ตีแผ่การกินมังสวิรัติแบบวัยรุ่น อยากกินมังฯ แต่....!!!

อยากบอกเล่าประสบการณ์ตรงและอ้อมจากรอบตัวเรื่องการทานมังสวิรัติค่ะ
ก่อนอื่น ถ้ามี*คำหยาบ มีคำวิบัติ หรือคำแสลงใดๆที่ทำให้อ่านยากและไม่รื่นหูต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ*
โอเค มาเริ่มกันเลย

ส่วนตัวกินมังสวิรัติมาเกือบ 3 ปีแล้วค่ะ กินมังฯคนเดียวในบ้าน และสาเหตุที่กินก็ไม่มีอะไรมาก
ช่วงนั้นข่าวการค้าเนื้อหมากำลังบูมพอดี ด้วยความที่เป็นคนรักสัตว์สปีชี่ส์เดียวกัน
เลยคิดได้ว่า หมู-วัว-ไก่-ปลา ก็คงไม่อยากตายเหมือนกัน และตอนพวกเขาตายก็ทรมานไม่ต่างกัน
*อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ เพราะเคยดูคลิปและอ่านกรรมวิธีมา ใครไม่เห็นด้วยก็ขออภัยค่ะ*
(บอกตรงกลัวคนดราม่าแบบในเฟสบุ๊คเรื่องคอมเม้นแบบนี้มากค่ะ 555555)
*นี่เป็นสาเหตุที่แท๊กสัตว์เลี้ยง โอเคเนอะ?*

เออออออ แต่ก็ไม่ใช่มังฯแบบเคร่งครัด ถึงจะบอกปลาก็ไม่อยากตาย แต่ก็กินปลาตามโอกาส
แปลว่าเป็นมังฯปลาบ้าง (Demi-vegetarian) เพราะไม่ค่อยชอบกินถั่ว เต้าหู้ ฯลฯ ที่มันมีโปรตีน (มีพักหนึ่งถึงกับขาดสารอาหาร)
วิธีที่เป็นมังสวิรัติตอนนู้นนนนนเลย .... ก็ใช้วิธี "หักดิบ" ค่ะ หักแบบหักดังป๊อก สตาร์ทพรุ่งนี้ก็ไม่กินเลยไรงี้ ฟังดูโหด
แต่จริงๆเพราะเป็นคนชอบผ่อนผันแบบ "พรุ่งนี้ก็แล้วกัน" อารมณ์เดียวกับเวลาจะลดความอ้วน (ซึ่งผ่านมาข้ามชาติก็ยังไม่ได้ลดสักที)
บางคนเขาก็จะมีอีกวิธีคือค่อยๆลดไปทีละอย่าง ไม่กินเนื้อวัว ไม่กินเนื้อหมู แล้วค่อยไม่กินเนื้อไก่
หรือบางคนก็เริ่มกินเฉพาะวันพระบ้าง กินมังฯทุกวันศุกร์บ้าง
แต่ถ้าแนะนำให้ง่ายเลยคือหันมาทานปลาและอาหารทะเลอย่างเดียวเลยก็ได้ค่ะ ถือเป็นการกินแบบชีวจิต กินสัตว์เล็ก
แต่ไม่ใช่ไปกินแบบหูฉลาม เนื้อจระเข้ ปลาโลมาต้มแซ่บ พยูนเคี่ยวน้ำปลานะ มันก็.....นะ มันก็นะ 5555555555

จากนั้นก็จะเริ่มมีเพื่อนบ่นว่า "เออว่ะ อยากกินมังฯแบบบ้างอ่ะ แต่...."
แต่!!!!!!!!!
ไอ้คำว่า แต่ นี่แหละที่ครองประเทศไทยไปมากกว่าครึ่ง!
มันอารมณ์เดียวกับ "อาจารย์ หนูทำการบ้านมานะคะ แต่..."

แต่.... ที่หนึ่ง : "ไม่กินผัก"
เอออออออออออออ คือจริงๆเจอเหตุผลนี้มันก็จริงอ่าแหละ ก็ไม่กินผักเนอะจะให้กินมังฯได้เยี่ยงไรเล่าแม่นาง
วันๆคงจะกินแต่นม ไข่ เต้าหู้ ขนมปังจะหน้าเป็นกะละมังแน่นอน
แต่จริงๆส่วนตัวตอนเด็กๆเกลียดผักมากกกกกกกกกกกก เกลียดแบบเกลียดอ่ะ ไม่ขออยู่ร่วมห้องร่วมจานกันเลย เอามันออกไปค่ะแม่!! ร้องไห้งอแงไม่ยอม-ผักจนแม่ละเหี่ยใจว่าอีลูกคนนี้อนาคตเด็กฟาสต์ฟู้ดแน่นอน
แล้วก็เกิดวิกฤตการณ์กินพืชใบเขียวได้ เริ่มจากแม่เริ่มทำพวกต้ม-ผัดแบบเปื่อยๆให้
เปื่อยแบบมีแต่รสซีอิ๊ว หลับตากินยังนึกว่าเจลาตินต้มน้ำปลา ไม่มีกลิ่นผักเลย แล้วก็เริ่มกินผักตั้งแต่นั้น
พอมาเรื่อยๆ ต้องซื้อข้าวกินเอง แม่ครัวโรงเรียนก็คงไม่มานั่งประคบประหงมยืนผัดผักให้เป็นชั่วโมง (หนูรักแม่ค่ะ กระซิกๆ)
ก็เลยเริ่มกินผักที่แข็งและมีกลิ่นขึ้นมาหน่อยได้ จนตอนนี้กินได้หมดทุกผัก (ยกเว้นมะระ) !! มันกลายเป็นการฝึกระยะยาวจริงๆ

แต่... ที่สอง : "กลัวอดใจไม่ได้"
เออ... กิเลสตัณหามันต้องมีอยู่ละ แบบเดินผ่านรถขายหมูปิ้ง อื้ออออหืออออ กลิ่นค่ากลิ่น กลิ่นหมักแบบนึกออกเลยว่ารสเนื้อหมูจะนุ่มหวานละมุนในช่องปากขนาดไหน เมื่อกัดเข้าไปนี่นะ.....
อ้าว ก็เคยกินแล้วนี่ อันนี้เป็นความคิดที่พยายามตอกย้ำตัวเอง เออว่ะ ก็เคยกินแล้ว มันก็อร่อยดี
โมเม้นต์ตรงนี้พยายามคิดเสมอว่า "กินให้อิ่ม อิ่มก็ไม่อยากกินแล้ว" ซึ่งมันจริงๆนะ
ตอนเราหิว อะไรก็อยากกินไปหมด ไก่ย่าง หมูปิ้ง แบบโอ๊ยยยย มันเหมือนใส่ชุดวาบหวิวมาเต้นยั่วเราอยู่ตรงหน้าแต่เราโดนโซ่ตรวนเอื้อมมือไปไม่ได้
แต่พอเรากิน ไม่ว่ากินอะไรก็ตาม พอท้องมันอิ่มอ่ะ ความอยากกินนู่นกินนี่มันก็ลดฮวบๆเหมือนไอโฟนเปิด3G... แปปเดียวหมด!

แต่... ที่สาม : "กลัวไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ได้"
เห้ย! อันนี้เป็นเรื่องที่ตัวเองคิดมาตลอดก่อนจะกินมังฯ และเชื่อว่าต้องมีคนอื่นคิดเหมือนกัน
คือแหม่.... ไอ้เราก็วัยว้าวุ่น มันก็ต้องไปเที่ยวห้างกับเพื่อน ไปดูหนังฟังเพลงเต้นระบำฟังธรรมดำนำไว้พระดูปะการัง
แล้วห้างมันก็จะมี เคเอฟซี แมคโดนัลด์ ซานตาเฟ่ เชลเตอร์ เจฟเฟอร์ โหหหหหหห เหยดเข้!
จะเริ่มคิดทันที งี้ก็-กับเพื่อนไม่ได้อ่าดิ งี้ก็งั้น งั้นก็งู้น งู้นก็เงี้ย ผกด่เสาห้ดผฟกด่เฟว เยอะ!
กลัวเพื่อนจะต้องมาลำบากหาร้านอาหารที่เรากินได้อีก
แต่พอเป็นมังฯแล้ว มันก็จริงๆอ่ะแหละ เพื่อนก็จะหันมาถามว่า "เห้ย ร้านนี้ กินได้ป่ะวะ" หรือว่า "อ้าว ถ้าเขาร้านนี้ แล้วมันจะกินอะไร" ฯลฯ
ซึ่งเดี๊ยนจะพูดออกไปทันทีด้วยความเร็วแสง.... "โอ๊ยยยย จะกินร้านไหนก็กินเหอะ! กุกินได้หมดทุกร้านแหละ"
มันมีทุกร้านจริงๆนะคะ เพียงแต่เรามักจะมองข้ามเมนูพวกนั้นไปเสมอๆ
มันก็เหมือนกับเราชอบใครสักคน แต่เขาไม่เคยมองมาถ้าเราเลย.... #เดี๋ยวนะ
เช่น เคเอฟซี มีมันบด แมคฯ ก็มีสลัด เชสเตอร์ เจฟเฟ่อ มีสลัดหมดอ่ะ บางทีกระดกแต่น้ำสลัดก็อิ่มละ!
แต่ถึงบอกไง บางทีก็เป็นมังฯปลา เอาโปรตีนซะบ้าง เกรดDจะได้เป็นC


หมด "แต่" แค่นี้ นึกไม่ออกแล้วง่ะ อันนี้มันมาจากคำพูดแวดล้อมเลยเอามาบอกต่อ

ทีนี้มีคนถามว่า "เขี่ยออกได้ไหม?"
อย่างนี้เขาจะเรียก มังฯเขี่ย ป้ะ?
เคยมีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนคนนึงของเขาก็เป็นมังฯเหมือนกัน แต่เป็นมังฯเขี่ย
ไอ้เราก็งง ก็เลยถามต่อมันคืออะไรวะมังฯเขี่ย
มันก็บอก ก็แบบสมมติสั่งผัดผักมา มีไก่ ก็เขี่ยไก่ออก
เออ........เนอะ อย่างนี้ก็เป็นมังฯสินะ....
จะบ้าเรอะ!!
ส่วนตัวจะไม่เรียกมังฯนะคะ พอคิดถึงจุดที่ว่า ถ้าเขี่ยออก เนื้อสัตว์นั่นก็ต้องถูกเททิ้ง
มันก็เท่ากับเศษเสี้ยวหนึ่งที่เขาสละชีวิตมา.... มันก็สูญเปล่าเหรอ?
เพราะฉะนั้นถ้าเมนูไหนสั่งมาแล้วมันมีเนื้อสัตว์ อยากแนะนำให้กินให้หมดค่ะ อย่างน้อยมันก็เป็นการให้เกียรติเขา
หรือไม่ก็ ถ้าเพื่อนคุณกิน คุณเอาให้เพื่อนก็ได้เนอะ


จากนั้นมีคนถามว่า "มังฯมันมีกี่ประเภทวะ?"
เท่าที่ศึกษามามันมีหลายประเภทมาก อาจารย์กู๋ท่านให้ความรู้มาดังนี้
เขาให้มาเป็นหัวข้อ แต่จะขอแตกให้ฟังนะคะ เผื่อจะได้ดูฉลาดขึ้นมาบ้าง 5555
ทั้งนี้ขอแบ่งเป็นห้าประเภทพอ เอาที่รู้จักและจำกันง่ายๆ
1. Pescovegetarian = Pescivegetarian = อันนี้ที่ส่วนตัวเรียก Demi-vegan มังสวิรัติแบบกินปลา เพราะร่างกายสมควรได้รับสารอาหารที่ดีจากปลา พวกน้ำมันตับปลา โอเมก้าสาม ฯลฯ .... เรียกอีกแบบก็คล้ายๆการทานชีวิจิต
2. Lacto-ovo-vegetarian = มังสวิรัติชนิดกินนม (lacto = นม) และไข่ (ovo = ไข่) กินมังฯแบบนี้จะได้สารอาหารที่มีคุณค่าสูงค่อนข้างครบครัน ทั้งนมและไข่ แต่ส่วนตัวไม่ชอบกินนม กินแล้วปวดท้อง ก็เลยต้องกินมังฯแบบอื่นแทน
3. Lactovegetarian = มังสวิรัติชนิดกินนม ไม่กินไข่
4. Ovovegetarian = มังสวิรัติชนิดกินไข่ ไม่กินนม
5. Vegans = มังสวิรัติชนิดไม่กินนม และไข่ ....อันนี้จัดว่ายากนะ เพราะอาหารเกือบทุกเมนูจะมีส่วนผสมพวกนี้ ขนมเค้ก บัวลอยไข่หวาน เครป โรตี โหยยยยยย #เดี๋ยวๆๆๆๆ
จริงๆในเว็บมันจะมีอีกอันที่เรียกว่า "มังสวิรัติแบบยืดหยุ่น" แต่ในทีนี้จะขอตัดนะคะ
แต่จะพูดก็คือการทานเนื้อสัตว์บ้างตามโอกาส แต่น้อย แต่ก็ยังทาน แต่ก็น้อย แต่ก็ยังทานอ่ะ... #เริ่มงง



"กินมังฯแล้วดียังไงวะ"
โหยๆๆๆ ! ร้อยแปดพันเก้า!!
ผอม!!.... อันนี้ความเชื่อผิดๆที่คิดมาตลอดและจะคิดต่อไป 5555555
มันอยู่ที่อาหารที่เรากิน ถ้ากินมังฯแล้วกินเค้ก ขนมปัง ช็อกโกแลตตตตต
ผอมเลยค่ะ!..... ผอมเลยยยยยยยยไปไกล
อีกเรื่องก็คือ...
จริงๆ บรรพบุรุษของเราเป็นมังสวิรัติกันโดยธรรมชาติ และโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ไม่เหมาะกับการกินเนื้อ เรื่องนี้ได้รับการอธิบายในข้อเขียนเกี่ยวกับกายวิภาคเปรียบเทียบที่เขียนโดย ดร. จี.เอส. ฮันติงเจน อธิบายว่า สัตว์ที่กินเนื้อจะมีลำไส้สั้นมาก และลำไส้ของมันจะตรงและเรียบลื่น ส่วนพวกสัตว์กินพืชกินหญ้ามีลำไส้ที่ยาว ทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่...  มนุษย์เป็นเหมือนพวกสัตว์กินพืชทั่วๆไป คือมีลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่ยาว รวมความยาวประมาณยี่สิบแปดฟุต (แปดเมตรครึ่ง) ส่วนลำไส้เล็กขดพับไปมาหลายซับหลายซ้อน และผนังของมันก็เป็นรอยยับย่นไม่เรียบลื่น เนื่องจากลำไส้ของมนุษย์ยาวกว่าลำไส้ของสัตว์กินเนื้อ ดังนั้นเนื้อที่เรากินเข้าไปจึงตกค้างอยู่ในลำไส้ของเราเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการบูดเน่าเหม็นและสร้างสารพิษออกมา สารพิษเหล่านี้เกี่ยวข้องเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ส่วนปลายลำไส้ใหญ่ และยังเพิ่มภาระให้กับตับซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษ ทำให้เกิดโรคตับแข็งและโรคมะเร็งในตับด้วย
(ข้อมูลจาก ธรรมวิถีกวนอิม http://www.godsdirectcontact-thai.org/key/key-vetge.htm)
ฉะนั้นเมื่อกินมังฯแล้ว คุณจะพบว่าคนเป็นมังฯจะไม่ค่อยอึอึ้ทุกวันค่ะ 55555 สามวันครั้งไรงี้

สรุปคือ.... การทานมังฯจะทำให้โอกาสการเป็นมะเร็งลดลง
หรือพูดโดยรวมก็คือมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย

เพิ่มเติ่มจากในเว็บ.... "มีการพิสูจน์แล้วว่า โรคหัวใจ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และการหมดสติกะทันหันจากโรคหัวใจ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์ และอาหารจากสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวอยู่มาก และยังมีโรคอื่นๆซึ่งมักจะป้องกันและบางครั้งก็รักษาได้โดยการกินอาหารมังสวิรัติที่มีไขมันต่ำ ได้แก่ โรคนิ่วในไต โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเบาหวาน โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคลำไส้ โรคข้ออักเสบ โรคเหงือก สิว โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ โรคท้องผูก โรคไดเวอร์ติคูโลสิส โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งรังไข่ โรคริดสีดวง โรคอ้วน และโรคหืด

นอกจากการสูบบุหรี่แล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นการเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพของคนเรามากกว่าการกินเนื้อ"



เอาล่ะ วันนี้ขอจบการรายงานเพียงแค่นี้
ใครอ่านจบขอบพระคุณมากค่ะ
ดังนั้นขอสรุปต่อสั้นๆอีกนิดให้ดูมีสาระ


"มังสะ" หรือ "มังสา" ก็คือ เนื้อ ... ใครอ่านนิยายจะเคยเจอคำว่า "เนื้อหนังมังสา"
ส่วน "วิรัติ" แปลว่าการละเว้น การปราศจาก ไม่ยินดี
รวมกันแปลว่า การไม่ยินดีในเนื้อสัตว์
แปลว่าคุณต้องทานมังสวิรัติด้วยใจที่ยินดีในการที่จะไม่ยินดีในเนื้อสัตว์ ...งงไหมคะ 555
นั่นแปลว่า ถ้าคุณทานมังฯไม่ว่าด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม
แล้วคุณรู้สึกทรมาน มีความคิดเช่นว่า "แม่มเอ้ย อยาก-ว่ะ" "โอ๊ย อยากกิน" "กินไม่ได้กุเป็นมังงงง"
งั้นก็กินเข้าไปเถอะค่ะ อันนี้ไม่ได้ประชด คือพูดกันจริงๆเลย
การกินมังฯคือการกินแล้วใจเป็นสุข ใจยินดี แต่หากการกินมังฯทำให้รู้สึกอดอยาก รู้สึกทรมาน
สิ่งที่คิดว่าทำแล้วได้ ก็จะไม่ได้
ก็เหมือนกับคิดว่าจะได้บุญ แต่เมื่อเราหวังบุญมากเกินไป จนจิตฟุ้งซ่าน มันก็จะทำให้ใจเราบาปแทน
ปัจจุบันนี้กินเนื้อปลาอยู่ก็จริง แต่เวลากินก็รู้สึกผิด คิดไว้ว่าอาทิตย์หนึ่งจะกินปลาแค่ครั้งพอ
เคยเผลอกินเนื้อสัตว์ใหญ่ไป โคตรรู้สึกผิดแบบจะร้อง แต่ที่งงกว่านั้นคือ... เนื้อของเขาไม่มีรสชาติใดๆเลย


ดังนั้น... หากใครที่กำลังคิดจะเป็นมังฯ ขอชื่นชมและสนับสนุน เป็นกำลังใจให้ค่ะ
และหากใครที่เป็นมังฯอยู่แล้ว ขอชื่นชมเช่นกันค่ะ กินไปด้วยกันเนอะ ^^
ตอนนี้ก็ช่วงกินเจพอดี หาทานง่ายมากกกก ปลื้มปริ่มมากกกก 5555
แต่ติดตรงที่ไม่ชอบกินเต้าหู้ ก็เลยกินเป็นมังฯบ้างเจบ้างๆ ไม่เคร่ง


แท๊กจัตุจักร ด้วยสาเหตุข้างต้นที่พูดไปแล้ว
แท๊กก้นครัว เพราะอาหารมังสวิรัติ
แท๊กห้องสมุด เพราะรู้สึกว่าจะบวกปรัชญาความคิดตัวเองเข้าไปด้วย 55
แท๊กสยามแสควร์ เพราะนี่คือการใช้ชีวิตของวัยรุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามหาลัย
แท๊กศาสนา เพราะส่วนตัวแล้ว นี่คือการปฎิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณค่าทางจิตใจและร่างกาย

ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ ฮูเล่
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่