“หนี้” ชื่อนี้สำหรับบางคนนั้นเป็นคำแสลงหูเพียงแค่ได้ยินก็ถึงกับขนลุกซู่ด้วยความเข็ดขยาด … บางคนสร้างหนี้ด้วยความอยากได้อยากมี บางคนต้องเป็นหนี้เพราะความจำเป็น บางคนเป็นหนี้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอีกสารพันปัญหา ... เป็นหนี้ก็ว่าลำบากแล้ว หาเงินมาใช้หนี้ยิ่งลำบากกว่า หลายๆคนหยุดวงจรหนี้ของตัวเองไม่ได้ จนมัน ทบ ทบ และทบ จนบานปลายในท้ายที่สุด
ในบทนี้ผมขอเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม พี่ท่านหนึ่งเข้ามาคำปรึกษาและร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ไปด้วยกันกับผม และก็กำลังจะผ่านมันไปได้ ซึ่งเรื่องราวนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นอุทาหรณ์และสร้างประโยชน์แก่ผู้คนอื่นๆได้จึงอยากเล่าสู่กันฟัง (ผมได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้ว)
ชายคนหนึ่งเป็นช่างประจำโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ไต่เต้าตามสายงานได้ดี มีโอทีให้ทำ เงินทองมีใช้ไม่ขาดมือ ชีวิตก็ราบลื่นเสมอมา แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ทำงานนี้ไม่ได้เก็บหอมรอมริบมากเท่าที่ควร หาไป ใช้ไป ไม่ค่อยเหลือเท่าไหร่นัก ... แต่แล้วทุกย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเมื่อปี 2551- 2552 จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ โรงงานที่แกทำมาหลายปีต้องปิดตัวลง แกตกงานตอนสี่สิบกว่า!!! ... ชายวัยสี่สิบกว่าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ที่มีหน้าที่ดูแลลูกๆ 4 คน แกหางานอยู่หลายที่เปลี่ยนงานมาหลายครั้ง จนในท้ายที่สุดแกมาร่วมงานกับผม ... แต่จากรายได้ที่ลดลงจากเมื่อครั้งยังทำงานอยู่ที่เดิม ประกอบกับรายจ่ายทางด้านครอบครัวที่ทวีคุณขึ้นเรื่อยเมื่อเด็กๆโตขึ้น ทำให้แกประสบปัญหาทางการเงินเรื่อยมา จนเรื่องราวมาถึงจุดขีดสุด เมื่อภรรยาของประสบอุบัติเหตุจนทำงานไม่ได้ต้องหยุดงานหลายเดือนเพื่อรักษาตัว และเนื่องจากเธอเป็นพนักงานชั่วคราวด้วยทำให้ไม่ได้รับเงินจากช่วงเวลานั้นแต่อย่างใด …
เรื่องราวบีบบังคับทำให้พี่ท่านนี้หันเข้าหา
“หนี้นอกระบบ” พี่เขากู้ทั้งแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำที่เสนอดอกสุดโหด และ กู้ทั้งแบบมีโฉนดค้ำประกัน เป็น
“ที่ดินมรดก” แปลงเดียวที่มีอยู่ไปค้ำเงินกู้ดอกถูกลงมาอีกนิด หลายเดือนผ่านไป ... รายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายมากขึ้นจากดอกเบี้ยเงินกู้ ...
หลายๆวันที่ไม่มีข้าวสารแม้จะกรอกหม้อ!!! บ้านเช่าค้างจ่ายหลายเดือนและกำลังจะโดนไล่ออกจากบ้านที่เช่าอยู่!!! รถที่ใช้ทำมาหากินจะถูกยึด!!! โดนหนังสือทวงค่าเทอมลูกพร้อมคำเตือนว่าไม่ใช้เข้าสอบ!!! และ ที่ดินมรดกกำลังจะถูกยึด ด้วยการที่เริ่มกู้จากเงินต้นเพียงไม่กี่หมื่นบาท!!!
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แกเข้ามาปรึกษาผม เล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ผมฟัง พร้อมกับเสนอขายที่ดินแปลงนั้นให้กับผม เพื่อนำเงินไปตัดเจ้านี้นอกระบบนั้น … พี่เขาบอกขายที่มรดกเพียงชิ้นเดียวที่บุพการีเหลือไว้ให้ ด้วยน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า!!!
ชายวัยสี่สิบกว่าท่านนี้ร่วมงานกับผมมาหลายปี เขาคนนี้เป็นคนขยันขันแข็ง หนักแน่น หนักเอาเบาสู้ทำงานไม่มีปริปากบ่น … แต่วันนี้กำแพงเหล่านั้นพังทลายลงและอ่อนแอถึงขีดสุด!!! ... ณ วันนั้นผมจำได้ว่าผมไม่มีคำตอบใดๆให้แก่พี่ท่านนี้ สมองผมก็อื้ออึงเช่นกัน ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกไม่ถูกว่าผมควรจะทำเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้ ผมขอเวลาพี่เขาเพื่อไตร่ตรองสักหลายวัน
ผมควรจะช่วยพี่เขาหรือไม่?
ถ้าพี่เขาไม่ได้เป็นพนักงานของผม ... ถ้าไม่รู้ว่าแกทำงานขยันขันแข็งสม่ำเสมอ ... ถ้าไม่รู้ว่าแกเผชิญกับอะไรอยู่ ผมคงปฏิเสธไปได้ไม่ยาก เพราะ ผมรู่ดีว่าการช่วยเหลือเรื่องการเงินมันไม่ง่าย เหมือนหาเรื่องใส่ตัวมากกว่า ... แต่กรณีนี้มันไม่ใช่ และ ผมทำไม่ได้ เพราะ วันนี้ผมรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น และ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือ? ผมปฏิเสธการซื้อที่ดินแปลง เพราะ เหตุผลหลายๆประการ แต่ผมเสนอแนวทางการช่วยเหลือให้ได้ แต่มีเงื่อนไขและต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่เราตกลงกันอย่างเคร่งครัด!!!
หลักการ คือ
ต้องหยุดสร้างหนี้ ตัดรายจ่าย และ ต้องเพิ่มรายได้เพื่อล้างหนี้เก่าในทันที
หยุดสร้างหนี้ ... ผมเสนอเงินก้อนให้ก้อนหนึ่ง ที่เพียงพอที่จะไปหยุดหนี้เก่าทั้งในและนอกระบบทั้งหมด แต่ให้นำที่ดินมาจำนองกับผมเพื่อเป็นหลักประกันแทน โดยที่ผมจะไม่คิดดอกเบี้ยแต่อย่างใด แต่ขอให้ขยันตั้งใจทำงานให้ดีเป็นพอ
ตัดรายจ่าย … พี่ท่านนี้เผชิญกับภาระหนี้สินมาแบบเรื้อรังยาวนาน จนแกตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกเกือบหมดแล้ว ...
ต้องทำงานเสริมเพื่อสร้างรายได้ในทันที ... งานเสริมในที่นี้เลือกเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น งานขายของหาของมาให้พี่แกขาย และจากสิ่งที่แกถนัด เช่นงานช่าง เพราะ เดิมทีก่อนที่พี่แกจะมาทำงานกับผมแกเป็นช่างประจำโรงงานมาก่อน
โดยเงื่อนไขการชำระหนี้คือ ผมจะหักเงิน จากเงินเดือนทุกเดือนเพื่อชำระหนี้ที่คงค้างแก่กัน เมื่อครบตามจำนวนผมจะเป็นไถ่ถอนการจำนองให้
วันเวลาผ่านมาเกือบปีหลังจากที่เรา ร่วมกันคิดร่วมกันทำอยู่นาน ... หลังจากหยุดวงจากการสร้างหนี้ได้แล้ว แรกเริ่มผมก็ลองหาของไปให้พี่เขาขาย เป็นพวกของเด็กเล่นตามตลาดนัดแต่ก็ไม่เวริกเท่าไหร่ขายไม่ดีเท่าที่ควร สรุปก็เลิกไป มาลองงานช่าง รับงานจากผมไป ซ่อมนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ซ่อมบ้านทำรั้ว หลังๆ แกมีงานนอกทุกอาทิตย์ ... จนมาถึงวันนี้ วันที่พี่เขาหน้าตาสดชื่นขึ้นเยอะ ...
หนี้ใหม่ไม่เกิด เพราะ เราสามารถหยุดวงจรหนี้ได้ รายจ่ายก็คงที่แล้ว แต่ในขณะที่หนี้เก่าก็กำลังลดลงทุกขณะ และ อีกไม่นานผมคาดว่าแกน่าจะได้ที่มรดกของแกกลับไป
ผมถามพี่เขาว่าถ้าผมจะเอาเรื่องของพี่ไปเล่าต่อ พี่มีอะไรจะฝากบอกหรือไม่?
“ผมใช้ชีวิตอย่างประมาทผมเลยเป็นแบบนี้ จงอย่าประมาทกับชีวิต” ... ข้อความสั้นๆที่พี่เขาฝากย้ำเตือน
ถ้าใครยังมีหนี้อยู่ อยากหยุดและผลุดออกจากวงจรนี้ ผมฝากคำถามไว้สักนิด
อะไรคือตัวการที่สร้างหนี้ให้แก่เรา? ... จะหยุดสร้างหนี้นี้ได้อย่างไร? ... ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกหมดแล้วหรือไม่? ... และ เราจะสามารถเพิ่มรายได้ เพื่อล้างหนี้เก่าได้อย่างไร? … ถ้าตอบ 4 คำถามนี้ไม่ได้ หรือ ตอบได้ไม่ชัดเจนพอ ... ผมรับรองได้เลยว่าหลุดออกจากวงจรนี้ยาก!!!
…[^_^]…
แชร์ประสบการณ์ ... การหยุดวงจรหนี้!!!
ในบทนี้ผมขอเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม พี่ท่านหนึ่งเข้ามาคำปรึกษาและร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ไปด้วยกันกับผม และก็กำลังจะผ่านมันไปได้ ซึ่งเรื่องราวนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นอุทาหรณ์และสร้างประโยชน์แก่ผู้คนอื่นๆได้จึงอยากเล่าสู่กันฟัง (ผมได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้ว)
ชายคนหนึ่งเป็นช่างประจำโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ไต่เต้าตามสายงานได้ดี มีโอทีให้ทำ เงินทองมีใช้ไม่ขาดมือ ชีวิตก็ราบลื่นเสมอมา แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ทำงานนี้ไม่ได้เก็บหอมรอมริบมากเท่าที่ควร หาไป ใช้ไป ไม่ค่อยเหลือเท่าไหร่นัก ... แต่แล้วทุกย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเมื่อปี 2551- 2552 จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ โรงงานที่แกทำมาหลายปีต้องปิดตัวลง แกตกงานตอนสี่สิบกว่า!!! ... ชายวัยสี่สิบกว่าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ที่มีหน้าที่ดูแลลูกๆ 4 คน แกหางานอยู่หลายที่เปลี่ยนงานมาหลายครั้ง จนในท้ายที่สุดแกมาร่วมงานกับผม ... แต่จากรายได้ที่ลดลงจากเมื่อครั้งยังทำงานอยู่ที่เดิม ประกอบกับรายจ่ายทางด้านครอบครัวที่ทวีคุณขึ้นเรื่อยเมื่อเด็กๆโตขึ้น ทำให้แกประสบปัญหาทางการเงินเรื่อยมา จนเรื่องราวมาถึงจุดขีดสุด เมื่อภรรยาของประสบอุบัติเหตุจนทำงานไม่ได้ต้องหยุดงานหลายเดือนเพื่อรักษาตัว และเนื่องจากเธอเป็นพนักงานชั่วคราวด้วยทำให้ไม่ได้รับเงินจากช่วงเวลานั้นแต่อย่างใด …
เรื่องราวบีบบังคับทำให้พี่ท่านนี้หันเข้าหา “หนี้นอกระบบ” พี่เขากู้ทั้งแบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำที่เสนอดอกสุดโหด และ กู้ทั้งแบบมีโฉนดค้ำประกัน เป็น “ที่ดินมรดก” แปลงเดียวที่มีอยู่ไปค้ำเงินกู้ดอกถูกลงมาอีกนิด หลายเดือนผ่านไป ... รายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายมากขึ้นจากดอกเบี้ยเงินกู้ ... หลายๆวันที่ไม่มีข้าวสารแม้จะกรอกหม้อ!!! บ้านเช่าค้างจ่ายหลายเดือนและกำลังจะโดนไล่ออกจากบ้านที่เช่าอยู่!!! รถที่ใช้ทำมาหากินจะถูกยึด!!! โดนหนังสือทวงค่าเทอมลูกพร้อมคำเตือนว่าไม่ใช้เข้าสอบ!!! และ ที่ดินมรดกกำลังจะถูกยึด ด้วยการที่เริ่มกู้จากเงินต้นเพียงไม่กี่หมื่นบาท!!!
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แกเข้ามาปรึกษาผม เล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ผมฟัง พร้อมกับเสนอขายที่ดินแปลงนั้นให้กับผม เพื่อนำเงินไปตัดเจ้านี้นอกระบบนั้น … พี่เขาบอกขายที่มรดกเพียงชิ้นเดียวที่บุพการีเหลือไว้ให้ ด้วยน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า!!!
ชายวัยสี่สิบกว่าท่านนี้ร่วมงานกับผมมาหลายปี เขาคนนี้เป็นคนขยันขันแข็ง หนักแน่น หนักเอาเบาสู้ทำงานไม่มีปริปากบ่น … แต่วันนี้กำแพงเหล่านั้นพังทลายลงและอ่อนแอถึงขีดสุด!!! ... ณ วันนั้นผมจำได้ว่าผมไม่มีคำตอบใดๆให้แก่พี่ท่านนี้ สมองผมก็อื้ออึงเช่นกัน ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกไม่ถูกว่าผมควรจะทำเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้ ผมขอเวลาพี่เขาเพื่อไตร่ตรองสักหลายวัน
ผมควรจะช่วยพี่เขาหรือไม่?
ถ้าพี่เขาไม่ได้เป็นพนักงานของผม ... ถ้าไม่รู้ว่าแกทำงานขยันขันแข็งสม่ำเสมอ ... ถ้าไม่รู้ว่าแกเผชิญกับอะไรอยู่ ผมคงปฏิเสธไปได้ไม่ยาก เพราะ ผมรู่ดีว่าการช่วยเหลือเรื่องการเงินมันไม่ง่าย เหมือนหาเรื่องใส่ตัวมากกว่า ... แต่กรณีนี้มันไม่ใช่ และ ผมทำไม่ได้ เพราะ วันนี้ผมรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น และ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือ? ผมปฏิเสธการซื้อที่ดินแปลง เพราะ เหตุผลหลายๆประการ แต่ผมเสนอแนวทางการช่วยเหลือให้ได้ แต่มีเงื่อนไขและต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่เราตกลงกันอย่างเคร่งครัด!!!
หลักการ คือ ต้องหยุดสร้างหนี้ ตัดรายจ่าย และ ต้องเพิ่มรายได้เพื่อล้างหนี้เก่าในทันที
หยุดสร้างหนี้ ... ผมเสนอเงินก้อนให้ก้อนหนึ่ง ที่เพียงพอที่จะไปหยุดหนี้เก่าทั้งในและนอกระบบทั้งหมด แต่ให้นำที่ดินมาจำนองกับผมเพื่อเป็นหลักประกันแทน โดยที่ผมจะไม่คิดดอกเบี้ยแต่อย่างใด แต่ขอให้ขยันตั้งใจทำงานให้ดีเป็นพอ
ตัดรายจ่าย … พี่ท่านนี้เผชิญกับภาระหนี้สินมาแบบเรื้อรังยาวนาน จนแกตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกเกือบหมดแล้ว ...
ต้องทำงานเสริมเพื่อสร้างรายได้ในทันที ... งานเสริมในที่นี้เลือกเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น งานขายของหาของมาให้พี่แกขาย และจากสิ่งที่แกถนัด เช่นงานช่าง เพราะ เดิมทีก่อนที่พี่แกจะมาทำงานกับผมแกเป็นช่างประจำโรงงานมาก่อน
โดยเงื่อนไขการชำระหนี้คือ ผมจะหักเงิน จากเงินเดือนทุกเดือนเพื่อชำระหนี้ที่คงค้างแก่กัน เมื่อครบตามจำนวนผมจะเป็นไถ่ถอนการจำนองให้
วันเวลาผ่านมาเกือบปีหลังจากที่เรา ร่วมกันคิดร่วมกันทำอยู่นาน ... หลังจากหยุดวงจากการสร้างหนี้ได้แล้ว แรกเริ่มผมก็ลองหาของไปให้พี่เขาขาย เป็นพวกของเด็กเล่นตามตลาดนัดแต่ก็ไม่เวริกเท่าไหร่ขายไม่ดีเท่าที่ควร สรุปก็เลิกไป มาลองงานช่าง รับงานจากผมไป ซ่อมนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ซ่อมบ้านทำรั้ว หลังๆ แกมีงานนอกทุกอาทิตย์ ... จนมาถึงวันนี้ วันที่พี่เขาหน้าตาสดชื่นขึ้นเยอะ ... หนี้ใหม่ไม่เกิด เพราะ เราสามารถหยุดวงจรหนี้ได้ รายจ่ายก็คงที่แล้ว แต่ในขณะที่หนี้เก่าก็กำลังลดลงทุกขณะ และ อีกไม่นานผมคาดว่าแกน่าจะได้ที่มรดกของแกกลับไป
ผมถามพี่เขาว่าถ้าผมจะเอาเรื่องของพี่ไปเล่าต่อ พี่มีอะไรจะฝากบอกหรือไม่?
“ผมใช้ชีวิตอย่างประมาทผมเลยเป็นแบบนี้ จงอย่าประมาทกับชีวิต” ... ข้อความสั้นๆที่พี่เขาฝากย้ำเตือน
ถ้าใครยังมีหนี้อยู่ อยากหยุดและผลุดออกจากวงจรนี้ ผมฝากคำถามไว้สักนิด
อะไรคือตัวการที่สร้างหนี้ให้แก่เรา? ... จะหยุดสร้างหนี้นี้ได้อย่างไร? ... ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกหมดแล้วหรือไม่? ... และ เราจะสามารถเพิ่มรายได้ เพื่อล้างหนี้เก่าได้อย่างไร? … ถ้าตอบ 4 คำถามนี้ไม่ได้ หรือ ตอบได้ไม่ชัดเจนพอ ... ผมรับรองได้เลยว่าหลุดออกจากวงจรนี้ยาก!!!
…[^_^]…