วิพากษ์สื่อจาก“อนาล็อก”สู่ “ดิจิทัล”ผ่านมุมมอง ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ ใครได้ ใครเสีย?

ชั่วโมงนี้ สื่อทีวีกำลังปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่อย่างรีบเร่ง เพราะปีนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกสู่ดิจิทัล ไม่นับรวมสื่อสิ่งพิมพ์ค่ายยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ที่ตัดสินใจเคลื่อนทัพจากสื่อกระดาษมาสู่ทีวี อย่างมียุทธศาสตร์
กล่าวกันว่า จุดเปลี่ยนครั้งนี้ สื่อไทยลงทุนไม่ใช่น้อย ตั้งแต่การจัดองคาพยพจนถึงการออกแบบเนื้อหาข่าวสารหรือรูปแบบรายการให้ดึงดูดใจคุณผู้ชม

โจทย์ข้อนี้ อาจทำให้บรรณาธิการสื่อกระดาษหรือผู้บริหารทีวี นอนไม่หลับก็เป็นได้ เพราะการเปลี่ยนจากสื่อสิ่งพิมพ์มาสู่ทีวียุคใหม่ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่บอสทีวียักษ์ใหญ่ คงเก๊กซิมไม่น้อยในการเดินหน้าประคับประคองช่องอนาล็อกซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญให้ดำรงอยู่ยาวนานที่สุด


ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นักวิชาการด้านสื่อ วิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจนี้ว่า การเปลี่ยนผ่านยุคทีวีดิจิทัลครั้งนี้มีทั้งผู้ได้และผู้เสีย ผู้ได้คือ กลุ่มที่เคยเป็นคอนเท้นต์โพรวายเดอร์ หรือผู้ที่ผลิตข้อมูลข่าวสารอย่างเดียว เข้ามาเป็นผู้ประกอบการ มีช่องทางหรือข้อต่อรอง กระทั่งมีพื้นที่ในการเผยแพร่สิ่งที่ตัวเองอยากนำเสนอมากขึ้น

แต่ผู้เสียหรือสิ่งที่ยังไม่เห็นขณะนี้ คือ ภาคประชาชนยังไม่ได้ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจากทีวีดิจิทัลมากนัก แม้จะมีทีวีชุมชนหรือทีวีสาธารณะอยู่บ้างก็ตาม ฉะนั้น การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เค้กที่เคยอยู่ในมือของลุ่มทุนเพียงบางกลุ่มก็เริ่มถูกแชร์สู่กลุ่มทุนอื่นๆ


เมื่อเค้กถูกแบ่ง เงินสัดส่วนโฆษณาที่เคยได้ก็ลดหลั่นลง เนื่องจากมีช่องทีวีหรือเค้กที่ต้องแบ่งมากขึ้น เพราะบางส่วนที่เคยอยู่ในทีวีดาวเทียมอย่างเดียว ได้กระโดดลงมาเล่นในทีวีดิจิทัลด้วย ขณะเดียวกันกลุ่มทุนหรือผู้ประกอบการเดิมก็ต้องพยายามตรึงพื้นที่ของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

“ถามว่าใครได้ใครเสีย ผมคิดว่าประชาชนยังไม่ได้ประโยชน์มากนัก อาจจะได้แค่ช่องทีวีที่เยอะขึ้น ดูภาพได้คมชัดขึ้น แต่ทีวีชุมชนหรือทีวีสาธารณะกลับไม่มีทีท่าว่าจะเกิดมาแข่งกับไทยพีบีเอสหรือทีวีแบบบีบีซีก็ยังไม่ค่อยมี ทำให้ประชาชนยังไม่ได้เสพข้อมูลข่าวสารที่มีความหลากหลายมากขึ้น หรือมีพื้นที่สำหรับประชาชนที่จะแสดงความคิดเห็นต่างๆมากขึ้น”


สำหรับกลุ่มทุนสื่อ ดร.มานะ เห็นว่า ได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการเข้าสู่ระบบทีวีดิจิทัล แต่ก็มีกลุ่มทุนเดิมอาจจะเสียประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เคยครอบครองคลื่นความถี่ที่มีคู่แข่งน้อยราย เพราะปัจจุบันมีคู่แข่งมากขึ้น ซึ่งกลุ่มทุนที่มาใหม่ต้องคอยดึงเค้กที่เคยอยู่ในมือทุนเดิมมาอยู่ในมือเขาให้ได้มากที่สุด อาจจะได้ประโยชน์ แต่ต้องแข่งขันสูง อาจจะมีบางรายที่อยู่รอด นั่นคือรายที่มีสายป่านยาว บางรายอาจจะเหนื่อยและเจ็บตัว ดังนั้นต้องมีการพัฒนาคุณภาพรายการ หรือมีลักษณะทีวีเจาะนิชมาร์เกตมากยิ่งขึ้น


“เมื่อช่องเยอะขึ้น กลุ่มเป้าหมายแมสมาร์เกตอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์คนดู อาจจะต้องเป็นนิชมาร์เก็ตมากขึ้น เช่น ทีวีช่องนี้เป็นช่องทีวีผู้สูงอายุ หรือชอบวิเคราะห์ข่าวฮาร์ดคอร์แบบเจาะลึกต้องกดดูช่องนี้ หรือรายงานข่าวให้เฉพาะวัยรุ่นดูก็จะน่าสนใจ เพื่อให้รู้ว่าคอนซูเมอร์อินไซด์อยากได้อะไร แต่วันนี้ยังไม่มีใครเจาะตรงนี้” ดร.มานะ กล่าว
นอกจากนี้ในเชิงธุรกิจ กลุ่มทุนเจอปัญหาและอุปสรรคไม่น้อย ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทุนเดิมผู้ถือครองคลื่นแบบเดิมอยู่แล้วจะมีความพยายามรักษาระบบอนาล็อกซึ่งเสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของทุนใหญ่ไว้ให้ได้นานที่สุด


“ขณะนี้เป็นเกมต่อรองกันระหว่างกลุ่มทุนกับกสทช.ว่าอะไรจะยอมได้หรือไม่ได้ แต่ถึงที่สุดแล้วคิดว่าจะลงเอยได้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ให้เจ็บตัวมาก ต้องมีการยอมกัน พบกันครึ่งทาง แต่ถ้าแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะคลื่นเอกชนหรือกสทช.จะให้ตัวเองได้ 100 % อาจจะเจ็บตัวทั้ง2 ฝ่าย แต่ถึงสุดท้ายยังเชื่อว่าจะคลี่คลายได้”


นักวิชาการสื่อ ชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านทีวีครั้งนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ถูกจับตามองอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ากสทช.ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวกและลบ เช่น การบริหารจัดการที่ยังไม่ดีพอทั้งเรื่องการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณของกสทช. ว่าตอบโจทย์ของสังคมในการเปลี่ยนผ่านของทีวีครั้งนี้มากน้อยเพียงใด หรือเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์บุคคล
กระนั้นก็ตามเขามองว่า กลุ่มที่น่าจะพอใจที่สุดในปรากฏการณ์เช่นนี้ คือ กลุ่มรัฐที่เป็นราชการซึ่งยังตรึงอำนาจช่องทางการสื่อสารทางวิทยุโทรทัศน์ของตนเองไว้ได้ ไม่ตกขบวน


ดร.มานะ ระบุว่า หลังจากนี้สื่อทีวีจะแข่งขันกันสูงมาก แม้ในช่วงนี้จะต่อสู้กันด้วยราคาโฆษณา แต่อีกไม่นานน่าจะเห็นปรากฏการณ์การแข่งขันเชิงเนื้อหาคุณภาพ รวมทั้งการทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างสรรค์รายการที่ดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคอย่างเข้มข้น หากไม่ทำเช่นนี้ อาจอยู่ได้ลำบากในพื้นที่ทีวีดิจิทัล


“บางช่องอาจจะเพิ่มเรื่องเทคนิค กราฟฟิกทันสมัยมากขึ้น แต่เนื้อหาที่มีคุณภาพจริงๆหรือการทุ่มงบทำโปรดักชั่นดีๆ หลายแห่งยังเก็บเงินไว้ รอผู้ชมให้มีมากขึ้น ซึ่งปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า อาจจะเห็นการลงทุนควักเงินเพื่อดึงผู้ชมให้มากขึ้น อาจจะเห็นการพัฒนาคุณภาพเชิงเนื้อหาได้บ้าง เพราะหากไม่แข่งขันเรื่องคุณภาพ คนดูก็จะเลือกดูเฉพาะรายการ ไม่ภักดีกับทีวีช่องใดช่องหนึ่ง เลือกดูเฉพาะที่เขาชอบ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภควันนี้เปลี่ยนไปแล้ว”


อย่างไรก็ตาม ดร.มานะ มองว่า ท่ามกลางผลประกอบการทีวีดิจิทัลในเชิงธุรกิจที่ยังค่อยไม่สู้ดีนักจะนำมาสู่แข่งขัน การเรียกเรตติ้ง จนอาจทำให้ผู้ประกอบการสื่อละเลยประเด็นจริยธรรมด้านวารสารศาสตร์หรือนิเทศศาสตร์


“ขณะนี้เริ่มเห็นชัดในเว็บไซด์ข่าวสาร เช่น มีการทำกราฟฟิกเยอะก็จริงแต่บางส่วนก็ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การนำเสนอภาพอุจาด หรือเช็คข่าวไม่รอบด้าน เพราะต้องการดึงแค่คนดู ผมกลัวว่าหากทีวีดิจิทัลเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมา การเรียกเรตติ้งอาจจะทำได้ แต่ความน่าชื่อถือขององค์กรโดยเฉพาะ ช่องข่าวสารอาจจะตกต่ำลง เพราะเรื่องของข่าวสารยืนอยู่ได้เพราะความน่าเชื่อถือ”


เขายังเสริมว่า “ปัจจุบันเริ่มเห็นประเด็นเหล่านี้มากขึ้น คือดึงเรตติ้งด้วยไสยศาสตร์ ความเชื่อ เรื่องเซ็กส์ เพื่อดึงคนให้เข้ามาดูทีวีโดยไม่ได้สนใจกับจริยธรรมที่จะเกิดขึ้น หรือพวกคลิปดาราก็กลายเป็นการจุดประเด็นเรื่องของบุคคลให้กลายเป็นวาระระดับชาติ”


ดร.มานะ สรุปทิ้งท้ายว่า ความนิ่งการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิทัลอาจเห็นผลในอีก1 -2 ปี นอกจากนี้อาจเห็นการพัฒนารูปแบบสื่อจากผู้ประกอบการวิชาชีพอิสระ และการพัฒนาบุคลากรในวิชาชีพสื่อให้มีการพัฒนาทั้งในเรื่องทักษะ ความสามารถในเชิงเทคนิค เชิงข่าวทีวี รวมทั้งการตัดสินใจในเชิงจริยธรรมในการนำเสนอข่าวหรือภาพจากทีวีดิจิทัลว่าจะมีมากน้อยอย่างไร

ทั้งหมดนี้ คือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายอนาคตสื่อไทยอย่างยิ่งยวด

ที่มา : http://www.isranews.org/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่