตเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนกัน เชื่อว่าครั้งนี้เป็นไทมิ่งที่ดี และทีโอทีต้องการพาร์ตเนอร์ตามมติบอร์ดที่ออกมา ให้ฝ่ายบริหารกับรักษาการซีอีโอมาดำเนินการ เพราะบอร์ดก็ระมัดระวังข้อครหาว่าจะมีผลประโยชน์ ฉะนั้นก็มี 2 ขั้นตอน คือฝ่ายบริหารไปเจรจามา แล้วส่งให้บอร์ดตัดสินใจในสิ่งที่เขาเจรจามาว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงหรือเปล่า แล้วก็จะเปรียบเทียบกับข้อเสนอของรายอื่น ๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เป็นการเช็กแอนด์บาลานซ์กัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและได้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการจะพลิกฟื้นทีโอทีกลับมา
- ถ้ายังหาพาร์ตเนอร์ไม่ได้
ระหว่างที่รอบอร์ดฟันธงเราก็ยังต้องเดินหน้าทำธุรกิจไปตามปกติ
- พาร์ตเนอร์จำเป็นแค่ไหน
ปัจจุบันการทำธุรกิจโดยลำพังคนเดียวทำได้ลำบาก ไม่ใช่เฉพาะการทำธุรกิจของทีโอที โอเปอเรเตอร์รายอื่น ๆ ก็มีพาร์ตเนอร์เพื่อให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ทีโอทีก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิ การลงทุน เทคโนโลยี การใช้ทรัพยากร ซึ่งถ้าไม่มีพาร์ตเนอร์ทีโอทีก็จะใช้ทรัพยากรไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างธุรกิจโมบายต้องยอมรับว่า ทีโอทีไม่เก่งเรื่องรีเทล การมีพันธมิตรจะเสริมได้เยอะ ทำให้ 1 + 1 มากกว่า 2 ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานก็เหมือนกัน รวมไปถึงกลุ่มอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ด้วย
- มีอะไรที่ดึงดูดพาร์ตเนอร์ได้ดีสุด
แบนด์วิดท์ คลื่นความถี่ ฐานลูกค้าลาสต์ไมล์ พวกนี้คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของธุรกิจโทรคมนาคมถึงต้องมีการแข่งขัน ประมูลแย่งกันเพราะใครได้ไปเท่ากับเสือติดปีก จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรคมนาคมต้องการและทีโอทีมีอยู่
- ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร
เราเตรียมตัวจัดองค์กรให้เป็น 6 กลุ่มรองรับกับคำสั่งของ กนร.วันหนึ่ง กนร.ก็คงสรุปมาว่า 6 กลุ่มนี้จะยังอยู่กับทีโอที หรือสปินออฟออกไป
- เป้าผลประกอบการสิ้นปี
ต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่ แต่ดีขึ้นแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ถ้าโดนตัดทรัพย์สินด้อยค่าเยอะก็อาจขาดทุนเป็นหมื่นล้าน ขึ้นอยู่กับผู้สอบบัญชีและ สตง.ด้วย ไม่ได้ขึ้นกับบอร์ดอย่างเดียว
- ประสบการณ์บริษัทข้ามชาติ
ทำให้การทำทุกอย่าง Base on ธุรกิจ คือความตรงไปตรงมาที่พาร์ตเนอร์ต่างชาติน่าจะโอเค
- จะลงสมัครเป็น CEO ด้วย
เป็นเรื่องของอนาคต
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1415641317