หากการต่อสู้ดิ้นรนอันยาวนานของยุคเรา ถูกสรุปบันทึกเป็น 2-3 ประโยค

เป็นธรรมดา ที่เราจะรู้สึกกันว่าเราคือคนจริง ของจริง คนในอดีตทำหน้าที่ได้เป็นเพียงบทเรียนของเรา
ส่วนคนในอนาคตก็คล้ายความฝันอันคลุมเครือ การบันทึกเหตุการณ์ต่างๆในขณะนี้เวลานี้ จึงเป็นการ
บันทึกรายงานกันเป็นรายนาทีก็ว่าได้ เราส่งต่อข่าวสารกันตลอดเวลา การกระทำของบุคคลสำคัญๆมี
การนำมารายงานวิเคราห์กันอย่างละเอียด ทั้งข่าวหลัก 3 เวลา ข่าวด่วน รวมถึงตามอินเตอร์เน็ตและอื่นๆ

แต่พอเวลาผ่านพ้นไป เรื่องราวข่าวสารต่างๆที่รายงานกันชนิดคำต่อคำนี้ ก็จะค่อยๆถูกสรุปตัดทอนให้เหลือ
น้อยลงไปเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านพ้น เช่นว่า ผู้ที่เคยผ่านยุคที่พลเอกเปรมเป็นนายกฯ ในสมัยนั้นอาจรู้สึก
เดือดร้อนกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจในช่วงนั้นอย่างจริงจัง แค่จำนวนหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวต่างๆในยุคนั้น
ก็ขนาดเอามาเก็บเป็นโกดังได้ แต่พอตอนนี้เราจำได้แค่ว่ายุคนั้นมีนายกฯชื่อพลเอกเปรม รายละะเอียดต่างๆ
ถูกตัดทอนไป เหลือแค่บทสรุปสั้นๆว่า ยุคนั้นเป็นอย่างไรตามความทรงจำของเราแต่ละคน

สรุปเลยแล้วกันครับ ในช่วงระยะประมาณ 10 ปีมานี้ เราได้เห็นทั้งผู้มีความสามารถ ผู้ด้อยความสามารถ ผู้มี
ปัญญา คนโง่เขลา เห็นควายแดง เห็นแมลงสาบ ฯลฯ กันมาพอสมควรแล้ว เรื่องราวต่างๆก็เหมือนที่กล่าวมา
ข้างต้น คือจะถูกตัดทอนและมีความพยายามจะสรุปลงเป็นทางใดทางหนึ่ง พวกเราก็จะได้ทำหน้าที่ของพวกเรา
เหมือนกับคนในอดีต คือถูกสรุปลงเป็นบทเรียนของคนยุคหลังจากเรา การต่อสู้และความเดือดร้อนดิ้นรนของเรา
จะถูกตัดทอนออกไป เพราะคนเราถ่ายทอดความรู้สึกจากรุ่นสู่รุ่นไม่ได้ เราทำได้เพียงแต่ถ่ายทอดภาพเหตุการณ์

ในอนาคตข้างหน้า ตำราประวัติศาสต์ก็คงจะเล่มโตขึ้นเรื่อยๆ ยุคสมัยแห่งการต่อสู้อันดุเดือดถึงเลือดถึงเนื้อของเรา
พอเวลาผ่านไปซัก 100 ปี ก็อาจได้รับอนุญาตให้มีพื้นที่อยู่ในตำราแค่ 2-3 ประโยค จะมีพื้นที่เหลือพอสำหรับชื่อคน
สำคัญแม้แต่คนเดียวหรือเปล่าก็ยังยากจะคาดเดา


ลองมาเขียนเดาใจคน 100 ปีข้างหน้ากันไหมครับ ว่ายุคเราเป็นอย่างไรในข้อความ 2-3 ประโยค

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่