เนื่องจากที่ผ่านมามีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดและคอเป็นเอ็นว่า "ทางรถไฟบ้านเราไม่ได้มาตรฐานใช่หรือไม่"
หลายคนบอกว่า "ใช่" ด้วยสาเหตุเดียวคือ เราไม่ได้ใช้ทางรถไฟขนาดมาตรฐาน (1.435 ม.) โดยประเทศรอบข้างของเราใช้ทางกว้างขนาดมาตรฐาน (1.435 ม.) แต่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ยังคงใช้ทางแคบ (1.000 ม.) อยู่ จึงทำให้ระบบรางของเราล้าหลังไม่ทัดเทียมประเทศอื่น
อ่าาาาห์.... ใจเย็นๆ มาอ่านตรงนี้กันดีกว่านะครับ
ทางรถไฟทั่วโลก มีขนาดไม่เท่ากัน ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะใช้ 1.435 เมตร เป็นมาตรฐานเหมือนกันหมด จะขอจำแนกง่ายๆเลยแล้วกันว่า...
ขนาดความกว้างของทางรถไฟจะแบ่งออกเป็น 3 ขนาด หลักๆ เป็น Grouping ดังนี้
1. Narrow Gauge หรือ ทางแคบ (จะอยู่ในช่วง 0 - 1.067 ม.)
0 ม. = Monorail เป็นทางกว้าง 0 เมตร คือ รถไฟจะคร่อมราง จะใช้เป็นระบบ Light Rail หรือรถไฟขนส่งในเมืองขนาดเบา (เช่นสายสีชมพู กับสายสีเหลือง ** แก้ไขจากสายสีส้ม ผมมึนเอง *** ที่กรุงเทพกำลังจะทำนั่นแหละ)
0.600 = ทางแคบขนาด 60 ซม. มีใช้อยู๋ในเส้นทางย่อยๆของบางประเทศ
1.000 = Metre Gauge ประเทศที่ใช้คือ ประเทศในกลุ่มอาเซียน (ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย พม่า เวียดนาม) บราซิล อาร์เจนติน่า รัฐควีนส์แลนด์(ออสเตรเลีย) ฯลฯ เป็นขนาดทางที่นิยมใช้เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
1.067 = Cape Gauge ประเทศที่ใช้คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย แอฟริกา ฯลฯ เป็นขนาดทางที่นิยมใช้เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
2. European Standard Gauge มีเพียง 1 ขนาดคือ 1.435 ชื่อเดิมของมันจริงๆคือ European Standard Gauge
ทำไมต้องมี European นำหน้า??? เพราะทางกว้างขนาด 1.435 นี้ ประเทศในกลุ่มยุโรป ช่วงที่รวมตัวเป็น EU ได้กำหนดไว้เป็น "ค่าความกว้างมาตรฐานสำหรับทางรถไฟสายหลักในยุโรปเพื่อให้เชื่อมถึงกันได้" ต่อมามีผู้แปลให้สั้นลงเหลือเพียงแค่ Standard Gauge คนจึงเข้าใจว่า "เป็นทางรถไฟมาตรฐานโลก" (ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่)
ทางกว้างขนาด 1.435 เป็นทางที่นิยมใช้เป็นอันดับ 1 ของโลก
แล้วทำไมคนถึงใช้เยอะ เพราะประเทศผู้ผลิตรถไฟหลักๆของโลกในยุคแรกๆคือยุโรป (อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส) ประเทศต่างๆนิยมซื้อรถสำเร็จรูปกัน และสั่งซื้อโดยใช้ขนาดความกว้าง 1.435 เพียงเพราะ ซื้อสำเร็จง่าย ไม่ต้องสั่งสเปคพิเศษด้วยนั่นเอง
3. Broad Gauge อยู่ในช่วงทางกว้างมากกว่า 1.435 ขึ้นไป โดยมีหลักๆ ดังนี้
1.520 = Russian Gauge มีใช้ในประเทศรัสเซีย และกลุ่มประเทศในสหภาพโซเวียตเดิม เป็นขนาดความกว้างทางที่นิยมใช้อันดับ 2 ของโลก
1.668 = Iberian Gauge ใช้ในสเปน
1.676 = Indian Gauge ใช้ในกลุ่มประเทศอินเดีย ปากีสถาน ซึ่งทางกลุ่มนี้จะเรียกทางนี้ว่า Standard Gauge (ของเค้า)
จากภาพจะเห็นได้ว่า จำนวนประเทศที่ใช้ขนาดทางรถไฟต่างๆนั้น ค่อนข้างคละกัน แต่อะไรทำให้ 1.435 มันดูเยอะ เพราะระยะทาง(กิโลเมตร)ที่มีในประเทศนั้นๆครับ ถ้านับตามประเทศจริงๆ ประเทศที่ใช้ 1.067 นี่ก็มีไม่น้อย แต่ระยะทางรวมมันสั้นกว่า 1.435 เท่านั้นเอง
คำว่า
ทางมาตรฐาน ไม่ได้หมายความว่าทางจะต้องกว้าง 1.435 จึงจะเป็นมาตรฐาน แต่ทางรถไฟทีมีมาตรฐานนั้นจะต้องประกอบด้วย
1. รางดี มีขนาดใหญ่พอรับน้ำหนักและความเร็วได้ดี
2. รัศมีโค้ง ไม่แคบจนทำลายความเร็ว หรือทำให้ความเร็วไม่เสถียร
3. คันทาง ต้องแน่น แข็งแรง ไม่ใช้ Soft Clay
4. หมอน หมุด และหิน ต้องแข็งแรง ได้มาตรฐาน ไม่ชำรุดง่าย
ซึ่ง 1-4 ข้อนี้ จะมี "ความกว้างขนาดเท่าใดก็ได้ หากมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งข้อ 1-4 ก็ถือว่าเป็นทางรถไฟที่ได้มาตรฐาน"
จากภาพ จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่น กับ รถไฟไทย ใช้ขนาดความกว้างทางรถไฟที่ใกล้เคียงกัน ห่างกันเพียงแค่ 6.7 เซนติเมตรเท่านั้น
แต่ทำไม คนกลับยกย่องรถไฟญี่ปุ่นว่า "ดีติดอันดับโลก" ทั้งๆที่เขาไม่ได้ใช้ทางกว้าง 1.435 ตามที่เราคิดว่ามันคือมาตรฐานล่ะ
ญี่ปุ่นนั้น มีทางรถไฟด้วยกัน 2 ขนาด คือ 1.067 (91%) และ 1.435 (9%) จะเห็นอัตราส่วนว่า 1.435 นั้นเขามีน้อยมาก นั่นก็คือระบบรถไฟความเร็วสูงนั่นเอง ส่วน 1.067 ก็คือรถไฟพื้นฐานที่ "ครอบคลุม" ทั่วประเทศเลยก็ว่าได้
ญ่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่เป็น
"ต้นแบบการพัฒนาระบบรางแคบ" ได้เป็นอย่างดี เพราะเขาสามารถทำให้รถไฟของเขาเป็นที่ยอมรับ แม้ว่าเขาจะใช้ทางแคบซี่งมีความนิยมเพียงอันดับ 3 ของโลกเท่านั้น
มาดูรถไฟไทยของเราบ้าง ทางรถไฟไทยของเรานั้นมีมาตรฐาน British Standard (และกำลังจะใช้มาตรฐาน UIC : International Union of Railway) ทางกว้าง 1.000 เมตรของบ้านเรานั้น เชื่อมต่อกับมาเลเซียมาเกือบ 100 ปี เชื่อมต่อกับติ่งเล็กๆ 3.5 กม.ของลาว และกำลังจะกลับไปเชื่อมกับรถไฟของกัมพูชา เมื่อทางเชื่อมต่อกันเรียบร้อย ก็จะสามารถเดินรถจาก Woodlands ของสิงคโปร์ ผ่าน กัวลาลัมเปอร์, บัตเตอร์เวอร์ธ ของมาเลเซีย มาสู่หาดใหญ่ กรุงเทพ อรัญประเทศ ของไทย ออกไปพนมเปญ ของกัมพูชา และโฮจิมินห์ ของเวียดนาม ก่อนที่จะเข้าสู่ประเทศจีนที่คุนหมิง ซึ่งใช้ทางกว้างขนาด1.000 เท่ากัน ซึ่งทางรถไฟสายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายเอเชีย (Trans Asian Railway) ที่มีชื่อสวยๆเก๋ๆว่า SKRL : Singapore - Kunming Railway Link
เพียงแต่สิ่งที่ "ขาด" ของรถไฟไทยคือ
1. ทางรถไฟที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค (มีเพียงแค่ 47 จังหวัด 4,070 กม. เท่านั้น)
2. ทางตัดผ่านที่ทำเสมอระดับแบบถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย ทำให้ความเร็วของรถไม่เสถียร
3. ทางคู่ในเส้นทางหลัก ทำให้รถต้องมารอหลีกกัน เพิ่มเวลาในการเดินรถ
4. รถจักร และล้อเลื่อน ที่มีอายุมาก และมีปริมาณน้อยกว่าความต้องการ
5. การเอาใจใส่ของภาครัฐ และภาคสังคม
6. Organization Management ที่มีความลำบากเพราะองค์กรนั้นมีขนาดใหญ่มาก
ซึ่งโดยเฉพาะข้อ 5 คือส่วนสำคัญที่ทำให้การพัฒนาระบบรางของไทยนั้น "ช้ากว่าที่ควรจะเป็น" ทั้งที่ญี่ปุ่นเองก็แทบจะเริ่มจาก 0 แต่เขาสามารถพัฒนาตัวเองมาได้ถึงระดับนี้ เพราะความใส่ใจของภาครัฐ และภาคสังคม
ที่เห็นว่าการขนส่งระบบรางนั้น "ดี และมีประโยชน์"
แต่เมื่อมามองย้อนดูแล้ว ห
ลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็เข้าสู่นโยบายการพัฒนาระบบถนน มีถนนเกิดขึ้นมากมาย แต่ทางรถไฟกลับไม่งอกขึ้นมาเลย ทั้งที่ในช่วงยุคแรกที่เป็นกรมรถไฟหลวงนั้น...ทางรถไฟงอกขึ้นทุกปีๆๆๆๆ
ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยนั้นกลับเกิดคำถามว่า "สายเกินไปหรือเปล่า สำหรับการพัฒนาระบบราง"
ใช่ครับ
ตอนนี้มันเกือบจะ "สายไปแล้ว" แต่ก็ดีกว่า ไม่คิดเลย
นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ การจัดหารถจักรและล้อเลื่อนใหม่
มีหลายคนถามว่า ทำไมรถไฟไม่ซื้อใหม่
รถไฟอยากซื้อครับ แต่ในเมื่อรัฐไม่อนุมัติ มันก็ไม่มีรถใหม่มาให้อยู่ดี
ถ้าจะเปรียบก็คือ
หากตอนนี้เรามีโนเกียหนังกะติ๊กรัดในมือ....เราไปขอพ่อซื้อ iPhone5 พ่อบอกว่า....ยังไม่จำเป็น
พอ iPhone 6 ออก พ่อก็ยังบอกไม่จำเป็นอีก....แล้วมีคำถามมาที่เราว่า มีอย่างอื่นที่จำเป็นกว่า ของมันยังใช้ได้ ก็ใช้ไปก่อน
โทรศัพท์ = ตู้รถไฟ
พ่อ = ภาครัฐ
นี่แหละ ความจริงที่แทบไม่มีใครรู้เลย

ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่รถไฟไทยสามารถทำได้ คือการพยายามจัดการทรัพยากรของตนเองให้มี "มาตรฐาน ที่เป็นคำว่า Quality ไม่ใช่ Standard Gauge" โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ และภาคสังคมา
แบบที่ ญี่ปุ่น ได้ทำให้โลกเห็นไปแล้ว นั่นเอง
บางที สิ่งที่นักวิชาการ (หรือนักพูด) ใช้แสดงความเห็นออกมานั้น อยากให้เข้าใจเสียใหม่ว่า
1. เราไม่ได้ใช้รางไม่มีมาตรฐาน
2. ประเทศรอบข้างเราก็ใช้ทาง 1 เมตร
3. ทางกว้าง 1 เมตรนั้น หากใช้รางขนาด UIC54-UIC60 และมีรั้วรอบขอบชิด ยกถนนเป็นสะพานข้ามทางรถไฟหมด จะวิ่งได้ถึง 160กม./ชม. เลย (ทั้งนี้แคร่ต้องรับความเร็วได้)

(รูปรถดีเซลรางสปรินเตอร์ ประเทศไทย)
สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า รถไฟไทย - มาเล ใช้ทางขนาดเดียวกันคือ การเปิดเดินรถระหว่างประเทศ
ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 35/36 กรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ - กรุงเทพ
ขบวนรถด่วนลังกาวี EL20/21 Sentral KL - ชุมทางหาดใหญ่ - Sentral KL
ขบวนรถสินค้าจากมาเลเซีย - แหลมฉบัง
รถพิเศษโดยสาร E&O กรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ - สิงคโปร์
และเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา มีการประชุมร่วมรถไฟไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 35
ซึ่งทาง KTMB (รถไฟมาเลเซีย) ได้นำตู้โดยสารของเขาวิ่งเข้ามาในประเทศเราจนถึงกรุงเทพด้วย
ตามภาพ

(รูป ตู้รถไฟมาเลเซียเข้ามาประเทศไทย - หัวหิน - กรุงเทพ)

(รูปรถพิเศษโดยสาร E&O สิงคโปร์ - บัตเตอร์เวอร์ธ - กรุงเทพ)
ผมแค่ใช้เวลาในการกลั่นกรองจากความรู้ที่มี จากความชอบรถไฟ เรื่องนี้จริงๆคนที่อยู๋ในวงการรถไฟจะรู้กันดีอยู่แล้ว
แต่อยากแค่มาถ่ายทอดให้กับบุคคลทั่วไป
"ได้เข้าใจในข้อเท็จจริง" มากขึ้นครับ
ด้วยเจตนาดี และ เห็นว่า
"คนไทยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระบบรางเท่าที่ควร" อาจเป็นเพราะมันเป็นศาสตร์เฉพาะทางด้วย และที่ผ่านมาไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้จริงๆ
โอยยย คุณพระคุณเจ้า นิ้วจะล๊อก
บอกอีกที.... edit คำลงท้ายหลายรอบมาก
เจตนาที่เขียนกระทู้นี้ ไม่ได้โจมตี ไม่ได้อะไรเลย
แค่อยากเขียน กลั่นมันออกมาจากสมอง ความรู้ที่มี และความรู้สึกที่อยากบอกให้เข้าใจ อยากบอกให้รู้ อยากบอกให้เห็นข้อเท็จจริง(ในบางเรื่อง)
ตามประสาคนรักรถไฟคนนึง ที่เห็นคนเข้าใจเขาผิดมาเยอะ ครับ
Japan Model กับการทำให้โลกเห็นว่า ไม่ใช้ทางขนาด 1.435 ก็เป็นมหาอำนาจทางรางได้
หลายคนบอกว่า "ใช่" ด้วยสาเหตุเดียวคือ เราไม่ได้ใช้ทางรถไฟขนาดมาตรฐาน (1.435 ม.) โดยประเทศรอบข้างของเราใช้ทางกว้างขนาดมาตรฐาน (1.435 ม.) แต่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ยังคงใช้ทางแคบ (1.000 ม.) อยู่ จึงทำให้ระบบรางของเราล้าหลังไม่ทัดเทียมประเทศอื่น
อ่าาาาห์.... ใจเย็นๆ มาอ่านตรงนี้กันดีกว่านะครับ
ทางรถไฟทั่วโลก มีขนาดไม่เท่ากัน ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะใช้ 1.435 เมตร เป็นมาตรฐานเหมือนกันหมด จะขอจำแนกง่ายๆเลยแล้วกันว่า...
ขนาดความกว้างของทางรถไฟจะแบ่งออกเป็น 3 ขนาด หลักๆ เป็น Grouping ดังนี้
1. Narrow Gauge หรือ ทางแคบ (จะอยู่ในช่วง 0 - 1.067 ม.)
0 ม. = Monorail เป็นทางกว้าง 0 เมตร คือ รถไฟจะคร่อมราง จะใช้เป็นระบบ Light Rail หรือรถไฟขนส่งในเมืองขนาดเบา (เช่นสายสีชมพู กับสายสีเหลือง ** แก้ไขจากสายสีส้ม ผมมึนเอง *** ที่กรุงเทพกำลังจะทำนั่นแหละ)
0.600 = ทางแคบขนาด 60 ซม. มีใช้อยู๋ในเส้นทางย่อยๆของบางประเทศ
1.000 = Metre Gauge ประเทศที่ใช้คือ ประเทศในกลุ่มอาเซียน (ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย พม่า เวียดนาม) บราซิล อาร์เจนติน่า รัฐควีนส์แลนด์(ออสเตรเลีย) ฯลฯ เป็นขนาดทางที่นิยมใช้เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
1.067 = Cape Gauge ประเทศที่ใช้คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย แอฟริกา ฯลฯ เป็นขนาดทางที่นิยมใช้เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
2. European Standard Gauge มีเพียง 1 ขนาดคือ 1.435 ชื่อเดิมของมันจริงๆคือ European Standard Gauge
ทำไมต้องมี European นำหน้า??? เพราะทางกว้างขนาด 1.435 นี้ ประเทศในกลุ่มยุโรป ช่วงที่รวมตัวเป็น EU ได้กำหนดไว้เป็น "ค่าความกว้างมาตรฐานสำหรับทางรถไฟสายหลักในยุโรปเพื่อให้เชื่อมถึงกันได้" ต่อมามีผู้แปลให้สั้นลงเหลือเพียงแค่ Standard Gauge คนจึงเข้าใจว่า "เป็นทางรถไฟมาตรฐานโลก" (ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่)
ทางกว้างขนาด 1.435 เป็นทางที่นิยมใช้เป็นอันดับ 1 ของโลก
แล้วทำไมคนถึงใช้เยอะ เพราะประเทศผู้ผลิตรถไฟหลักๆของโลกในยุคแรกๆคือยุโรป (อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส) ประเทศต่างๆนิยมซื้อรถสำเร็จรูปกัน และสั่งซื้อโดยใช้ขนาดความกว้าง 1.435 เพียงเพราะ ซื้อสำเร็จง่าย ไม่ต้องสั่งสเปคพิเศษด้วยนั่นเอง
3. Broad Gauge อยู่ในช่วงทางกว้างมากกว่า 1.435 ขึ้นไป โดยมีหลักๆ ดังนี้
1.520 = Russian Gauge มีใช้ในประเทศรัสเซีย และกลุ่มประเทศในสหภาพโซเวียตเดิม เป็นขนาดความกว้างทางที่นิยมใช้อันดับ 2 ของโลก
1.668 = Iberian Gauge ใช้ในสเปน
1.676 = Indian Gauge ใช้ในกลุ่มประเทศอินเดีย ปากีสถาน ซึ่งทางกลุ่มนี้จะเรียกทางนี้ว่า Standard Gauge (ของเค้า)
จากภาพจะเห็นได้ว่า จำนวนประเทศที่ใช้ขนาดทางรถไฟต่างๆนั้น ค่อนข้างคละกัน แต่อะไรทำให้ 1.435 มันดูเยอะ เพราะระยะทาง(กิโลเมตร)ที่มีในประเทศนั้นๆครับ ถ้านับตามประเทศจริงๆ ประเทศที่ใช้ 1.067 นี่ก็มีไม่น้อย แต่ระยะทางรวมมันสั้นกว่า 1.435 เท่านั้นเอง
คำว่า ทางมาตรฐาน ไม่ได้หมายความว่าทางจะต้องกว้าง 1.435 จึงจะเป็นมาตรฐาน แต่ทางรถไฟทีมีมาตรฐานนั้นจะต้องประกอบด้วย
1. รางดี มีขนาดใหญ่พอรับน้ำหนักและความเร็วได้ดี
2. รัศมีโค้ง ไม่แคบจนทำลายความเร็ว หรือทำให้ความเร็วไม่เสถียร
3. คันทาง ต้องแน่น แข็งแรง ไม่ใช้ Soft Clay
4. หมอน หมุด และหิน ต้องแข็งแรง ได้มาตรฐาน ไม่ชำรุดง่าย
ซึ่ง 1-4 ข้อนี้ จะมี "ความกว้างขนาดเท่าใดก็ได้ หากมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งข้อ 1-4 ก็ถือว่าเป็นทางรถไฟที่ได้มาตรฐาน"
จากภาพ จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่น กับ รถไฟไทย ใช้ขนาดความกว้างทางรถไฟที่ใกล้เคียงกัน ห่างกันเพียงแค่ 6.7 เซนติเมตรเท่านั้น
แต่ทำไม คนกลับยกย่องรถไฟญี่ปุ่นว่า "ดีติดอันดับโลก" ทั้งๆที่เขาไม่ได้ใช้ทางกว้าง 1.435 ตามที่เราคิดว่ามันคือมาตรฐานล่ะ
ญี่ปุ่นนั้น มีทางรถไฟด้วยกัน 2 ขนาด คือ 1.067 (91%) และ 1.435 (9%) จะเห็นอัตราส่วนว่า 1.435 นั้นเขามีน้อยมาก นั่นก็คือระบบรถไฟความเร็วสูงนั่นเอง ส่วน 1.067 ก็คือรถไฟพื้นฐานที่ "ครอบคลุม" ทั่วประเทศเลยก็ว่าได้
ญ่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่เป็น "ต้นแบบการพัฒนาระบบรางแคบ" ได้เป็นอย่างดี เพราะเขาสามารถทำให้รถไฟของเขาเป็นที่ยอมรับ แม้ว่าเขาจะใช้ทางแคบซี่งมีความนิยมเพียงอันดับ 3 ของโลกเท่านั้น
มาดูรถไฟไทยของเราบ้าง ทางรถไฟไทยของเรานั้นมีมาตรฐาน British Standard (และกำลังจะใช้มาตรฐาน UIC : International Union of Railway) ทางกว้าง 1.000 เมตรของบ้านเรานั้น เชื่อมต่อกับมาเลเซียมาเกือบ 100 ปี เชื่อมต่อกับติ่งเล็กๆ 3.5 กม.ของลาว และกำลังจะกลับไปเชื่อมกับรถไฟของกัมพูชา เมื่อทางเชื่อมต่อกันเรียบร้อย ก็จะสามารถเดินรถจาก Woodlands ของสิงคโปร์ ผ่าน กัวลาลัมเปอร์, บัตเตอร์เวอร์ธ ของมาเลเซีย มาสู่หาดใหญ่ กรุงเทพ อรัญประเทศ ของไทย ออกไปพนมเปญ ของกัมพูชา และโฮจิมินห์ ของเวียดนาม ก่อนที่จะเข้าสู่ประเทศจีนที่คุนหมิง ซึ่งใช้ทางกว้างขนาด1.000 เท่ากัน ซึ่งทางรถไฟสายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายเอเชีย (Trans Asian Railway) ที่มีชื่อสวยๆเก๋ๆว่า SKRL : Singapore - Kunming Railway Link
เพียงแต่สิ่งที่ "ขาด" ของรถไฟไทยคือ
1. ทางรถไฟที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค (มีเพียงแค่ 47 จังหวัด 4,070 กม. เท่านั้น)
2. ทางตัดผ่านที่ทำเสมอระดับแบบถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย ทำให้ความเร็วของรถไม่เสถียร
3. ทางคู่ในเส้นทางหลัก ทำให้รถต้องมารอหลีกกัน เพิ่มเวลาในการเดินรถ
4. รถจักร และล้อเลื่อน ที่มีอายุมาก และมีปริมาณน้อยกว่าความต้องการ
5. การเอาใจใส่ของภาครัฐ และภาคสังคม
6. Organization Management ที่มีความลำบากเพราะองค์กรนั้นมีขนาดใหญ่มาก
ซึ่งโดยเฉพาะข้อ 5 คือส่วนสำคัญที่ทำให้การพัฒนาระบบรางของไทยนั้น "ช้ากว่าที่ควรจะเป็น" ทั้งที่ญี่ปุ่นเองก็แทบจะเริ่มจาก 0 แต่เขาสามารถพัฒนาตัวเองมาได้ถึงระดับนี้ เพราะความใส่ใจของภาครัฐ และภาคสังคม ที่เห็นว่าการขนส่งระบบรางนั้น "ดี และมีประโยชน์"
แต่เมื่อมามองย้อนดูแล้ว หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็เข้าสู่นโยบายการพัฒนาระบบถนน มีถนนเกิดขึ้นมากมาย แต่ทางรถไฟกลับไม่งอกขึ้นมาเลย ทั้งที่ในช่วงยุคแรกที่เป็นกรมรถไฟหลวงนั้น...ทางรถไฟงอกขึ้นทุกปีๆๆๆๆ
ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยนั้นกลับเกิดคำถามว่า "สายเกินไปหรือเปล่า สำหรับการพัฒนาระบบราง"
ใช่ครับ ตอนนี้มันเกือบจะ "สายไปแล้ว" แต่ก็ดีกว่า ไม่คิดเลย
นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ การจัดหารถจักรและล้อเลื่อนใหม่
มีหลายคนถามว่า ทำไมรถไฟไม่ซื้อใหม่
รถไฟอยากซื้อครับ แต่ในเมื่อรัฐไม่อนุมัติ มันก็ไม่มีรถใหม่มาให้อยู่ดี
ถ้าจะเปรียบก็คือ
หากตอนนี้เรามีโนเกียหนังกะติ๊กรัดในมือ....เราไปขอพ่อซื้อ iPhone5 พ่อบอกว่า....ยังไม่จำเป็น
พอ iPhone 6 ออก พ่อก็ยังบอกไม่จำเป็นอีก....แล้วมีคำถามมาที่เราว่า มีอย่างอื่นที่จำเป็นกว่า ของมันยังใช้ได้ ก็ใช้ไปก่อน
โทรศัพท์ = ตู้รถไฟ
พ่อ = ภาครัฐ
นี่แหละ ความจริงที่แทบไม่มีใครรู้เลย
ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่รถไฟไทยสามารถทำได้ คือการพยายามจัดการทรัพยากรของตนเองให้มี "มาตรฐาน ที่เป็นคำว่า Quality ไม่ใช่ Standard Gauge" โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ และภาคสังคมา
แบบที่ ญี่ปุ่น ได้ทำให้โลกเห็นไปแล้ว นั่นเอง
บางที สิ่งที่นักวิชาการ (หรือนักพูด) ใช้แสดงความเห็นออกมานั้น อยากให้เข้าใจเสียใหม่ว่า
1. เราไม่ได้ใช้รางไม่มีมาตรฐาน
2. ประเทศรอบข้างเราก็ใช้ทาง 1 เมตร
3. ทางกว้าง 1 เมตรนั้น หากใช้รางขนาด UIC54-UIC60 และมีรั้วรอบขอบชิด ยกถนนเป็นสะพานข้ามทางรถไฟหมด จะวิ่งได้ถึง 160กม./ชม. เลย (ทั้งนี้แคร่ต้องรับความเร็วได้)
(รูปรถดีเซลรางสปรินเตอร์ ประเทศไทย)
สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า รถไฟไทย - มาเล ใช้ทางขนาดเดียวกันคือ การเปิดเดินรถระหว่างประเทศ
ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 35/36 กรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ - กรุงเทพ
ขบวนรถด่วนลังกาวี EL20/21 Sentral KL - ชุมทางหาดใหญ่ - Sentral KL
ขบวนรถสินค้าจากมาเลเซีย - แหลมฉบัง
รถพิเศษโดยสาร E&O กรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ - สิงคโปร์
และเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา มีการประชุมร่วมรถไฟไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 35
ซึ่งทาง KTMB (รถไฟมาเลเซีย) ได้นำตู้โดยสารของเขาวิ่งเข้ามาในประเทศเราจนถึงกรุงเทพด้วย
ตามภาพ
(รูป ตู้รถไฟมาเลเซียเข้ามาประเทศไทย - หัวหิน - กรุงเทพ)
(รูปรถพิเศษโดยสาร E&O สิงคโปร์ - บัตเตอร์เวอร์ธ - กรุงเทพ)
ผมแค่ใช้เวลาในการกลั่นกรองจากความรู้ที่มี จากความชอบรถไฟ เรื่องนี้จริงๆคนที่อยู๋ในวงการรถไฟจะรู้กันดีอยู่แล้ว
แต่อยากแค่มาถ่ายทอดให้กับบุคคลทั่วไป "ได้เข้าใจในข้อเท็จจริง" มากขึ้นครับ
ด้วยเจตนาดี และ เห็นว่า "คนไทยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระบบรางเท่าที่ควร" อาจเป็นเพราะมันเป็นศาสตร์เฉพาะทางด้วย และที่ผ่านมาไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้จริงๆ
โอยยย คุณพระคุณเจ้า นิ้วจะล๊อก
บอกอีกที.... edit คำลงท้ายหลายรอบมาก
แค่อยากเขียน กลั่นมันออกมาจากสมอง ความรู้ที่มี และความรู้สึกที่อยากบอกให้เข้าใจ อยากบอกให้รู้ อยากบอกให้เห็นข้อเท็จจริง(ในบางเรื่อง)
ตามประสาคนรักรถไฟคนนึง ที่เห็นคนเข้าใจเขาผิดมาเยอะ ครับ