ตอนนี้ก็ผ่านรายการเบอร์ลินมาราธอนมาเดือนกว่าๆแล้วครับ พอดีผมได้มีโอกาสไปวิ่งรายการนี้มาด้วย และก็เกิดความประทับใจในด้านการเตรียมงานและการออแกไนซ์ของเค้า ก็เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆจากรายการนี้ครับ เข้าไปอ่านโพส "เก็บตกกับเบอร์ลินมาราธอน" ได้จากบล็อกของผมเลยค้าบบ
http://www.ettmarathonblog.com/1411020431/
อ้อ... แล้วผมก็มีโพสเกี่ยวกับรีวิวเส้นทางวิ่งของรายการนี้ด้วย โดยเส้นทางนี้จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในเบอร์ลินหลายแห่งเลยครับ เข้าไปดูกันได้ที่นี่เลย
http://www.ettmarathonblog.com/1409210120/
ถ้าอ่านแล้วชอบบล็อกของผม ก็ช่วยมากดไลค์ที่ fanpage ด้วยนะค้าบบ อมยิ้ม04
https://www.facebook.com/ettmarathonblog
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนโพสนี้ซะที โพสนี้ผมตั้งใจว่าจะเขียนตั้งแต่ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาละ แต่ช่วงที่ผ่านมางานกำลังยุ่งๆอยู่ และผมก็ติดไปพายเรือด้วย ก็เลยยังไม่ได้เขียนซักที ….ตอนนี้ก็ผ่านเบอร์ลินมาราธอนมาได้เดือนนึงแล้ว ซึ่งถ้าใครที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่ารายการนี้มีการสร้างสถิติโลกใหม่ขึ้นมาอีกละ โดย Dennis Kimetto นักวิ่งชาวเคนย่า ด้วยเวลา 02:02:57
โพสนี้ผมตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับความเห็นส่วนตัวด้านต่างๆเกี่ยวกับงานนี้ อย่างเรื่องการ organize จัดงานของทางผู้จัด ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนวันวิ่ง ซึ่งก็คือการลงทะเบียน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆของงานให้กับผู้วิ่ง วันที่ไปเอาเบอร์วิ่ง รวมถึงการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ …และก็ในวันที่วิ่งจริง อย่างเช่นเรื่องการ manage บริเวณจุดสตาร์ท การบริการเครื่องดื่ม ของกินตามจุดต่างๆ และก็เรื่องห้องน้ำด้วยเช่นกัน และสุดท้ายก็คือความรู้สึกส่วนตัวของผมหลังจากวิ่งรายการนี้ เราไปดูเรื่องต่างๆกันเลยครับ..
การ organize จัดงาน – งานนี้ถือว่า organize การจัดงานได้ดีมากทีเดียว ก็อย่างว่าล่ะครับเป็นหนึ่งในรายการ World Marathon Majors ถ้าทำไม่ดีก็คงจะเสียชื่อแน่นอน คือเริ่มตั้งแต่การลงทะเบียนแล้ว website ของงานออกแบบได้ดี ชัดเจน หาข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว คือคอนเซ็บ การดีไซน์เว็ปนี่แนวคิดแบบเยอรมันเลย ถึงจุด ตรงประเด็น Keep it simple but highly efficient และถ้าตอนที่เราลงทะเบียนติ๊กแบบว่าเอา newsletter ด้วยก็จะมีอีเมลแจ้งข่าวสารให้เราเป็นระยะๆ พอใกล้ๆวันงาน ซักประมาณ 4 อาทิตย์ก่อนวิ่งจริงก็จะมีอีเมลส่ง start card มาให้เรา คือใบนี้สำหรับเอาไว้ใช้ในการยื่นยืนยันในวันรับเบอร์ โดยใบนี้เราอาจจะ print ถือเป็นกระดาษไป หรือว่าจะ download มาลง passbook ใน smartphone ก็ได้
startcard
เวลาไปเอาเบอร์วิ่งจะต้องใช้ start card นี้คู่กับ ID ที่มีรูปอยู่ด้วย เพื่อ ยืนยันว่าเป็นคนๆนี้จริงๆ นอกจากเบอร์วิ่งแล้วก็ยังถูกใส่ wristband มาด้วย โดยทางผู้จัดงานก็กำชับว่าห้ามถอดออกจนกว่าจะวิ่งเสร็จ wristband นี้ก็ใช้เพื่อการ double check ว่าคนที่เข้าไปวิ่งเป็นคนๆเดียวกับที่ลงทะเบียน และไปเอาเบอร์จริงๆ
wristband
พอเอาเบอร์แล้วก็จะได้ถุงมาถุงนึง ซึ่งในนั้นก็จะมีของต่างๆจาก sponsor อย่างเช่น พาวเวอร์เจล สบู่ แผ่นพับต่าง แล้วก็ booklet โดยใน booklet นี้ก็จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลายๆอย่าง เช่น วิธีเดินทางไปจุดสตาร์ท แผนที่และข้อที่ต้องคำนึงเวลาเข้าจุดสตาร์ท ที่สำหรับฝากของ ห้องน้ำ ฯลฯ
StartArea
และอีกอย่างนึงที่เจ๋งมากสำหรับงานนี้ก็คือ app โดยเฉพาะ functionality สำหรับในการ track นักวิ่ง อันนี้ได้รับการยืนยันมาจากกองเชียร์เลยครับว่าใช้สะดวก แล้วก็ ckeckได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ตรงไหนแล้ว และ app ก็จะคำนวณเวลาคร่าวๆให้ด้วยว่าจะถึงจุดต่อไปที่เวลาเท่าไหร่
app
ผมมีรูปตอนไปเอาเบอร์มาฝากด้วยครับ โดยสถานที่ก็คือ Berlin Tempelhof airport โดยเมื่อก่อนเป็นอดีต 1 ใน 3 สนามบินในเบอร์ลิน แต่ปัจจุบันได้ปิดบริการไปแล้ว …เราไปดูรูปกันเลยค้าบ
CollectingNumber_1
เริ่มกันที่ตอนเดินทางมาถึงเลย….สถานี U-Bahn (รถใต้ดิน)
CollectingNumber_2
บริเวณด้านใน..
CollectingNumber_3
สปอนเซอร์หลัก
CollectingNumber_4
exhibition ด้านใน
CollectingNumber_5
BMW เอารถมาโชว์ด้วย
CollectingNumber_6
บริเวณรับเสื้อ event shirt และ finisher shirt โดยเสื้อสองตัวนี้เราสามารถเลือกที่จะสั่งได้ตอนลงทะเบียน แต่ความเห็นของผมแล้ว ผมว่าเสื้อ finisher นี้ควรที่จะให้เฉพาะในกรณีวิ่งเข้าเส้นชัยเท่านั้น มันจะดูขลังและน่าภูมิใจกว่า เหมือนอย่างรายการมาราธอนภูเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่ผมไปวิ่งมา แต่เท่าที่ผมรู้เหมือนว่ารายการในเยอรมันเสื้อ finisher จะให้ตั้งแต่ก่อนวิ่งเลย
CollectingNumber_7
บูธของสปอนเซอร์
CollectingNumber_8
CollectingNumber_9
บูธอดิดาสนี่ใหญ่มากๆอ่ะ..
CollectingNumber_10
บริเวณโฆษณารายการ World Majors
CollectingNumber_11
บริเวณด้านนอก…
การ organize ในวันวิ่ง - ในวันวิ่งนั้นนอกจากจะได้วิ่งผ่าน landmark สำคัญหลักๆของเบอร์ลิน เหมือนอย่างที่ผมได้รีวิวไปในโพสก่อนหน้านี้แล้ว การ organize ด้านต่างยังถือว่าดีมากด้วย ตั้งแต่การตรวจคนและระบายคนตรงบริเวณทางเข้า ซึ่งก็จะตรวจจากที่เราต้องติดเบอร์วิ่งและก็ต้องมี wristband ที่ได้มาตอนไปเอาเบอร์นั่นล่ะครับ และก็ทางแยกไปยังสตาร์ทบล็อกต่างๆก็ยังมีเยอะ ทำให้คนไม่กระจุกกันมากเกินไป คือรายการนี้มีคนวิ่งประมาณ 40,000 คน แต่ตรงบริเวณก่อนเข้าบล็อกนี่ผู้จัดเค้าวางแผนมาดีมาก ทำให้ไม่รู้สึกแออัดเลย ห้องน้ำบริเวณจุดสตาร์ทก็มีเยอะพอสมควร แต่จุดนึงที่ประทับใจมากคือจุดให้น้ำดื่มกับของกิน คือจะมีทุกๆ 5 กิโล และพอเลยกิโล 25 ไปนี่แทบจะมีทุกๆ 3-4 กิโลเลย และของกินที่แจกก็มีเยอะ เรียกว่าพอสำหรับทุกๆคนเลย มีทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ sport drink กล้วย power gel โดยเฉพาะ power gel นี่มีอยู่หลายจุดมาก และอีกอย่างที่ผมว่าเจ๋งมากก็คือ วงดนตรี band ต่างๆที่เล่นอยู่ตามเส้นทาง ได้เพิ่มสีสัน บรรยากาศและกำลังใจให้กับนักวิ่งมาก พูดถึงเรื่องกำลังใจ ผมว่างานนี้คนที่มายืนเชียร์ตามเส้นทางนี่เยอะมากๆเลยครับ คือคนเยอะมากแทบจะทุกจุด และยิ่งเฉพาะบริเวณจะเข้าเส้นชัยคนเยอะมาก มีทำเป็นอรรถจันต์ด้วย และก็ยังมีคนประกาศชื่อคนที่วิ่งเข้าเส้นชัยด้วย
ความรู้สึกหลังจากวิ่งรายการนี้ - โดยส่วนตัวผมแล้วผมเสียดายอย่างนึงก็คือว่าผมไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ผมเล่ามาอย่างเต็มที่ เพราะว่าระหว่างที่วิ่ง อาการบาดเจ็บที่ผมเป็นในช่วงก่อนที่รายการนี้จะเริ่มประมาณ 3 อาทิตย์มันเกิดกำเริบขึ้นมา คือมันยังไม่หายดี ต่อนก่อนวิ่งผมก็ภาวนาไว้ว่าขอให้โชคดีด้วยเถอะ ถ้าจะกำเริบขึ้นมาก็ขอให้เป็นในช่วงกิโลท้ายๆ …แต่นี่มันกำเริบมาตั้งแต่กิโลที่ 18 เลยครับ ตอนนั้นก็เลยรู้เลยว่าคงจะแย่แน่ๆ เหลืออีกตั้งหลายกิโลกว่าจะครบ 42 กิโล ตอนนั้นผมก็ฝืนวิ่งต่อไปได้อีก 5 กิโล จนถึงกิโลที่ 23 แต่ที่กิโลนี้ผมก็รู้เลยว่าวิ่งอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แน่ อาจฝืนไปได้อีกอย่างมาก 3 กิโลแต่หลังจากนั้นคงจะเจ็บมากจนไปต่อถึงเส้นชัยไม่ได้แน่ๆ …. ดังนั้น ผมจึงต้องตัดสินใจ…และผมก็ตัดสินใจ เดินครับ !! เดินจริงๆ คือผมเดินตั้งแต่กิโลที่ 23 จนถึงเส้นชัยเลย คือเหมือนถูกบังคับให้เดินอ่ะครับ เดินทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ได้เหนื่อยหรือเมื่อยขาอะไรเลย เพียงแต่ว่าไอ้ตรงที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้มันกำเริบขึ้นมา …..สำหรับคนที่วิ่งจะรู้เลยครับว่า มันเจ็บปวด และน่าเสียดายขนาดไหนที่ต้องมาเดินเยอะขนาดนี้ ดังนั้น ช่วงครึ่งหลังของรายการนี้ผมเลยต้องเดินไปด้วยความ frustated และเสียดายมากๆ คือรายการนี้เป็นรายการแรกที่ตอนผมเข้าเส้นชัยได้เหรียญมาแล้วผมไม่รู้สึกอะไรเลย คือความรู้สึกฟินแบบการวิ่งมาราธอนมันไม่เกิดเลย ถ้าพูดเรื่องเวลา จากตอนแรกที่เป้าหมายของผมสำหรับรายการนี้ก็คือวิ่งให้ได้ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ก็ยังแอบหวังไว้ที่ซัก 4 ชั่วโมง 50 นาที แต่เนื่องจากต้องเดินไปซะครึ่งนึงก็เลยเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 6 ชั่วโมงไปเลยครับ …แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของการตัดสินใจ ผมว่าผมทำถูกแล้วครับ เพราะถ้าผมฝืนวิ่งต่อไปอีก ผมคงไม่ได้เข้าเส้นชัยได้เหรียญมาแน่…คงจะต้องออกจากรายการด้วยอาการบาดเจ็บ แต่อย่างไรก็ตามถ้ามองย้อนกลับไปรายการนี้ก็สอนบทเรียนและประสบการณ์อีกด้านในการวิ่งมาราธอนให้กับผม นั่นก็คือ ด้านความผิดหวังและการที่เราทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมาคิดๆดูแล้วมันก็ดีเหมือนกับครับ เป็นประสบการณ์ให้ตัวเอง ได้เรียนรู้จากมันและกลับมาอย่างแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เรามีทั้งช่วงดีใจ และผิดหวัง และเรียนรู้กับมันไป ทำให้เราดีลกับอารมณ์ของตัวเองเวลาที่ผิดหวังได้ดีขึ้น

medal
…โดยรวมๆแล้วรายการนี้ก็ถือว่าเป็นรายการที่น่าจดจำ และเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับผมรายการหนึ่งล่ะครับ แต่แน่นอนว่าปีหน้าผมต้องมาแก้ตัวใหม่แน่นอน (ถ้าผมมีโชคได้รับการสุ่มคัดเลือกได้ starting place มานะ ;) คือรายการนี้เนื่องจากมีคนสมัครมากกว่าที่เค้าเปิดรับเยอะมากๆ ดังนั้น ทางผู้จัดจึงใช้วิธีจับฉลากคัดเลือกว่าใครจะได้วิ่ง)
เก็บตกกับเบอร์ลินมาราธอน
อ้อ... แล้วผมก็มีโพสเกี่ยวกับรีวิวเส้นทางวิ่งของรายการนี้ด้วย โดยเส้นทางนี้จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในเบอร์ลินหลายแห่งเลยครับ เข้าไปดูกันได้ที่นี่เลย http://www.ettmarathonblog.com/1409210120/
ถ้าอ่านแล้วชอบบล็อกของผม ก็ช่วยมากดไลค์ที่ fanpage ด้วยนะค้าบบ อมยิ้ม04 https://www.facebook.com/ettmarathonblog
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนโพสนี้ซะที โพสนี้ผมตั้งใจว่าจะเขียนตั้งแต่ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาละ แต่ช่วงที่ผ่านมางานกำลังยุ่งๆอยู่ และผมก็ติดไปพายเรือด้วย ก็เลยยังไม่ได้เขียนซักที ….ตอนนี้ก็ผ่านเบอร์ลินมาราธอนมาได้เดือนนึงแล้ว ซึ่งถ้าใครที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่ารายการนี้มีการสร้างสถิติโลกใหม่ขึ้นมาอีกละ โดย Dennis Kimetto นักวิ่งชาวเคนย่า ด้วยเวลา 02:02:57
โพสนี้ผมตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับความเห็นส่วนตัวด้านต่างๆเกี่ยวกับงานนี้ อย่างเรื่องการ organize จัดงานของทางผู้จัด ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนวันวิ่ง ซึ่งก็คือการลงทะเบียน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆของงานให้กับผู้วิ่ง วันที่ไปเอาเบอร์วิ่ง รวมถึงการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ …และก็ในวันที่วิ่งจริง อย่างเช่นเรื่องการ manage บริเวณจุดสตาร์ท การบริการเครื่องดื่ม ของกินตามจุดต่างๆ และก็เรื่องห้องน้ำด้วยเช่นกัน และสุดท้ายก็คือความรู้สึกส่วนตัวของผมหลังจากวิ่งรายการนี้ เราไปดูเรื่องต่างๆกันเลยครับ..
การ organize จัดงาน – งานนี้ถือว่า organize การจัดงานได้ดีมากทีเดียว ก็อย่างว่าล่ะครับเป็นหนึ่งในรายการ World Marathon Majors ถ้าทำไม่ดีก็คงจะเสียชื่อแน่นอน คือเริ่มตั้งแต่การลงทะเบียนแล้ว website ของงานออกแบบได้ดี ชัดเจน หาข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว คือคอนเซ็บ การดีไซน์เว็ปนี่แนวคิดแบบเยอรมันเลย ถึงจุด ตรงประเด็น Keep it simple but highly efficient และถ้าตอนที่เราลงทะเบียนติ๊กแบบว่าเอา newsletter ด้วยก็จะมีอีเมลแจ้งข่าวสารให้เราเป็นระยะๆ พอใกล้ๆวันงาน ซักประมาณ 4 อาทิตย์ก่อนวิ่งจริงก็จะมีอีเมลส่ง start card มาให้เรา คือใบนี้สำหรับเอาไว้ใช้ในการยื่นยืนยันในวันรับเบอร์ โดยใบนี้เราอาจจะ print ถือเป็นกระดาษไป หรือว่าจะ download มาลง passbook ใน smartphone ก็ได้
startcard
เวลาไปเอาเบอร์วิ่งจะต้องใช้ start card นี้คู่กับ ID ที่มีรูปอยู่ด้วย เพื่อ ยืนยันว่าเป็นคนๆนี้จริงๆ นอกจากเบอร์วิ่งแล้วก็ยังถูกใส่ wristband มาด้วย โดยทางผู้จัดงานก็กำชับว่าห้ามถอดออกจนกว่าจะวิ่งเสร็จ wristband นี้ก็ใช้เพื่อการ double check ว่าคนที่เข้าไปวิ่งเป็นคนๆเดียวกับที่ลงทะเบียน และไปเอาเบอร์จริงๆ
wristband
พอเอาเบอร์แล้วก็จะได้ถุงมาถุงนึง ซึ่งในนั้นก็จะมีของต่างๆจาก sponsor อย่างเช่น พาวเวอร์เจล สบู่ แผ่นพับต่าง แล้วก็ booklet โดยใน booklet นี้ก็จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลายๆอย่าง เช่น วิธีเดินทางไปจุดสตาร์ท แผนที่และข้อที่ต้องคำนึงเวลาเข้าจุดสตาร์ท ที่สำหรับฝากของ ห้องน้ำ ฯลฯ
StartArea
และอีกอย่างนึงที่เจ๋งมากสำหรับงานนี้ก็คือ app โดยเฉพาะ functionality สำหรับในการ track นักวิ่ง อันนี้ได้รับการยืนยันมาจากกองเชียร์เลยครับว่าใช้สะดวก แล้วก็ ckeckได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ตรงไหนแล้ว และ app ก็จะคำนวณเวลาคร่าวๆให้ด้วยว่าจะถึงจุดต่อไปที่เวลาเท่าไหร่
app
ผมมีรูปตอนไปเอาเบอร์มาฝากด้วยครับ โดยสถานที่ก็คือ Berlin Tempelhof airport โดยเมื่อก่อนเป็นอดีต 1 ใน 3 สนามบินในเบอร์ลิน แต่ปัจจุบันได้ปิดบริการไปแล้ว …เราไปดูรูปกันเลยค้าบ
CollectingNumber_1
เริ่มกันที่ตอนเดินทางมาถึงเลย….สถานี U-Bahn (รถใต้ดิน)
CollectingNumber_2
บริเวณด้านใน..
CollectingNumber_3
สปอนเซอร์หลัก
CollectingNumber_4
exhibition ด้านใน
CollectingNumber_5
BMW เอารถมาโชว์ด้วย
CollectingNumber_6
บริเวณรับเสื้อ event shirt และ finisher shirt โดยเสื้อสองตัวนี้เราสามารถเลือกที่จะสั่งได้ตอนลงทะเบียน แต่ความเห็นของผมแล้ว ผมว่าเสื้อ finisher นี้ควรที่จะให้เฉพาะในกรณีวิ่งเข้าเส้นชัยเท่านั้น มันจะดูขลังและน่าภูมิใจกว่า เหมือนอย่างรายการมาราธอนภูเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่ผมไปวิ่งมา แต่เท่าที่ผมรู้เหมือนว่ารายการในเยอรมันเสื้อ finisher จะให้ตั้งแต่ก่อนวิ่งเลย
CollectingNumber_7
บูธของสปอนเซอร์
CollectingNumber_8
CollectingNumber_9
บูธอดิดาสนี่ใหญ่มากๆอ่ะ..
CollectingNumber_10
บริเวณโฆษณารายการ World Majors
CollectingNumber_11
บริเวณด้านนอก…
การ organize ในวันวิ่ง - ในวันวิ่งนั้นนอกจากจะได้วิ่งผ่าน landmark สำคัญหลักๆของเบอร์ลิน เหมือนอย่างที่ผมได้รีวิวไปในโพสก่อนหน้านี้แล้ว การ organize ด้านต่างยังถือว่าดีมากด้วย ตั้งแต่การตรวจคนและระบายคนตรงบริเวณทางเข้า ซึ่งก็จะตรวจจากที่เราต้องติดเบอร์วิ่งและก็ต้องมี wristband ที่ได้มาตอนไปเอาเบอร์นั่นล่ะครับ และก็ทางแยกไปยังสตาร์ทบล็อกต่างๆก็ยังมีเยอะ ทำให้คนไม่กระจุกกันมากเกินไป คือรายการนี้มีคนวิ่งประมาณ 40,000 คน แต่ตรงบริเวณก่อนเข้าบล็อกนี่ผู้จัดเค้าวางแผนมาดีมาก ทำให้ไม่รู้สึกแออัดเลย ห้องน้ำบริเวณจุดสตาร์ทก็มีเยอะพอสมควร แต่จุดนึงที่ประทับใจมากคือจุดให้น้ำดื่มกับของกิน คือจะมีทุกๆ 5 กิโล และพอเลยกิโล 25 ไปนี่แทบจะมีทุกๆ 3-4 กิโลเลย และของกินที่แจกก็มีเยอะ เรียกว่าพอสำหรับทุกๆคนเลย มีทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ sport drink กล้วย power gel โดยเฉพาะ power gel นี่มีอยู่หลายจุดมาก และอีกอย่างที่ผมว่าเจ๋งมากก็คือ วงดนตรี band ต่างๆที่เล่นอยู่ตามเส้นทาง ได้เพิ่มสีสัน บรรยากาศและกำลังใจให้กับนักวิ่งมาก พูดถึงเรื่องกำลังใจ ผมว่างานนี้คนที่มายืนเชียร์ตามเส้นทางนี่เยอะมากๆเลยครับ คือคนเยอะมากแทบจะทุกจุด และยิ่งเฉพาะบริเวณจะเข้าเส้นชัยคนเยอะมาก มีทำเป็นอรรถจันต์ด้วย และก็ยังมีคนประกาศชื่อคนที่วิ่งเข้าเส้นชัยด้วย
ความรู้สึกหลังจากวิ่งรายการนี้ - โดยส่วนตัวผมแล้วผมเสียดายอย่างนึงก็คือว่าผมไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ผมเล่ามาอย่างเต็มที่ เพราะว่าระหว่างที่วิ่ง อาการบาดเจ็บที่ผมเป็นในช่วงก่อนที่รายการนี้จะเริ่มประมาณ 3 อาทิตย์มันเกิดกำเริบขึ้นมา คือมันยังไม่หายดี ต่อนก่อนวิ่งผมก็ภาวนาไว้ว่าขอให้โชคดีด้วยเถอะ ถ้าจะกำเริบขึ้นมาก็ขอให้เป็นในช่วงกิโลท้ายๆ …แต่นี่มันกำเริบมาตั้งแต่กิโลที่ 18 เลยครับ ตอนนั้นก็เลยรู้เลยว่าคงจะแย่แน่ๆ เหลืออีกตั้งหลายกิโลกว่าจะครบ 42 กิโล ตอนนั้นผมก็ฝืนวิ่งต่อไปได้อีก 5 กิโล จนถึงกิโลที่ 23 แต่ที่กิโลนี้ผมก็รู้เลยว่าวิ่งอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แน่ อาจฝืนไปได้อีกอย่างมาก 3 กิโลแต่หลังจากนั้นคงจะเจ็บมากจนไปต่อถึงเส้นชัยไม่ได้แน่ๆ …. ดังนั้น ผมจึงต้องตัดสินใจ…และผมก็ตัดสินใจ เดินครับ !! เดินจริงๆ คือผมเดินตั้งแต่กิโลที่ 23 จนถึงเส้นชัยเลย คือเหมือนถูกบังคับให้เดินอ่ะครับ เดินทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ได้เหนื่อยหรือเมื่อยขาอะไรเลย เพียงแต่ว่าไอ้ตรงที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้มันกำเริบขึ้นมา …..สำหรับคนที่วิ่งจะรู้เลยครับว่า มันเจ็บปวด และน่าเสียดายขนาดไหนที่ต้องมาเดินเยอะขนาดนี้ ดังนั้น ช่วงครึ่งหลังของรายการนี้ผมเลยต้องเดินไปด้วยความ frustated และเสียดายมากๆ คือรายการนี้เป็นรายการแรกที่ตอนผมเข้าเส้นชัยได้เหรียญมาแล้วผมไม่รู้สึกอะไรเลย คือความรู้สึกฟินแบบการวิ่งมาราธอนมันไม่เกิดเลย ถ้าพูดเรื่องเวลา จากตอนแรกที่เป้าหมายของผมสำหรับรายการนี้ก็คือวิ่งให้ได้ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ก็ยังแอบหวังไว้ที่ซัก 4 ชั่วโมง 50 นาที แต่เนื่องจากต้องเดินไปซะครึ่งนึงก็เลยเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 6 ชั่วโมงไปเลยครับ …แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของการตัดสินใจ ผมว่าผมทำถูกแล้วครับ เพราะถ้าผมฝืนวิ่งต่อไปอีก ผมคงไม่ได้เข้าเส้นชัยได้เหรียญมาแน่…คงจะต้องออกจากรายการด้วยอาการบาดเจ็บ แต่อย่างไรก็ตามถ้ามองย้อนกลับไปรายการนี้ก็สอนบทเรียนและประสบการณ์อีกด้านในการวิ่งมาราธอนให้กับผม นั่นก็คือ ด้านความผิดหวังและการที่เราทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมาคิดๆดูแล้วมันก็ดีเหมือนกับครับ เป็นประสบการณ์ให้ตัวเอง ได้เรียนรู้จากมันและกลับมาอย่างแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เรามีทั้งช่วงดีใจ และผิดหวัง และเรียนรู้กับมันไป ทำให้เราดีลกับอารมณ์ของตัวเองเวลาที่ผิดหวังได้ดีขึ้น
medal
…โดยรวมๆแล้วรายการนี้ก็ถือว่าเป็นรายการที่น่าจดจำ และเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับผมรายการหนึ่งล่ะครับ แต่แน่นอนว่าปีหน้าผมต้องมาแก้ตัวใหม่แน่นอน (ถ้าผมมีโชคได้รับการสุ่มคัดเลือกได้ starting place มานะ ;) คือรายการนี้เนื่องจากมีคนสมัครมากกว่าที่เค้าเปิดรับเยอะมากๆ ดังนั้น ทางผู้จัดจึงใช้วิธีจับฉลากคัดเลือกว่าใครจะได้วิ่ง)