ช่วงหลังๆนี่ Theme race ค่อนข้างเป็นที่นิยมกันมากทั้งในไทยและต่างประเทศ (เช่น Color Run, Zombie Run, ฯลฯ) ไม่แน่ใจว่า Obstacle race เป็นที่รู้จักในไทยบ้างหรือไม่นะคะ แต่ที่ต่างประเทศค่อนข้างเริ่มเป็นที่นิยมมากในช่วงหลังๆ เพราะเป็นการวิ่งไม่ได้ใช้เฉพาะความอึดด้านการวิ่งทนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเน้นความแข็งแรงของร่างกายทุกๆส่วน เพื่อที่จะสามารถผ่านด่านต่างๆที่อยู่ระหว่างทางอีกด้วย
ฉันคือใคร
เกริ่นมาได้สักพัก ยังไม่ได้แนะนำตัว ชื่อเอ้นะคะ (ขอเสียงคนรู้จักหน่อย ฮิ้วววว....กริบ 55) อายุอีกไม่กี่เดือนขึ้นเลข 3 ละ จับพลัดจับผลูต้องมาอยู่เมืองที่เป็นต้นแบบของงานเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันนีนั่นเอง
ประวัติการออกกำลังกาย ตลอด 27 ที่ผ่านมาจะเน้นการออกกำลังกายของมือและปากเป็นหลัก พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่ใช่คาบพละแล้วอย่าหวังว่าจะได้เห็นยัยเอ้ออกกำลัง แถมยังชอบกินอาหารขยะดื่มเหล้าเป็นนิจอีกด้วย เจริญพรละหญิงไทย
จุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่หลังจากเขียนงานจบโทเสร็จตัวอ้วนขั้นขีดสุด แฟน(ตอนนั้น)ยั้งอุตส่าห์มองผ่านชั้นไขมันเห็นความดีและขอแต่งงาน ตายห่ะละ เขามีแต่เจ้าสาวสวยๆ ฉันนี่อะไรเนี่ยอ้วนยังกะตุ่ม ก็เลยเริ่มต้นวิ่งตั้งแต่บัดนั้น โดยมียกเวทบ้างเล็กน้อย แต่เน้นวิ่งเป็นหลัก จนวันแต่งผอมลงสวยงาม(คิดเอง) แต่สิ่งที่ได้ติดตัวกลับมาคือ การติดการออกกำลัง พอกลับมาอยู่เมืองนอกก็ยังคงวิ่งเยอะอยู่ แต่เริ่มเวทมากขึ้น ในหนึ่งสัปดาห์ก็จะวิ่ง 3 วัน เวท 3 วัน ไรประมาณเน้
Obstacle Race
เอาเป็นว่าจะเล่ารวมๆทั้งสองrace เลยละกันนะคะ เพราะไม่งั้นสงสัยกว่าจะจบเวลาผ่านไปสามเดือน
Spartan Race แข่งเดือนมีนาคม และ Tough Mudder เดือน กันยายนที่ผ่านมานี่เองค่ะ
Spartan Race – เป็นobstacle race ที่จะจับเวลาให้เรานะคะ โดยมีให้เลือกแบบ
1. Sprint คือระยะทาง 8 กิโล 15 ด่าน
2. Super คือระยะทาง 13 กิโล กับ 22 ด่านค่ะ
โดยถ้าหากใครไม่สามารถทำด่านไหนก็ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแค่คุณจะถูกทำโทษโดย 30 burpees ซึ่งใครที่รู้จักท่าเบอร์พีเราจะรู้ดีว่ามันเหนื่อยเพียงใด เบอร์พีนี่เป็นเหมือนการเอา กระโดด-สคว้อท-แพล้ง-วิดพื้น มารวมกันในท่าเดียวนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ผ่านหลายๆด่านละก็ รับรองว่าเหนื่อยยิ่งกว่าค่ะ ตอนสมัครเอ้กลัวไม่คุ้มค่ะ ลงแบบ Super ไปเล้ย เดี๋ยวค่อยไปลุ้นเอา
Tough Mudder - จะเป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร 23 ด่าน และไปวิ่งในป่าซึ่งทางจะเละลื่นวิ่งยากมาก แถมยังขึ้นลงเขาทางชันตลอด 18 กิโล ทัฟมัดเดอร์จะไม่จับเวลาและเน้นการช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจกันมากกว่านะคะ ซึ่งเอ้รู้สึกชอบอันนี้มากกว่า แต่ด้วยเพราะระยะทางและสภาพทางที่โหดกว่ามาก ระหว่างทางก็จะเห็นฝรั่งแลดูถึกๆบาดเจ็บเท้าแพลง หรือตะคริวกินกันตลอดเวลาเลยค่ะ
ทั้งสอง race เอ้มีเวลาก่อนแข่งประมาณ 2 เดือน Spartan race เอ้ชวนพี่เขยมาลงด้วย ส่วนสามีมีปัญหาข้อเท้า วิ่งยาวๆไม่ได้ อดไป ส่วนTough Mudder นี่เอ้วิ่งกับเพื่อนร่วมงานชาวบัลกาเรีย เจ๊แกไม่ค่อยฟิตเท่าไหร่แต่ว่าใจสู้สุดๆ แต่ว่าตอนนี้เค้าสะโพกเจ็บไปเลย คิดว่าคงเพราะฝืนมากไปหน่อย เพราะฉะนั้นใครที่จะลงแข่งต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมสุดๆเลยนะคะ เพราะเจ็บแล้วต้องพักยาวเลยจะไม่คุ้มกัน
การฝึกซ้อมร่างกาย
ในระยะเวลา 2 เดือนก่อนแข่งเอ้ฝึก 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ถ้าสำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายใดๆอาจจะต้องให้เวลาเยอะกว่านี้นิดนึง ถ้าเข้าไปในเว็ปไซต์เขาจะมีแผน Boot Camp ให้ดาวน์โหลดได้ โดยสิ่งที่เราจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อแข่งobstacle race จะประกอบไปด้วย
1. Strength คือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น ร่างกายส่วนบน กล้ามเนื้อขาและสะโพก core muscle (ไม่ใช่แค่หน้าท้องแต่ว่าเป็นกล้ามเนื้อของช่วงกลางลำตัวทั้งหมด ท้อง หลัง ด้านข้างลำตัว ทั้งหมด)
2. Cardiorespiratory endurance ก็คือความสามารถของหัวใจ ปอด และระบบหมุนเวียนของร่างกายที่จะลำเลียงอ็อกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงร่างกายเพื่อการออกแรงนานๆได้ อันนี้คนที่วิ่งเก่งๆคงไม่มีปัญหาอะไรแต่สำหรับเอ้ที่ปกติวิ่งเฉลี่ยแค่ 7-8 โลก็ต้องพยายามมากหน่อย โดยคนที่จะแข่งควรจะสามารถวิ่งติดต่อกันอย่างน้อย 15-20 กิโลได้ค่ะ
3. Muscular endurance จริงๆอันนี้ค่อนข้างจะคาบเกี่ยวกับสองข้อก่อน แต่เนื่องจากในการแข่ง ไม่ใช่คนที่สามารถยกน้ำหนักได้มากที่สุด หรือวิ่งได้นานที่สุดจะเป็นผู้ที่แข่งได้ดีที่สุด แต่ในraceจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะต้องวิ่งในสภาพสนามที่ลื่น และขรุขระมาก แถมยังวิ่งขึ้นลงภูเขาตลอดเวลา วิ่งสักพักก็จะต้องปีนกำแพงสูง 2 เมตรกว่า ลงมาวิ่ง มาเจอด่านแบกหิน 20 โลขึ้นทางชัน วิ่งๆๆ ถึงmud crawl คลานๆๆ50-100 เมตรบนโคลนใต้ลวดหนาม กลับมาวิ่งต่อ เจอด่านปีนเชือก สลับกันไปเรื่อยๆแบบนี้เป็นเวลา 3 ถึง 4 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นกล้ามเนื้อจะต้องมีความพร้อมกับการเจอกับงานที่ทั้งหนักและนานเหล่านี้ค่ะ
การฝึก นอกเหนือจากการวิ่งtrail(โชคดีแถวบ้านเอ้มีป่าใกล้ๆให้ฝึกได้ค่ะ) เราก็จะเน้น Functional, Circuit training ด้วยท่า Compound exercise (คือเป็นการออกแรงกล้ามเนื้อหลายๆส่วนในขณะเดียวกัน เช่น ดึงข้อ, กระโดดสคว้อท, วิดพื้น, เบอร์พี, ท่านักปีนภูเขาบนพื้น(mountain climber)เป็นต้น โดยเราจะทำแต่ละท่าให้ได้มากที่สุดในเวลา 1 นาที แล้วเปลี่ยนไปท่าต่อไปโดยมีช่วงพักหายใจ 30 วินาทีหรือน้อยกว่า ติดกันประมาณ 5-8 ท่า แล้วทำทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง ประมาณ 4 –6 รอบ ซึ่งในตอนจบควรจะเหนื่อยมาก(เหมือนหมาหอบแดด) บางทีก็ถึงขั้นคลื่นไส้เลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าทุกๆท่านั้นจะทำด้วยความเร็ว แต่ท่าทางจะต้องถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพเต็มที่และป้องกันการบาดเจ็บ โดยก่อน Tough Mudder เอ้ก็เน้นฝึกร่างกายส่วนบนมากขึ้นเพราะรู้ตัวจาก Spartan race ว่ายังเป็นจุดอ่อนของตัวเองอยู่ เช่นตอนปีนเชือกหรือขึ้นกำแพงนั้นค่อนข้างแลดูน่าอเน็จอนาจ ส่วน core muscle หรือช่วงขา สะโพก ค่อนข้างแข็งแรงอยู่แล้วเพราะปกติสค้วอท 60 กว่าโล ผู้ชายในยิมตกใจกันอยู่แล้ว 55 อ้อ นอกจากนี้ยังมีการ วิ่งขึ้นลงเขา ที่จะต้องฝึกอย่างน้อยเดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อขาให้ไม่ล้าเวลาต้องวิ่งขึ้นลงทางชันนั่นเอง ตัวอย่างของโปรแกรมในแต่ละวันก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ
ส่วนอาหารการกินจะเน้นกินอาหารที่ผ่านกรรมวิธีน้อยๆ เน้นเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ไขมันดี เป็นหลัก วันๆกินเนื้อกินปลายังกะสิงโตเลยค่ะ พวกแป้งก็ทานนะคะแต่ถ้าไม่ใช่หลังจากเทรนเสร็จก็จะไม่เน้นมาก มีเพิ่มขึ้นมาคือมีมื้อ pre และ/หรือ post workout ซึ่งมักจะเป็นพวกเวย์เชคกับนมไขมันเกือบ 0% กับผลไม้สักชิ้นสองชิ้น
วันแข่ง!!!
ตื่นมาแต่เช้าเลยเมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ทานเชคแล้วก็ออกไปวิ่งเหยาะๆวอร์มกล้ามเนื้อสั้นๆก่อนที่จะกลับมาอาบน้ำแต่งตัว แต่งหน้าเน้นจัดเต็ม (เคล็ดลับที่ทำให้อายไลเนอร์ติดทนไม่แพนด้าแม้จะบุกป่าลงโคลนแค่ไหน คือการใช้ผงอายชาโดว์สีน้ำตาลเข้มแปะๆบนอายไลเนอร์แบบดินสอนะคะ มันเหมือนไปช่วยเซ็ทอายไลเนอร์ แล้วมันจะไม่ไหลเวลาเจอน้ำเจอเหงื่อ) ทานข้าวซ้อมมือกับไข่เจียวหมูสับ3หรือ4 ฟองไม่แน่ใจ ระหว่างทางก็จุบจิบกล้วย(กินไปประมาณ 4 ลูกได้) ถั่วมิกซ์ เวย์เชค ไปตลอดทาง แต่หยุดกินก่อนเริ่มวิ่งอย่างน้อย 1 ชั่วโมงกันจุก อัดแมกนีเซี่ยม คาเฟอีน แอลคานิทีน ครีเอทีน BCAA จนเริ่มเมาแล้วก็พร้อมแข่ง ฮา
เดินทางมาถึงสนามแข่งละ โดย Spartan raceนั้นจัดในมิวนิคใกล้ๆ แต่ว่า Tough Mudder จัดในป่าที่อยู่ห่างจากมิวนิคประมาณ 2 ชั่วโมง พอมาถึงสถานที่แข่งเท่านั้นแหละ ตกใจค่ะ ไม่ใช่ตกใจกับด่านอันหฤโหด แต่ว่ากับเหล่าผู้ที่มาร่วมแข่งขัน ที่นี่มันคือแหล่งรวมมนุษย์ชายหญิงที่มีรูปร่างยังกะนายแบบนางแบบนิตยสารฟิตเนสชัดๆ แต่ละคนซิกส์แพ็คมาที 8 ลูก อกมาเป็นลูก ก้นเด้ง ขาแข็งแรง ไบเสปตู้มๆ และตัวไม่ใหญ่เกินไปแบบพวกเพาะกายเพราะยังเน้นคาร์ดิโอเยอะอยู่ เช็ดน้ำหมากแพพ โอเค สงบใจๆ นึกถึงความดีของสามีไว้ค่า 555
โดยคนที่มาแข่งหลายๆทีมก็จะแต่งตัวขำๆมาหลายกลุ่ม กำลังเหนื่อยๆหันไปเจอทีนี่ฮากันไปค่ะ ตอนแรกเอ้อยากจะหาชฎามาใส่แต่เกรงว่ามันจะไปเกี่ยวลวดหนาม ชฎาจะเสียหมดค่ะ เลยแต่งตัวธรรมดาไป แต่รองเท้าควรเป็นแบบ trail run จะได้ไม่ลื่น และต้องเป็นแบบfree นิดนึงด้วย เพราะเราต้องใช้ปีนป่ายตามด่านต่างๆค่ะ
ทีนี้เราก็เข้าไปลงทะเบียนค่ะ โดยเค้าจะให้เซ็นในใบที่เราจะต้องบอกว่า หากได้รับความบาดเจ็บหรือว่าเสียชีวิตนั้น ทางผู้จัดการแข่งขันจะไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เนื่องจากเราสมัครใจมาเสี่ยงตายเองคร่า เหอๆๆๆๆ หันหลังกลับทันไหมเนี่ย
เริ่มแข่ง!!!
หลังจากที่ทำใจอยู่ซักพัก ก็เดินไปเข้าแถวที่จุดเริ่มค่ะ โดยเขาก็จะปล่อยนักแข่งเป็นระลอกๆทุก 15 นาที เอาละเว้ยค่ะ ฝึกมาเป็นเดือนเพื่อการนี้ หญิงไทย สู้ว้อย 3..2..1 ปี๊ดดดด
วิ่งๆๆค่ะ ผ่านมาประมาณเกือบกิโลเริ่มเห็นด่านรางๆ เป็นกองฟางอันบิ้กเบิ้ม 4-5 ก้อนให้เราข้ามไปนั่นเองค่ะ ไม่ยากๆ กระโดดๆแพ่พๆผ่านมาแล้วค่ะ บางด่านก็เป็นการลอดท่อยาวๆ น้ำท่วมๆ วิ่งขึ้นลงสันโคลนมั่ง ชิวๆ ปีนตาข่ายใยแมงมุม ใต่ถังที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ ปีนป่ายพื้นเอียงๆ งสนุกดีนะคะ เหมือนเวลาเราเด็กๆเราได้ทำสิ่งพวกนี้ ที่นี่ก็เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นของผู้ใหญ่นั่นเองค่ะ
ขอลงรูปรวมๆเลยนะคะ
แต่ทว่า ถ้ามันมีแต่ด่านง่ายๆก็จะไม่สมกับชื่อเสียงความโหดใช่มั้ยคะ ด่านที่โหดๆก็มีเยอะนะคะ เช่น
ด่านกำแพง 3 เมตร อันนี้คนเอเชียเราได้เปรียบค่ะ เพราะว่าตัวเตี้ย จะคุ้มกว่าค่ะ ฮ่าๆ อันนี้มีหลายอันค่ะ โดยของ Spartan จะมีแท่งไม้เล็กๆ ช่วยลดระยะการปีนให้นิดหน่อยสำหรับผู้หญิงเท่านั้น แต่Tough Mudder จะไม่มีอะไรช่วยนะคะ แล้วมันจะมีด่าน Berlin walls ที่กำแพงสูงงงงงงงมากๆๆสองอัน ตอนนี้จะได้เห็นผู้คนช่วยเหลือกันเต็มที่ ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆค่ะ
ปีนเชือก อันนี้ยากทีเดียวค่ะ ขนาดเอ้พยายามศึกษาเทคนิกการใช้เท้าช่วยจับเชือกในการปีนและฝึกที่ยิมมาบ้าง แต่เพราะว่าวิ่งผิดทิศ ไปเจออันนี้ตอนใกล้จะจบ กล้ามเนื้อพลังงานแทบจะหมดเกลี้ยง ปีนๆไปร่วงตกลงมาก่อนตีระฆังข้างบนนิดเดียว เจ็บใจๆ โดนไปค่ะ 30 เบอร์พี
ด่านแบกหาม มีตั้งแต่ถุงทราย ถังใส่กรวดจนเต็ม ท่อนซุง โดยจะเป็นการแบกเดินขึ้นลงเนินมั่ง บันไดของสเตเดี้ยมแข่งบอลบ้าง แล้วก็มีให้ลากท่อนปูนหนักๆไปบนพื้นขรุขระ อ้อ มีให้แบกเพื่อนตัวเองด้วยค่ะ และเพื่อนเอ้ก็น้ำหนัก 70กว่า ซึ่งตอนแรกเอ้ก็ไม่แน่ใจว่าจะแบกเธอได้มั้ย แต่พอลองดูแล้วปรากฏว่าพอไหวอยู่ค่ะ
การเดินทางสู่ Obstacle race - Spartan Race และ Tough Mudder โอ้ย ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้เนี่ย
ฉันคือใคร
เกริ่นมาได้สักพัก ยังไม่ได้แนะนำตัว ชื่อเอ้นะคะ (ขอเสียงคนรู้จักหน่อย ฮิ้วววว....กริบ 55) อายุอีกไม่กี่เดือนขึ้นเลข 3 ละ จับพลัดจับผลูต้องมาอยู่เมืองที่เป็นต้นแบบของงานเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันนีนั่นเอง
ประวัติการออกกำลังกาย ตลอด 27 ที่ผ่านมาจะเน้นการออกกำลังกายของมือและปากเป็นหลัก พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่ใช่คาบพละแล้วอย่าหวังว่าจะได้เห็นยัยเอ้ออกกำลัง แถมยังชอบกินอาหารขยะดื่มเหล้าเป็นนิจอีกด้วย เจริญพรละหญิงไทย
จุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่หลังจากเขียนงานจบโทเสร็จตัวอ้วนขั้นขีดสุด แฟน(ตอนนั้น)ยั้งอุตส่าห์มองผ่านชั้นไขมันเห็นความดีและขอแต่งงาน ตายห่ะละ เขามีแต่เจ้าสาวสวยๆ ฉันนี่อะไรเนี่ยอ้วนยังกะตุ่ม ก็เลยเริ่มต้นวิ่งตั้งแต่บัดนั้น โดยมียกเวทบ้างเล็กน้อย แต่เน้นวิ่งเป็นหลัก จนวันแต่งผอมลงสวยงาม(คิดเอง) แต่สิ่งที่ได้ติดตัวกลับมาคือ การติดการออกกำลัง พอกลับมาอยู่เมืองนอกก็ยังคงวิ่งเยอะอยู่ แต่เริ่มเวทมากขึ้น ในหนึ่งสัปดาห์ก็จะวิ่ง 3 วัน เวท 3 วัน ไรประมาณเน้
Obstacle Race
เอาเป็นว่าจะเล่ารวมๆทั้งสองrace เลยละกันนะคะ เพราะไม่งั้นสงสัยกว่าจะจบเวลาผ่านไปสามเดือน
Spartan Race แข่งเดือนมีนาคม และ Tough Mudder เดือน กันยายนที่ผ่านมานี่เองค่ะ
Spartan Race – เป็นobstacle race ที่จะจับเวลาให้เรานะคะ โดยมีให้เลือกแบบ
1. Sprint คือระยะทาง 8 กิโล 15 ด่าน
2. Super คือระยะทาง 13 กิโล กับ 22 ด่านค่ะ
โดยถ้าหากใครไม่สามารถทำด่านไหนก็ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแค่คุณจะถูกทำโทษโดย 30 burpees ซึ่งใครที่รู้จักท่าเบอร์พีเราจะรู้ดีว่ามันเหนื่อยเพียงใด เบอร์พีนี่เป็นเหมือนการเอา กระโดด-สคว้อท-แพล้ง-วิดพื้น มารวมกันในท่าเดียวนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ผ่านหลายๆด่านละก็ รับรองว่าเหนื่อยยิ่งกว่าค่ะ ตอนสมัครเอ้กลัวไม่คุ้มค่ะ ลงแบบ Super ไปเล้ย เดี๋ยวค่อยไปลุ้นเอา
Tough Mudder - จะเป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร 23 ด่าน และไปวิ่งในป่าซึ่งทางจะเละลื่นวิ่งยากมาก แถมยังขึ้นลงเขาทางชันตลอด 18 กิโล ทัฟมัดเดอร์จะไม่จับเวลาและเน้นการช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจกันมากกว่านะคะ ซึ่งเอ้รู้สึกชอบอันนี้มากกว่า แต่ด้วยเพราะระยะทางและสภาพทางที่โหดกว่ามาก ระหว่างทางก็จะเห็นฝรั่งแลดูถึกๆบาดเจ็บเท้าแพลง หรือตะคริวกินกันตลอดเวลาเลยค่ะ
ทั้งสอง race เอ้มีเวลาก่อนแข่งประมาณ 2 เดือน Spartan race เอ้ชวนพี่เขยมาลงด้วย ส่วนสามีมีปัญหาข้อเท้า วิ่งยาวๆไม่ได้ อดไป ส่วนTough Mudder นี่เอ้วิ่งกับเพื่อนร่วมงานชาวบัลกาเรีย เจ๊แกไม่ค่อยฟิตเท่าไหร่แต่ว่าใจสู้สุดๆ แต่ว่าตอนนี้เค้าสะโพกเจ็บไปเลย คิดว่าคงเพราะฝืนมากไปหน่อย เพราะฉะนั้นใครที่จะลงแข่งต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมสุดๆเลยนะคะ เพราะเจ็บแล้วต้องพักยาวเลยจะไม่คุ้มกัน
การฝึกซ้อมร่างกาย
ในระยะเวลา 2 เดือนก่อนแข่งเอ้ฝึก 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ถ้าสำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายใดๆอาจจะต้องให้เวลาเยอะกว่านี้นิดนึง ถ้าเข้าไปในเว็ปไซต์เขาจะมีแผน Boot Camp ให้ดาวน์โหลดได้ โดยสิ่งที่เราจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อแข่งobstacle race จะประกอบไปด้วย
1. Strength คือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น ร่างกายส่วนบน กล้ามเนื้อขาและสะโพก core muscle (ไม่ใช่แค่หน้าท้องแต่ว่าเป็นกล้ามเนื้อของช่วงกลางลำตัวทั้งหมด ท้อง หลัง ด้านข้างลำตัว ทั้งหมด)
2. Cardiorespiratory endurance ก็คือความสามารถของหัวใจ ปอด และระบบหมุนเวียนของร่างกายที่จะลำเลียงอ็อกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงร่างกายเพื่อการออกแรงนานๆได้ อันนี้คนที่วิ่งเก่งๆคงไม่มีปัญหาอะไรแต่สำหรับเอ้ที่ปกติวิ่งเฉลี่ยแค่ 7-8 โลก็ต้องพยายามมากหน่อย โดยคนที่จะแข่งควรจะสามารถวิ่งติดต่อกันอย่างน้อย 15-20 กิโลได้ค่ะ
3. Muscular endurance จริงๆอันนี้ค่อนข้างจะคาบเกี่ยวกับสองข้อก่อน แต่เนื่องจากในการแข่ง ไม่ใช่คนที่สามารถยกน้ำหนักได้มากที่สุด หรือวิ่งได้นานที่สุดจะเป็นผู้ที่แข่งได้ดีที่สุด แต่ในraceจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะต้องวิ่งในสภาพสนามที่ลื่น และขรุขระมาก แถมยังวิ่งขึ้นลงภูเขาตลอดเวลา วิ่งสักพักก็จะต้องปีนกำแพงสูง 2 เมตรกว่า ลงมาวิ่ง มาเจอด่านแบกหิน 20 โลขึ้นทางชัน วิ่งๆๆ ถึงmud crawl คลานๆๆ50-100 เมตรบนโคลนใต้ลวดหนาม กลับมาวิ่งต่อ เจอด่านปีนเชือก สลับกันไปเรื่อยๆแบบนี้เป็นเวลา 3 ถึง 4 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นกล้ามเนื้อจะต้องมีความพร้อมกับการเจอกับงานที่ทั้งหนักและนานเหล่านี้ค่ะ
การฝึก นอกเหนือจากการวิ่งtrail(โชคดีแถวบ้านเอ้มีป่าใกล้ๆให้ฝึกได้ค่ะ) เราก็จะเน้น Functional, Circuit training ด้วยท่า Compound exercise (คือเป็นการออกแรงกล้ามเนื้อหลายๆส่วนในขณะเดียวกัน เช่น ดึงข้อ, กระโดดสคว้อท, วิดพื้น, เบอร์พี, ท่านักปีนภูเขาบนพื้น(mountain climber)เป็นต้น โดยเราจะทำแต่ละท่าให้ได้มากที่สุดในเวลา 1 นาที แล้วเปลี่ยนไปท่าต่อไปโดยมีช่วงพักหายใจ 30 วินาทีหรือน้อยกว่า ติดกันประมาณ 5-8 ท่า แล้วทำทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง ประมาณ 4 –6 รอบ ซึ่งในตอนจบควรจะเหนื่อยมาก(เหมือนหมาหอบแดด) บางทีก็ถึงขั้นคลื่นไส้เลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าทุกๆท่านั้นจะทำด้วยความเร็ว แต่ท่าทางจะต้องถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพเต็มที่และป้องกันการบาดเจ็บ โดยก่อน Tough Mudder เอ้ก็เน้นฝึกร่างกายส่วนบนมากขึ้นเพราะรู้ตัวจาก Spartan race ว่ายังเป็นจุดอ่อนของตัวเองอยู่ เช่นตอนปีนเชือกหรือขึ้นกำแพงนั้นค่อนข้างแลดูน่าอเน็จอนาจ ส่วน core muscle หรือช่วงขา สะโพก ค่อนข้างแข็งแรงอยู่แล้วเพราะปกติสค้วอท 60 กว่าโล ผู้ชายในยิมตกใจกันอยู่แล้ว 55 อ้อ นอกจากนี้ยังมีการ วิ่งขึ้นลงเขา ที่จะต้องฝึกอย่างน้อยเดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อขาให้ไม่ล้าเวลาต้องวิ่งขึ้นลงทางชันนั่นเอง ตัวอย่างของโปรแกรมในแต่ละวันก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ
ส่วนอาหารการกินจะเน้นกินอาหารที่ผ่านกรรมวิธีน้อยๆ เน้นเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ไขมันดี เป็นหลัก วันๆกินเนื้อกินปลายังกะสิงโตเลยค่ะ พวกแป้งก็ทานนะคะแต่ถ้าไม่ใช่หลังจากเทรนเสร็จก็จะไม่เน้นมาก มีเพิ่มขึ้นมาคือมีมื้อ pre และ/หรือ post workout ซึ่งมักจะเป็นพวกเวย์เชคกับนมไขมันเกือบ 0% กับผลไม้สักชิ้นสองชิ้น
วันแข่ง!!!
ตื่นมาแต่เช้าเลยเมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ทานเชคแล้วก็ออกไปวิ่งเหยาะๆวอร์มกล้ามเนื้อสั้นๆก่อนที่จะกลับมาอาบน้ำแต่งตัว แต่งหน้าเน้นจัดเต็ม (เคล็ดลับที่ทำให้อายไลเนอร์ติดทนไม่แพนด้าแม้จะบุกป่าลงโคลนแค่ไหน คือการใช้ผงอายชาโดว์สีน้ำตาลเข้มแปะๆบนอายไลเนอร์แบบดินสอนะคะ มันเหมือนไปช่วยเซ็ทอายไลเนอร์ แล้วมันจะไม่ไหลเวลาเจอน้ำเจอเหงื่อ) ทานข้าวซ้อมมือกับไข่เจียวหมูสับ3หรือ4 ฟองไม่แน่ใจ ระหว่างทางก็จุบจิบกล้วย(กินไปประมาณ 4 ลูกได้) ถั่วมิกซ์ เวย์เชค ไปตลอดทาง แต่หยุดกินก่อนเริ่มวิ่งอย่างน้อย 1 ชั่วโมงกันจุก อัดแมกนีเซี่ยม คาเฟอีน แอลคานิทีน ครีเอทีน BCAA จนเริ่มเมาแล้วก็พร้อมแข่ง ฮา
เดินทางมาถึงสนามแข่งละ โดย Spartan raceนั้นจัดในมิวนิคใกล้ๆ แต่ว่า Tough Mudder จัดในป่าที่อยู่ห่างจากมิวนิคประมาณ 2 ชั่วโมง พอมาถึงสถานที่แข่งเท่านั้นแหละ ตกใจค่ะ ไม่ใช่ตกใจกับด่านอันหฤโหด แต่ว่ากับเหล่าผู้ที่มาร่วมแข่งขัน ที่นี่มันคือแหล่งรวมมนุษย์ชายหญิงที่มีรูปร่างยังกะนายแบบนางแบบนิตยสารฟิตเนสชัดๆ แต่ละคนซิกส์แพ็คมาที 8 ลูก อกมาเป็นลูก ก้นเด้ง ขาแข็งแรง ไบเสปตู้มๆ และตัวไม่ใหญ่เกินไปแบบพวกเพาะกายเพราะยังเน้นคาร์ดิโอเยอะอยู่ เช็ดน้ำหมากแพพ โอเค สงบใจๆ นึกถึงความดีของสามีไว้ค่า 555
โดยคนที่มาแข่งหลายๆทีมก็จะแต่งตัวขำๆมาหลายกลุ่ม กำลังเหนื่อยๆหันไปเจอทีนี่ฮากันไปค่ะ ตอนแรกเอ้อยากจะหาชฎามาใส่แต่เกรงว่ามันจะไปเกี่ยวลวดหนาม ชฎาจะเสียหมดค่ะ เลยแต่งตัวธรรมดาไป แต่รองเท้าควรเป็นแบบ trail run จะได้ไม่ลื่น และต้องเป็นแบบfree นิดนึงด้วย เพราะเราต้องใช้ปีนป่ายตามด่านต่างๆค่ะ
ทีนี้เราก็เข้าไปลงทะเบียนค่ะ โดยเค้าจะให้เซ็นในใบที่เราจะต้องบอกว่า หากได้รับความบาดเจ็บหรือว่าเสียชีวิตนั้น ทางผู้จัดการแข่งขันจะไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เนื่องจากเราสมัครใจมาเสี่ยงตายเองคร่า เหอๆๆๆๆ หันหลังกลับทันไหมเนี่ย
เริ่มแข่ง!!!
หลังจากที่ทำใจอยู่ซักพัก ก็เดินไปเข้าแถวที่จุดเริ่มค่ะ โดยเขาก็จะปล่อยนักแข่งเป็นระลอกๆทุก 15 นาที เอาละเว้ยค่ะ ฝึกมาเป็นเดือนเพื่อการนี้ หญิงไทย สู้ว้อย 3..2..1 ปี๊ดดดด
วิ่งๆๆค่ะ ผ่านมาประมาณเกือบกิโลเริ่มเห็นด่านรางๆ เป็นกองฟางอันบิ้กเบิ้ม 4-5 ก้อนให้เราข้ามไปนั่นเองค่ะ ไม่ยากๆ กระโดดๆแพ่พๆผ่านมาแล้วค่ะ บางด่านก็เป็นการลอดท่อยาวๆ น้ำท่วมๆ วิ่งขึ้นลงสันโคลนมั่ง ชิวๆ ปีนตาข่ายใยแมงมุม ใต่ถังที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ ปีนป่ายพื้นเอียงๆ งสนุกดีนะคะ เหมือนเวลาเราเด็กๆเราได้ทำสิ่งพวกนี้ ที่นี่ก็เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นของผู้ใหญ่นั่นเองค่ะ
ขอลงรูปรวมๆเลยนะคะ
แต่ทว่า ถ้ามันมีแต่ด่านง่ายๆก็จะไม่สมกับชื่อเสียงความโหดใช่มั้ยคะ ด่านที่โหดๆก็มีเยอะนะคะ เช่น
ด่านกำแพง 3 เมตร อันนี้คนเอเชียเราได้เปรียบค่ะ เพราะว่าตัวเตี้ย จะคุ้มกว่าค่ะ ฮ่าๆ อันนี้มีหลายอันค่ะ โดยของ Spartan จะมีแท่งไม้เล็กๆ ช่วยลดระยะการปีนให้นิดหน่อยสำหรับผู้หญิงเท่านั้น แต่Tough Mudder จะไม่มีอะไรช่วยนะคะ แล้วมันจะมีด่าน Berlin walls ที่กำแพงสูงงงงงงงมากๆๆสองอัน ตอนนี้จะได้เห็นผู้คนช่วยเหลือกันเต็มที่ ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆค่ะ
ปีนเชือก อันนี้ยากทีเดียวค่ะ ขนาดเอ้พยายามศึกษาเทคนิกการใช้เท้าช่วยจับเชือกในการปีนและฝึกที่ยิมมาบ้าง แต่เพราะว่าวิ่งผิดทิศ ไปเจออันนี้ตอนใกล้จะจบ กล้ามเนื้อพลังงานแทบจะหมดเกลี้ยง ปีนๆไปร่วงตกลงมาก่อนตีระฆังข้างบนนิดเดียว เจ็บใจๆ โดนไปค่ะ 30 เบอร์พี
ด่านแบกหาม มีตั้งแต่ถุงทราย ถังใส่กรวดจนเต็ม ท่อนซุง โดยจะเป็นการแบกเดินขึ้นลงเนินมั่ง บันไดของสเตเดี้ยมแข่งบอลบ้าง แล้วก็มีให้ลากท่อนปูนหนักๆไปบนพื้นขรุขระ อ้อ มีให้แบกเพื่อนตัวเองด้วยค่ะ และเพื่อนเอ้ก็น้ำหนัก 70กว่า ซึ่งตอนแรกเอ้ก็ไม่แน่ใจว่าจะแบกเธอได้มั้ย แต่พอลองดูแล้วปรากฏว่าพอไหวอยู่ค่ะ