เมื่อได้เห็น การสนทนาโต้ตอบ ของบุคคล ที่สมมุตินามว่า "หนอน พระไตรปิฎก" แล้ว
ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่ารู้สึก "ผะอืดผะอม" กับ ชาวพุทธ ชนิดนี้ เหลือประมาณ !
ประเด็นเรื่อง การศึกษาของคณะสงฆ์ ผ่านสถาบันการศึกษา อะไรนั่น คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีก
ขอให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาความต่างๆ ในประเด็นเหล่านั้นได้จาก กระทู้ ติรัจฉานวิชา กับ พระหนุ่มเณรน้อย ในพระพุทธศาสนา
ในที่นี้ ขออนุญาต กล่าวถึง ประเด็นที่ หญิงผู้นั้น กล่าวอ้างถึง พระบาลีพุทธพจน์ อนุชานามิ ภิกขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุ ํ
โดยผูกโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง อย่างไม่สมกับที่อ้างว่าเป็นครูบาอาจารย์ ในสถาบันการศึกษาของสงฆ์ กล่าวคือ
(๑) มีการกล่าว อย่างไร้สติ ในทำนองว่า ถ้าหาก วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการศึกษาของสงฆ์เหล่านั้น
ก็จะส่งผลกระทบต่อ สถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันการศึกษาของสงฆ์ เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
(๒) มิหนำซ้ำ ยังแอบอ้าง อย่างคนไม่มีหัวคิด ในทำนองว่า ถ้าตำหนิติเตียนการสร้างเครื่องรางของขลัง ว่าเป็น เดรัจฉานวิชา
ก็จะกระทบสถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันเบื้องสูง ก็สร้าง วัตถุมงคลนี้เหมือนกัน
**********************************************************************************
ที่จริงแล้ว ในประเด็น พุทธพจน์ อนุชานามิ ภิกขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุ ํ
ผมก็เห็นว่า มีชาวพุทธหลายท่าน ได้เข้ามาอธิบายความพอสมควรแล้ว
และในอันที่จริง เพียงแค่ "ลูกศรสีแดง" ที่ ล็อกอิน ซุ้มเฟื่องฟ้า ชี้ไปที่คำว่า "จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไป"
ก็น่าที่จะทำให้ นักศึกษาพระพุทธศาสนา สามารถเข้าใจได้แล้วว่า ตน ถูกโต้แย้งด้วยประเด็นอะไร ?
แต่ปรากฏว่า หนอนตัวนี้ กลับยังไม่รู้สึกตัว !
หลังจากนั้น มีชาวพุทธอีกท่านหนึ่ง โต้แย้งว่า ก่อนที่ภิกษุทั้งหลายจะ "คล้อยตามพระราชา" ได้นั้น
ท่านก็ได้ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอนุญาต ภิกษุทั้งหลายจึงปฏิบัติตาม
ซึ่งความหมาย ก็คือ มิใช่ว่า พระราชาตรัสสั่งอะไร ก็คล้อยตามไปเสียหมด โดยไม่ต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า
สอดคล้อง หรือ ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอน หรือไม่ และ อย่างไร ?
แต่ปรากฏว่า หนอนตัวนี้ ก็ยังไม่สำเหนียก !
ที่จริงแล้ว การที่พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "เราอนุญาตให้คล้อยตามพระราชา" นั้น
เรื่องราวต่างๆ เท่าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า พระพุทธเจ้าทรงหมายถึงการอนุญาต ในเรื่องอะไร ?
และถ้าหากแม้จะใช้หลักมหาปเทส ๔ ในการวิเคราะห์ หรือ วินิจฉัย เพื่อใช้ในกรณีอื่นๆ ด้วย
อรรถกถาจารย์ ก็ได้อธิบายความเอาไว้ อย่างชัดเจนทีเดียวว่า ที่จะคล้อยตามนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ทำไปแล้ว ไม่เป็นการเสื่อมเสียแก่ภิกษุ
โดยจะต้องเป็นการ "คล้อยตาม" เฉพาะ "กรรม" คือ การกระทำที่เป็นธรรม เท่านั้น หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับธรรมวินัย
ก็ไม่จำเป็นต้องคล้อยตาม แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ชัดเจนนะครับ
**********************************************************************************
ในกรณี ที่มีการกล่าว อย่างไร้สติ ในทำนองว่า ถ้าหาก วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการศึกษาของสงฆ์เหล่านั้น
ก็จะมีปัญหากับ สถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันการศึกษาของสงฆ์ เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
ผมเห็นว่า กรณีเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นปัญหา ด้านการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผล โดยเฉพาะตัวของผู้พูดเอง !
เนื่องจาก ถ้าหากการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันการศึกษาตามพระราชบัญญัติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย
จะเป็นสิ่งที่กระทำมิได้ เพราะจะเป็นที่ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท เป็นการมิบังควร สมดังที่ หญิงไร้สติผู้นั้น กล่าวแล้วไซร้
มันก็จะกลายเป็นว่า ทุกๆ สถาบัน ที่จัดตั้งขึ้นด้วยกฏหมายพระราชบัญญัติ ซึ่งลงพระปรมาภิไธย ฯ ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน
ดังนั้น เราจะวิพากษ์วิจารณ์ นายกรัฐมนตรีไม่ได้ เนื่องจาก ตำแหน่งนายกฯ ได้รับการโปรดเกล้าฯ มา
ถ้าหากใครวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ก็จะเป็นการระคายเคืองเบื้องยุคลบาท ไปด้วย เป็นต้น !
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
แม้ตำแหน่งนายกฯ จะได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง มาจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จริง
แต่ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็คือ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตามที่กฏหมายระบุ ไม่ใช่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สักหน่อย
ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอะไร ?
มันก็หมายความว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย ในร่างกฏหมายต่างๆ
ก็มิได้หมายความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องทรงรับผิดชอบ ต่อกฏหมายนั้น หรือ องค์กรที่จัดตั้งด้วยกฏหมายนั้นๆ
อีกทั้ง ก็มิได้หมายความว่า การวิพากษ์วิจารณ์ กฏหมาย หรือ องค์กรที่จัดตั้งด้วยกฏหมายนั้น
จะมีค่าเท่ากับ การวิพากษ์วิจารณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปด้วย ซึ่งนี่เป็นหลักกฏหมายขั้นพื้นฐาน เลยนะครับ
เพราะถ้าหาก "ตีความ" เพี้ยนๆ อย่างที่ หญิงไร้สติผู้นั้นกล่าวอ้าง บ้านเมืองก็คงสับสนวุ่ยวาย เป็นแน่
เพราะหากใคร วิจารณ์ ครม. วิจารณ์ นายกฯ วิจารณ์ สถาบันการศึกษา ก็จะถูกคนบ้าพวกนี้ ตีความว่า
กำลังกล่าวถ้อยคำ วิจารณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปหมด
ทั้งๆ ที่เมื่อพิจารณาตามหลักการของกฏหมายขั้นพื้นฐาน ก็ย่อมทราบดีว่า การตีความแบบนี้ หรือ การกล่าวแบบนี้
เป็นกรณีที่กล่าวเพ้อเจ้อ เลื่อนเปื้อน ไม่มีข้อกฏหมาย หรือ หลักการทางกฏหมายใดๆ รองรับอยู่เลย
แน่ใจนะครับว่า ผู้ที่พูดอยู่นั่น เป็นอาจารย์สอนกฏหมายจริงๆ
ถ้าจริง ผมก็ได้แต่รู้สึก สมเพชเวทนา นักศึกษา ในสถาบันการศึกษาแห่งนั้น อย่างที่สุด
.
.
ขออนุญาต สงบนิ่ง ไว้อาลัย ๑ นาที !
.
.
.
**********************************************************************************
ขออนุญาต กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ความพยายาม ดึงฟ้าลงต่ำ โดยการผูกโยงอย่างไร้สติว่า การวิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการศึกษา
จะส่งผลกระทบต่อ สถาบันเบื้องสูง ในฐานะที่พระองค์ท่านเป็นผู้ก่อตั้งสถาบัน หรือ ทรงลงพระปรมาภิไธย นั้น
ถือได้ว่าเป็นการกล่าวตู่ "กฏหมาย"
และ กล่าวตู่แอบอ้าง "สถาบันชั้นสูง" อย่างน่าละอายที่สุด เท่าที่ผมเคยพบเจอมา เลยทีเดียว
ทั้งนี้ ผมมิอาจจินตนาการไปได้เลยว่า คนซึ่งอ้างว่าเป็นอาจารย์สอนวิชากฏหมายในสถาบันการศึกษา
จะสามารถพูดจาเลื่อนเปื้อน ไร้เหตุไร้ผล และ ไร้ตรรกะ ไร้หลักการทางกฏหมาย ซึ่งเป็นวิชาชีพของตน ได้มากถึงเพียงนี้ ได้อย่างไร ?
พฤติกรรมของคุณ มันน่าละอายมากๆ นะครับ !
.
.
.
ในกรณี ที่แอบอ้างกล่าว อย่างคนไม่มีหัวคิด ในทำนองว่า ถ้าตำหนิติเตียนการสร้างเครื่องรางของขลัง ว่าเป็น เดรัจฉานวิชา
ก็จะกระทบสถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันเบื้องสูง ก็สร้าง วัตถุมงคลนี้เหมือนกัน
ซึ่งถือได้ว่า เป็นการพูด อย่างคนไร้การศึกษา ไม่มีความเข้าใจใน พระธรรมวินัยอย่างถ่องแท้ และเพียงพอ
เหตุใด ผมจึงกล่าวว่า ผู้พูด พูดอย่างคนไม่มีรู้ ไม่เข้าใจ พระธรรมวินัย ?
ทั้งนี้ ก็เพราะ ถ้าหาก เธอผู้นี้ มีความเข้าใจในสิกขาบทวินัย ดีพอ ก็ย่อมทราบได้ว่า บรรดาวัตถุมงคลต่างๆ
ที่จัดทำขึ้นในพระพุทธศาสนานั้น ถ้าหากจะเป็นการกระทำที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย นั่นจะต้องเป็นการทำโดยสาวกฝ่ายฆราวาส
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกรณีนี้ จาก พระวินัยปิฎก จุลวรรค ความว่า
เดิมที พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุทั้งหลาย เหยียบผืนผ้าที่ปูไว้ หากทำ ทรงปรับอาบัติทุกกฏ
ต่อมา มีชาวบ้านต้องการให้ภิกษุเหยียบผ้า เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ภิกษุไม่กล้าเหยียบ ภายหลังพระพุทธเจ้าจึงตรัสอนุญาตว่า
"

หาก)คฤหัสถ์ต้องการมงคล เราอนุญาตให้ผู้ที่ถูกคฤหัสถ์ขอร้อง ให้เหยียบเพื่อความเป็นมงคล เหยียบผืนผ้าได้"
ก็โดยพุทธานุญาตนี้นั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย จึงสามารถกระทำการอันเป็นสิริมงคลได้โดยไม่ผิดพระธรรมวินัย
แต่ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาให้รอบคอบด้วยว่า พุทธานุญาตนี้ พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตไว้เฉพาะ
กรณีที่ ชาวบ้าน เป็นผู้ร้องขอ เท่านั้น แต่ ภิกษุ จะเจ้ากี้เจ้าการ เป็นผู้ริเริ่มเอง มิได้ ถ้าทำเช่นนั้น ถือว่าทำผิดพระพุทธบัญญัติ
ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอะไร ?
มันก็หมายความว่า การที่หญิงไร้สติผู้นั้น ดึงฟ้าลงต่ำ โดยการอ้างอิงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินว่า ก็ทรงจัดสร้างวัตถุมงคล ด้วยเหมือนกัน
จึงเป็นการกล่าวโต้แย้ง เสมือนดังคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้พระธรรมวินัย ไร้ตรรกะเหตผล โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ
(๑) ที่กล่าวว่า เป็น เดรัจฉานวิชา คือวิชาที่ขวางมรรคผล นี้หมายเฉพาะสำหรับภิกษุทั้งหลาย ไม่เกี่ยวกับ ฆราวาส
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ ชาวบ้านเขาทำได้ ไม่ผิด แต่ภิกษุทำไม่ได้ เพราะมีสิกขาบทห้ามอยู่ เว้นไว้ก็แต่ ชาวบ้านร้องขอ(เพื่อเป็นสิริมงคล) เท่านั้น
(๒) การกล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย มัวเมาอยู่กับดิรัจฉานวิชา ทำวัตถุมงคลของขลัง ผิดพระธรรมวินัย เป็นคำกล่าวที่มุ่งวิจารณ์ ภิกษุ
โดยไม่มีผลไปถึง ฆราวาส การอ้างตรรกะเหตุผลที่ "บิดเบือน" ในทำนองว่า ไม่อาจตำหนิติเตียนว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นดิรัจฉานวิชาได้
เพราะจนแม้แต่ สถาบันชั้นสูง ก็ทรงจัดสร้างวัตถุมงคลเหล่านั้น เช่นกัน จึงเป็นการกล่าวอ้าง อย่างคนไร้สติ ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
เพราะอะไร ?
ก็การสร้างวัตถุมงคลต่างๆ มันเป็นกิจของฆราวาส มิใช่เรื่องของภิกษุทั้งหลาย อยู่แล้ว
โดยภิกษุสงฆ์จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้ เฉพาะก็แต่ ชาวบ้านเขาร้องขอ ให้ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อเป็นสิริมงคล เท่านั้นเอง
ดังนั้น เหตุผลที่หญิงผู้นั้น ยกขึ้นมาโต้แย้ง จึงจัดได้ว่า เป็นเหตุผลที่ฟังดูประหลาด พิลึก และไร้สาระเต็มที !
**********************************************************************************
สรุป
ต้องถือว่า กรณีดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ แปลกหูแปลกตา เป็นอย่างยิ่งสำหรับผม(จ้าวนครเมฆขาว)
(๑) ถ้าพิจารณาในแง่ที่ คนผู้นั้นอ้างตนว่า เป็นนักกฏหมายมืออาชีพ และเป็นอาจารย์สอนกฏหมายในสถาบันการศึกษา
แต่คนๆ นี้กลับแสดงเหตุผลในการโต้แย้งในประเด็นต่างๆ ที่ผิดไปจากหลักการทางกฏหมาย(ขั้นพื้นฐาน)โดยสิ้นเชิง
ผมไม่สามารถ "ยอมรับ" หรือ ทำความเข้าใจได้เลยว่า บุคคลากรทางกฏหมาย ที่มีคุณภาพเพียงเท่าที่เห็นอยู่นี้ จะก่อให้เกิด
บัณฑิต แบบกึ่งดิบกึ่งดี ออกมาสร้างปัญหาให้กับสังคม ทั้งในฐานะ ฆราวาส และ นักบวช อีกสักกี่มากน้อย กันหนอ ?
(๒) ถ้าพิจารณาในแง่ที่ คนผู้นั้นอ้างตนว่า เป็น หนอนพระไตรปิฎก ผมคงต้องขออนุญาต สันนิษฐานโดยบริสุทธิ์ใจว่า
หนอนตัวนี้ คงจะเอาแต่ ชอนไช อยู่เพียงแต่ "ปก" หรือ "สัน" ของหนังสือ โดยยังเข้าไปไม่ถึง "เนื้อความ" ของพระไตรปิฎก เป็นแน่
เพราะ อาการที่คนผู้นี้ แสดงออกมาเป็นระยะๆ ได้ส่อแสดงให้เห็นถึงความ "อ่อนหัด" ในการทำความเข้าใจอย่างถูกต้องต่อพระธรรมวินัย
อย่าว่าแต่จะมาหาเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าให้เป็นบาป เป็นกรรมติดตัวเลย
เพราะถ้าผมเป็นคุณ ผมก็คงจะลาออก จากการเป็นอาจารย์สอนกฏหมาย(แบบกึ่งดิบกึ่งดี)ไปแล้ว
เนื่องจาก มิอาจทน "อับอาย" อยู่กับการ "ตีความกฏหมาย" ชนิดข้างๆ คูๆ ไร้ซึ่งเหตุผล และหลักการรองรับ ของตนเอง ได้เป็นแน่ !
สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผมจะไม่ถูกลากโยงไปว่า เป็นศิษย์วัดนาป่าพง นะครับ
เฮอะๆๆๆๆๆๆๆ
สวัสดี
หนอน พระไตรปิฎก กับความเข้าใจที่ บกพร่อง !
ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่ารู้สึก "ผะอืดผะอม" กับ ชาวพุทธ ชนิดนี้ เหลือประมาณ !
ประเด็นเรื่อง การศึกษาของคณะสงฆ์ ผ่านสถาบันการศึกษา อะไรนั่น คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีก
ขอให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาความต่างๆ ในประเด็นเหล่านั้นได้จาก กระทู้ ติรัจฉานวิชา กับ พระหนุ่มเณรน้อย ในพระพุทธศาสนา
ในที่นี้ ขออนุญาต กล่าวถึง ประเด็นที่ หญิงผู้นั้น กล่าวอ้างถึง พระบาลีพุทธพจน์ อนุชานามิ ภิกขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุ ํ
โดยผูกโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง อย่างไม่สมกับที่อ้างว่าเป็นครูบาอาจารย์ ในสถาบันการศึกษาของสงฆ์ กล่าวคือ
(๑) มีการกล่าว อย่างไร้สติ ในทำนองว่า ถ้าหาก วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการศึกษาของสงฆ์เหล่านั้น
ก็จะส่งผลกระทบต่อ สถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันการศึกษาของสงฆ์ เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
(๒) มิหนำซ้ำ ยังแอบอ้าง อย่างคนไม่มีหัวคิด ในทำนองว่า ถ้าตำหนิติเตียนการสร้างเครื่องรางของขลัง ว่าเป็น เดรัจฉานวิชา
ก็จะกระทบสถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันเบื้องสูง ก็สร้าง วัตถุมงคลนี้เหมือนกัน
**********************************************************************************
ที่จริงแล้ว ในประเด็น พุทธพจน์ อนุชานามิ ภิกขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุ ํ
ผมก็เห็นว่า มีชาวพุทธหลายท่าน ได้เข้ามาอธิบายความพอสมควรแล้ว
และในอันที่จริง เพียงแค่ "ลูกศรสีแดง" ที่ ล็อกอิน ซุ้มเฟื่องฟ้า ชี้ไปที่คำว่า "จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไป"
ก็น่าที่จะทำให้ นักศึกษาพระพุทธศาสนา สามารถเข้าใจได้แล้วว่า ตน ถูกโต้แย้งด้วยประเด็นอะไร ?
แต่ปรากฏว่า หนอนตัวนี้ กลับยังไม่รู้สึกตัว !
หลังจากนั้น มีชาวพุทธอีกท่านหนึ่ง โต้แย้งว่า ก่อนที่ภิกษุทั้งหลายจะ "คล้อยตามพระราชา" ได้นั้น
ท่านก็ได้ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอนุญาต ภิกษุทั้งหลายจึงปฏิบัติตาม
ซึ่งความหมาย ก็คือ มิใช่ว่า พระราชาตรัสสั่งอะไร ก็คล้อยตามไปเสียหมด โดยไม่ต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า
สอดคล้อง หรือ ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอน หรือไม่ และ อย่างไร ?
แต่ปรากฏว่า หนอนตัวนี้ ก็ยังไม่สำเหนียก !
ที่จริงแล้ว การที่พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "เราอนุญาตให้คล้อยตามพระราชา" นั้น
เรื่องราวต่างๆ เท่าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า พระพุทธเจ้าทรงหมายถึงการอนุญาต ในเรื่องอะไร ?
และถ้าหากแม้จะใช้หลักมหาปเทส ๔ ในการวิเคราะห์ หรือ วินิจฉัย เพื่อใช้ในกรณีอื่นๆ ด้วย
อรรถกถาจารย์ ก็ได้อธิบายความเอาไว้ อย่างชัดเจนทีเดียวว่า ที่จะคล้อยตามนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ทำไปแล้ว ไม่เป็นการเสื่อมเสียแก่ภิกษุ
โดยจะต้องเป็นการ "คล้อยตาม" เฉพาะ "กรรม" คือ การกระทำที่เป็นธรรม เท่านั้น หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับธรรมวินัย
ก็ไม่จำเป็นต้องคล้อยตาม แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ชัดเจนนะครับ
**********************************************************************************
ในกรณี ที่มีการกล่าว อย่างไร้สติ ในทำนองว่า ถ้าหาก วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการศึกษาของสงฆ์เหล่านั้น
ก็จะมีปัญหากับ สถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันการศึกษาของสงฆ์ เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
ผมเห็นว่า กรณีเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นปัญหา ด้านการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผล โดยเฉพาะตัวของผู้พูดเอง !
เนื่องจาก ถ้าหากการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันการศึกษาตามพระราชบัญญัติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย
จะเป็นสิ่งที่กระทำมิได้ เพราะจะเป็นที่ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท เป็นการมิบังควร สมดังที่ หญิงไร้สติผู้นั้น กล่าวแล้วไซร้
มันก็จะกลายเป็นว่า ทุกๆ สถาบัน ที่จัดตั้งขึ้นด้วยกฏหมายพระราชบัญญัติ ซึ่งลงพระปรมาภิไธย ฯ ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน
ดังนั้น เราจะวิพากษ์วิจารณ์ นายกรัฐมนตรีไม่ได้ เนื่องจาก ตำแหน่งนายกฯ ได้รับการโปรดเกล้าฯ มา
ถ้าหากใครวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ก็จะเป็นการระคายเคืองเบื้องยุคลบาท ไปด้วย เป็นต้น !
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
แม้ตำแหน่งนายกฯ จะได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง มาจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จริง
แต่ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็คือ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตามที่กฏหมายระบุ ไม่ใช่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สักหน่อย
ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอะไร ?
มันก็หมายความว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย ในร่างกฏหมายต่างๆ
ก็มิได้หมายความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องทรงรับผิดชอบ ต่อกฏหมายนั้น หรือ องค์กรที่จัดตั้งด้วยกฏหมายนั้นๆ
อีกทั้ง ก็มิได้หมายความว่า การวิพากษ์วิจารณ์ กฏหมาย หรือ องค์กรที่จัดตั้งด้วยกฏหมายนั้น
จะมีค่าเท่ากับ การวิพากษ์วิจารณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปด้วย ซึ่งนี่เป็นหลักกฏหมายขั้นพื้นฐาน เลยนะครับ
เพราะถ้าหาก "ตีความ" เพี้ยนๆ อย่างที่ หญิงไร้สติผู้นั้นกล่าวอ้าง บ้านเมืองก็คงสับสนวุ่ยวาย เป็นแน่
เพราะหากใคร วิจารณ์ ครม. วิจารณ์ นายกฯ วิจารณ์ สถาบันการศึกษา ก็จะถูกคนบ้าพวกนี้ ตีความว่า
กำลังกล่าวถ้อยคำ วิจารณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปหมด
ทั้งๆ ที่เมื่อพิจารณาตามหลักการของกฏหมายขั้นพื้นฐาน ก็ย่อมทราบดีว่า การตีความแบบนี้ หรือ การกล่าวแบบนี้
เป็นกรณีที่กล่าวเพ้อเจ้อ เลื่อนเปื้อน ไม่มีข้อกฏหมาย หรือ หลักการทางกฏหมายใดๆ รองรับอยู่เลย
แน่ใจนะครับว่า ผู้ที่พูดอยู่นั่น เป็นอาจารย์สอนกฏหมายจริงๆ
ถ้าจริง ผมก็ได้แต่รู้สึก สมเพชเวทนา นักศึกษา ในสถาบันการศึกษาแห่งนั้น อย่างที่สุด
.
.
ขออนุญาต สงบนิ่ง ไว้อาลัย ๑ นาที !
.
.
.
**********************************************************************************
ขออนุญาต กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ความพยายาม ดึงฟ้าลงต่ำ โดยการผูกโยงอย่างไร้สติว่า การวิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการศึกษา
จะส่งผลกระทบต่อ สถาบันเบื้องสูง ในฐานะที่พระองค์ท่านเป็นผู้ก่อตั้งสถาบัน หรือ ทรงลงพระปรมาภิไธย นั้น
ถือได้ว่าเป็นการกล่าวตู่ "กฏหมาย"
และ กล่าวตู่แอบอ้าง "สถาบันชั้นสูง" อย่างน่าละอายที่สุด เท่าที่ผมเคยพบเจอมา เลยทีเดียว
ทั้งนี้ ผมมิอาจจินตนาการไปได้เลยว่า คนซึ่งอ้างว่าเป็นอาจารย์สอนวิชากฏหมายในสถาบันการศึกษา
จะสามารถพูดจาเลื่อนเปื้อน ไร้เหตุไร้ผล และ ไร้ตรรกะ ไร้หลักการทางกฏหมาย ซึ่งเป็นวิชาชีพของตน ได้มากถึงเพียงนี้ ได้อย่างไร ?
พฤติกรรมของคุณ มันน่าละอายมากๆ นะครับ !
.
.
.
ในกรณี ที่แอบอ้างกล่าว อย่างคนไม่มีหัวคิด ในทำนองว่า ถ้าตำหนิติเตียนการสร้างเครื่องรางของขลัง ว่าเป็น เดรัจฉานวิชา
ก็จะกระทบสถาบันเบื้องสูงไปด้วย เพราะสถาบันเบื้องสูง ก็สร้าง วัตถุมงคลนี้เหมือนกัน
ซึ่งถือได้ว่า เป็นการพูด อย่างคนไร้การศึกษา ไม่มีความเข้าใจใน พระธรรมวินัยอย่างถ่องแท้ และเพียงพอ
เหตุใด ผมจึงกล่าวว่า ผู้พูด พูดอย่างคนไม่มีรู้ ไม่เข้าใจ พระธรรมวินัย ?
ทั้งนี้ ก็เพราะ ถ้าหาก เธอผู้นี้ มีความเข้าใจในสิกขาบทวินัย ดีพอ ก็ย่อมทราบได้ว่า บรรดาวัตถุมงคลต่างๆ
ที่จัดทำขึ้นในพระพุทธศาสนานั้น ถ้าหากจะเป็นการกระทำที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย นั่นจะต้องเป็นการทำโดยสาวกฝ่ายฆราวาส
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกรณีนี้ จาก พระวินัยปิฎก จุลวรรค ความว่า
เดิมที พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุทั้งหลาย เหยียบผืนผ้าที่ปูไว้ หากทำ ทรงปรับอาบัติทุกกฏ
ต่อมา มีชาวบ้านต้องการให้ภิกษุเหยียบผ้า เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ภิกษุไม่กล้าเหยียบ ภายหลังพระพุทธเจ้าจึงตรัสอนุญาตว่า
"
ก็โดยพุทธานุญาตนี้นั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย จึงสามารถกระทำการอันเป็นสิริมงคลได้โดยไม่ผิดพระธรรมวินัย
แต่ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาให้รอบคอบด้วยว่า พุทธานุญาตนี้ พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตไว้เฉพาะ
กรณีที่ ชาวบ้าน เป็นผู้ร้องขอ เท่านั้น แต่ ภิกษุ จะเจ้ากี้เจ้าการ เป็นผู้ริเริ่มเอง มิได้ ถ้าทำเช่นนั้น ถือว่าทำผิดพระพุทธบัญญัติ
ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอะไร ?
มันก็หมายความว่า การที่หญิงไร้สติผู้นั้น ดึงฟ้าลงต่ำ โดยการอ้างอิงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินว่า ก็ทรงจัดสร้างวัตถุมงคล ด้วยเหมือนกัน
จึงเป็นการกล่าวโต้แย้ง เสมือนดังคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้พระธรรมวินัย ไร้ตรรกะเหตผล โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ
(๑) ที่กล่าวว่า เป็น เดรัจฉานวิชา คือวิชาที่ขวางมรรคผล นี้หมายเฉพาะสำหรับภิกษุทั้งหลาย ไม่เกี่ยวกับ ฆราวาส
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ ชาวบ้านเขาทำได้ ไม่ผิด แต่ภิกษุทำไม่ได้ เพราะมีสิกขาบทห้ามอยู่ เว้นไว้ก็แต่ ชาวบ้านร้องขอ(เพื่อเป็นสิริมงคล) เท่านั้น
(๒) การกล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย มัวเมาอยู่กับดิรัจฉานวิชา ทำวัตถุมงคลของขลัง ผิดพระธรรมวินัย เป็นคำกล่าวที่มุ่งวิจารณ์ ภิกษุ
โดยไม่มีผลไปถึง ฆราวาส การอ้างตรรกะเหตุผลที่ "บิดเบือน" ในทำนองว่า ไม่อาจตำหนิติเตียนว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นดิรัจฉานวิชาได้
เพราะจนแม้แต่ สถาบันชั้นสูง ก็ทรงจัดสร้างวัตถุมงคลเหล่านั้น เช่นกัน จึงเป็นการกล่าวอ้าง อย่างคนไร้สติ ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
เพราะอะไร ?
ก็การสร้างวัตถุมงคลต่างๆ มันเป็นกิจของฆราวาส มิใช่เรื่องของภิกษุทั้งหลาย อยู่แล้ว
โดยภิกษุสงฆ์จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้ เฉพาะก็แต่ ชาวบ้านเขาร้องขอ ให้ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อเป็นสิริมงคล เท่านั้นเอง
ดังนั้น เหตุผลที่หญิงผู้นั้น ยกขึ้นมาโต้แย้ง จึงจัดได้ว่า เป็นเหตุผลที่ฟังดูประหลาด พิลึก และไร้สาระเต็มที !
**********************************************************************************
สรุป
ต้องถือว่า กรณีดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ แปลกหูแปลกตา เป็นอย่างยิ่งสำหรับผม(จ้าวนครเมฆขาว)
(๑) ถ้าพิจารณาในแง่ที่ คนผู้นั้นอ้างตนว่า เป็นนักกฏหมายมืออาชีพ และเป็นอาจารย์สอนกฏหมายในสถาบันการศึกษา
แต่คนๆ นี้กลับแสดงเหตุผลในการโต้แย้งในประเด็นต่างๆ ที่ผิดไปจากหลักการทางกฏหมาย(ขั้นพื้นฐาน)โดยสิ้นเชิง
ผมไม่สามารถ "ยอมรับ" หรือ ทำความเข้าใจได้เลยว่า บุคคลากรทางกฏหมาย ที่มีคุณภาพเพียงเท่าที่เห็นอยู่นี้ จะก่อให้เกิด
บัณฑิต แบบกึ่งดิบกึ่งดี ออกมาสร้างปัญหาให้กับสังคม ทั้งในฐานะ ฆราวาส และ นักบวช อีกสักกี่มากน้อย กันหนอ ?
(๒) ถ้าพิจารณาในแง่ที่ คนผู้นั้นอ้างตนว่า เป็น หนอนพระไตรปิฎก ผมคงต้องขออนุญาต สันนิษฐานโดยบริสุทธิ์ใจว่า
หนอนตัวนี้ คงจะเอาแต่ ชอนไช อยู่เพียงแต่ "ปก" หรือ "สัน" ของหนังสือ โดยยังเข้าไปไม่ถึง "เนื้อความ" ของพระไตรปิฎก เป็นแน่
เพราะ อาการที่คนผู้นี้ แสดงออกมาเป็นระยะๆ ได้ส่อแสดงให้เห็นถึงความ "อ่อนหัด" ในการทำความเข้าใจอย่างถูกต้องต่อพระธรรมวินัย
อย่าว่าแต่จะมาหาเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าให้เป็นบาป เป็นกรรมติดตัวเลย
เพราะถ้าผมเป็นคุณ ผมก็คงจะลาออก จากการเป็นอาจารย์สอนกฏหมาย(แบบกึ่งดิบกึ่งดี)ไปแล้ว
เนื่องจาก มิอาจทน "อับอาย" อยู่กับการ "ตีความกฏหมาย" ชนิดข้างๆ คูๆ ไร้ซึ่งเหตุผล และหลักการรองรับ ของตนเอง ได้เป็นแน่ !
สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผมจะไม่ถูกลากโยงไปว่า เป็นศิษย์วัดนาป่าพง นะครับ
เฮอะๆๆๆๆๆๆๆ
สวัสดี