จากมติชนออนไลน์
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ผู้หญิงข้ามเพศ(ชายที่ต้องการเป็นหญิง)ชาวมาเลเซีย 3 คน ชนะคดีครั้งสำคัญเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิของตนเอง หลังศาลอุทธรณ์แห่งรัฐเนกรีเซมบิลัน ทางตอนใต้ของมาเลเซีย ได้มีคำพิพากษาที่เป็นการคว่ำกฎหมายต่อต้านการแต่งกายข้ามเพศของชาวมุสลิมในรัฐนี้
โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รัฐเนกรีเซมบิลัน3คนมีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งรัฐที่กำหนดห้ามชายชาวมุสลิมแต่งกายเป็นผู้หญิง เป็นสิ่งขัดต่อกฎหมายซึ่งบทบัญญัตินี้ได้ทำให้ผู้ร้องในคดีนี้สูญเสียสิทธิในการดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
คำตัดสินข้างต้นศาลอุทธรณ์รัฐเนกรีเซมบิลันเป็นการกลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นในปี2545ที่ปฏิเสธคำฟ้องของผู้ร้องในคดีนี้3 รายซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศ โดยพวกเขาเป็นชายชาวมุสลิมตั้งแต่กำเนิดแต่ต้องการเป็นผู้หญิง ได้ถูกจับกุมเมื่อ 4 ปีก่อนหน้าภายใต้กฎหมายห้ามการแต่งกายข้ามเพศของรัฐเนกรีเซมบิลัน โดยภายใต้กฎหมายนี้ได้กำหนดโทษชายชาวมุสลิมแต่งกายหรือแสดงท่าทางเป็นผู้หญิง เป็นโทษจำคุกสูงถึง 3 ปี ขณะที่บางรัฐของมาเลเซียยังมีกฎหมายห้ามผู้หญิงแต่งกายเป็นผู้ชายด้วย ทั้งนี้ มาเลเซียยังมีระบบสองศาลที่มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามทางคดีแพ่งกับชาวมุสลิมที่ถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศหรือคิดเป็น60เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งสิ้นราว 30 ล้านคน
แอสตัน ไพวา ทนายความของผู้ร้องในคดีนี้กล่าวว่า คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้ถือเป็นคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ที่อาจนำไปใช้ในการต่อสู้กับการจับกุมดำเนินคดีคนข้ามเพศทั่วประเทศมาเลเซียได้ขณะที่หนึ่งในผู้ร้องที่ไม่ได้มาฟังคำตัดสินในศาลด้วยให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่ารู้สึกดีใจที่ชนะคดีและทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐเนกรีเซมบิลันปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆว่าจะมีการต่อสู้คดีนี้ในชั้นศาลฎีกาต่อไปหรือไม่
คดีนี้นับเป็นความพยายามครั้งแรกที่จะล้มกฎหมายห้ามการแต่งกายข้ามเพศในมาเลเซียซึ่งการรักร่วมเพศและการใช้ชีวิตในลักษณะคนข้ามเพศยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามขณะที่กฎหมายอิสลามก็ยังเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก
ก่อนหน้านี้ ฮิวแมนไรท์สวอตช์ กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติว่าวิถีการดำเนินชีวิตของคนข้ามเพศเป็นสิ่งที่ขัดกฎหมายหลังจากกลุ่มฮิวแมนไรท์สวอตช์พบว่ากลุ่มคนข้ามเพศในมาเลเซียต้องเผชิญกับการถูกกดขี่คุกคามถูกทารุณ ถูกกีดกันทางสังคมและเสี่ยงต่อการถูกเจ้าหน้าที่จับกุมทุกวัน
สาวประเภทสองมาเลย์เฮ ชนะคดี "ข้อห้ามแต่งกายข้ามเพศของรัฐ" ขัดต่อกม.ประเทศ
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ผู้หญิงข้ามเพศ(ชายที่ต้องการเป็นหญิง)ชาวมาเลเซีย 3 คน ชนะคดีครั้งสำคัญเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิของตนเอง หลังศาลอุทธรณ์แห่งรัฐเนกรีเซมบิลัน ทางตอนใต้ของมาเลเซีย ได้มีคำพิพากษาที่เป็นการคว่ำกฎหมายต่อต้านการแต่งกายข้ามเพศของชาวมุสลิมในรัฐนี้
โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รัฐเนกรีเซมบิลัน3คนมีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งรัฐที่กำหนดห้ามชายชาวมุสลิมแต่งกายเป็นผู้หญิง เป็นสิ่งขัดต่อกฎหมายซึ่งบทบัญญัตินี้ได้ทำให้ผู้ร้องในคดีนี้สูญเสียสิทธิในการดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
คำตัดสินข้างต้นศาลอุทธรณ์รัฐเนกรีเซมบิลันเป็นการกลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นในปี2545ที่ปฏิเสธคำฟ้องของผู้ร้องในคดีนี้3 รายซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศ โดยพวกเขาเป็นชายชาวมุสลิมตั้งแต่กำเนิดแต่ต้องการเป็นผู้หญิง ได้ถูกจับกุมเมื่อ 4 ปีก่อนหน้าภายใต้กฎหมายห้ามการแต่งกายข้ามเพศของรัฐเนกรีเซมบิลัน โดยภายใต้กฎหมายนี้ได้กำหนดโทษชายชาวมุสลิมแต่งกายหรือแสดงท่าทางเป็นผู้หญิง เป็นโทษจำคุกสูงถึง 3 ปี ขณะที่บางรัฐของมาเลเซียยังมีกฎหมายห้ามผู้หญิงแต่งกายเป็นผู้ชายด้วย ทั้งนี้ มาเลเซียยังมีระบบสองศาลที่มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามทางคดีแพ่งกับชาวมุสลิมที่ถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศหรือคิดเป็น60เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งสิ้นราว 30 ล้านคน
แอสตัน ไพวา ทนายความของผู้ร้องในคดีนี้กล่าวว่า คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้ถือเป็นคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ที่อาจนำไปใช้ในการต่อสู้กับการจับกุมดำเนินคดีคนข้ามเพศทั่วประเทศมาเลเซียได้ขณะที่หนึ่งในผู้ร้องที่ไม่ได้มาฟังคำตัดสินในศาลด้วยให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่ารู้สึกดีใจที่ชนะคดีและทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐเนกรีเซมบิลันปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆว่าจะมีการต่อสู้คดีนี้ในชั้นศาลฎีกาต่อไปหรือไม่
คดีนี้นับเป็นความพยายามครั้งแรกที่จะล้มกฎหมายห้ามการแต่งกายข้ามเพศในมาเลเซียซึ่งการรักร่วมเพศและการใช้ชีวิตในลักษณะคนข้ามเพศยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามขณะที่กฎหมายอิสลามก็ยังเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก
ก่อนหน้านี้ ฮิวแมนไรท์สวอตช์ กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติว่าวิถีการดำเนินชีวิตของคนข้ามเพศเป็นสิ่งที่ขัดกฎหมายหลังจากกลุ่มฮิวแมนไรท์สวอตช์พบว่ากลุ่มคนข้ามเพศในมาเลเซียต้องเผชิญกับการถูกกดขี่คุกคามถูกทารุณ ถูกกีดกันทางสังคมและเสี่ยงต่อการถูกเจ้าหน้าที่จับกุมทุกวัน