สรุป 40 แนวคิดหุ้น โดยพี่แพท ภาววิทย์

จากที่ได้ติดตามอ่านในห้องสินธรมาซักพัก ผมก็อยากจะแชร์แนวคิดหุ้น ที่ได้ฟังจากพี่แพท ภาววิทย์ ถ้าผิดพลาด หรือเข้าใจผิดตรงไหน ขออภัยด้วยนะครับ มือใหม่อยากแชร์ความรู้ให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ แหะๆ

*ขออนุญาต tag ห้องมนุษย์เงินเดือนด้วยนะครับ เนื่องจากเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เริ่มเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น อยากให้อ่านเพื่อเตรียมตัวรับมืออารมณ์ของตลาดก่อนครับ

ณ วันที่เขียนบทความนี้(19/09/57) SET index อยู่ที่ 1,584 ซึ่งเรียกได้ว่ากำลังร้อนแรงเลยครับ หุ้นขึ้นแรงแบบนี้ ทำให้เป็นที่หมายปองของคนที่อยากจะรวยเร็วๆเข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเอาความโลภเป็นตัวตั้ง ผมจึงสรุปแนวคิดหุ้น โดยพี่แพท แบบเข้าใจง่ายๆ เพื่อเปลี่ยนแนวคิดใหม่ โดยเป็นการสรุปย่อๆ จากรายการมือใหม่ ทางช่อง Money Channel ซึ่งเป็นตอนที่พี่แพท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ได้เป็นแขกรับเชิญในรายการ ในแต่ละตอนก็จะมีหัวข้อในการพูดคุย ซึ่งผมก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาให้อ่านง่าย ออกมาทั้งหมด 40 ข้อหลักๆ ครับ

1.Mind SET ตั้งโจทย์ผิด ไม่มีทางรวย
ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น 80% เจ๊ง และ 20% รวย เพราะอะไร? มันเพราะว่าคนส่วนใหญ่อยากจะรวยเร็วๆ มีความโลภ ก็ต้องซื้อหุ่นปั่น ที่กำลังวิ่งขึ้นเร็ว ก็จะได้เร็วและได้เยอะ แต่มันเสี่ยงมากจึงเจ๊ง ถ้าอยากรวยเราต้องมีหลักการ มีแนวคิดหุ้น(Mind SET) ที่ถูกต้อง การลงทุนไม่ใช่การพนัน ต้องคิดวิเคราะห์ มีเหตุ มีผล ปราศจากอารมณ์ของตลาด

2.ล้างระบบแมงเม่า
ส่วนใหญ่พอได้กำไร +5% +10% ก็จะรีบขายทันที เพราะกลัวราคาหุ้นจะตก แต่ถ้าราคาร่วงลงมาจากจุดที่ควร Cut Loss ก็ไม่กล้าขาย จึงทำให้หุ้นที่เน่าๆเต็มพอร์ตไปหมด เพราะคิดว่า ไม่ขาย ไม่ขาดทุน จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เราควรจะมีระบบ มีหลักการในการซื้อขายหุ้น และต้องมีวินัย

3.Money Game
โดยปกติหุ้นที่ปันผลไม่ดี กำไรไม่สม่ำเสมอ เป็นหุ้นไม่ค่อยจะดีซักส่วนใหญ่ แต่ที่ราคามันขึ้นได้ เพราะมันมีกระแส มีข่าววงใน มีความโลภ ถ้าดีจริง ยอดขายและปันผลจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่าติดกับดักเกมการเงิน

4.เปิดประเด็น GEN-Y
ผมเชื่อว่าหลายๆคนอยากมีธุรกิจส่วนตัว เพราะเชื่อว่ายุคนี้เป็นลูกจ้างไม่มีทางรวยได้ ผมแนะนำว่าเราไม่ควรวิ่งเข้าไปทำธุรกิจเองเลย ควรจะไปเป็นลูกจ้างเค้าก่อน ไปหาประสบการณ์ก่อน เพราะเราจะได้เห็นโอกาส ช่องว่างตลาด และจุดบกพร่องขององค์กรนั้นๆ เมื่อเราได้ไอเดีย ลองศึกษามันให้ละเอียด และเกี่ยวเก็บประสบการณ์จากการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนไปก่อน อาจจะซัก 5 ปี ส่วนใหญ่แล้วโอกาสธุรกิจต้องเริ่มมองจากปัญหา เช่น Google ปัญหาคือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมีมากมาย

5.Social Entreprenur ยิ่งให้ ยิ่งได้
เคยคิดกันป่ะว่าเรามาแชร์ความรู้ให้คนอื่นทำไม แชร์แล้วคนอื่นก็เก่งกว่าเรา และก็จะมาแข่งกับเรา ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอก เพราะสิ่งที่เราได้จากการแชร์ จะทำให้ความรู้เราแน่นขึ้น เป็นการทบทวนความคิด ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดีย และเปิดโอกาสที่คนอื่นจะได้เห็นความสามารถของเราในอนาคต

6.กระแส IPO
จากที่เคยบอกไว้ว่า Money Game นั้นหลอกล่อคนด้วยความโลภ บริษัทที่เปิด IPO เพื่อต้องการเงินทุนเพิ่ม ก็จะเปิดขายหุ้น (หรืออีกวิธีคือการกู้เงิน) นำไปพัฒนาธุรกิจ เช่น ขยายองค์กร เปิดโรงงานใหม่ ทางบริษัทก็จะจ้าง IB(Investment Banker – ที่ปรึกษาทางการเงิน) มาประเมินราคาหุ้น ซึ่งทางบริษัทก็จะประเมิณให้ราคาสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พอตลาดหุ้นเปิดขายหุ้น IPO ราคาจะพุ่งขึ้นมากกว่าราคาประเมินพื้นฐานเสียอีก ขึ้นเร็วเกินควร เพราะเป็นอารมณ์ความโลภของตลาด โดยปกติบริษัทต้องใช้เวลานานเป็นปีกว่าจะพัฒนาธุรกิจตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ เหมือนซื้ออนาคตที่เสี่ยง

7.กระแส M&A ซื้อแพง แทงใจนักลงทุน
M&A คือ กลยุทธ์ซื้อธุรกิจ(คู่แข่ง) ทำให้ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งใช้เงินค่อนข้างสูง เป็นการซื้ออนาคต ต้องมั่นใจ และศึกษาพื้นฐาน ว่าคุ้มหรือไม่ เมื่อรวมธุรกิจไปแล้ว จะตัดคู่แข่งไปได้หรือไม่? รายได้จะเพิ่มไหม? ธุรกิจเอื้อกับบริษัทแม่หรือป่าว? มีภาระหนี้(ดอกเบี้ยจ่าย)เพิ่มขึ้นเท่าไร?

8.Mega trend คืออะไร
ต้องสำรวจว่าธุรกิจไหนที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เยอะ เช่น จากธุรกิจคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงมาเป็นธุรกิจมือถือ Focus ในเชิงของรายได้ว่าบริษัทจะมีนโยบายไปจับธุรกิจไหน แล้วเกิดการเติบโตมากขึ้น เช่น การขยายความเจริญในเมืองไปยังต่างจังหวัด ต้องไม่ใช่เป็นแค่กระแส หรือแค่แฟชั่น ที่มาเร็ว ก็จะไปเร็ว

9.เกาะเมกะเทรนด์อย่างไรให้รอด
ควรระวังธุรกิจที่อาจจะไม่ใช่ Mega trend จริงๆ เพราะบ้างบริษัทไม่ได้ใช้เงินลงทุนเยอะ แต่ออกมาปั้นข่าว นู้นนี้นั้น ทำให้ราคาหุ้นพุ่งแบบก้าวกระโดด คนก็จะแห่เข้าไปซื้อ โดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่ เพราะหุ้นปั่นถามว่าบริษัทลงทุนจริงไหม? ก็จริง… แต่ราคามันขึ้นก่อนไปเร็วผิดปกติ จึงทำให้นักลงทุนกว่า 80% อาจจะต้องเจ๊ง เพราะหวังโอกาสอนาคตลมๆ แร้งๆ

10.กระแสรับสื่อของวัยว้าวุ่น
สมัยนี้ content สำคัญมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่การเป็นดาราส่วนใหญ่ใช้เส้นเข้าวงการ แต่ปัจจุบันต้องมีความสามารถจริง ผ่านเวทีต่างๆ และตลาดจะเริ่มเป็น Nich มากขึ้น จะ Focus ไปที่กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ เช่น กลุ่มเด็กวัยรุ่น หรือกลุ่มต่างจังหวัด

11.อนาคตกลุ่ม MEDIA
เป็นกลุ่มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องดูว่าองค์กรนั้นสามารถพัฒนาตามทันการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? บุคลากรพร้อมไหม? เราไม่ควรซื้ออนาคตมากเกินไป เพราะมีความเสี่ยง อาจจะต้องดูหุ้นถูกกว่ามูลค่าในกลุ่มนี้ และต้องดีด้วย แต่ส่วนใหญ่กลุ่มธุรกิจนี้กระแสเงินสดจะดี

12.ดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ
– เมื่อเกิดวิกฤตหนักๆ ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น ตั้งสติให้ดี เพราะเกือบทุกอย่าง ถ้ามีลด อีกอย่างนึงต้องเพิ่ม เช่นค่าเงินลด แต่ของใช้ และค่าครองชีพเพิ่มขึ้น
– เงินสดเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยค่า ยิ่งถือยิ่งจน
– โดยทั่วไปตลาดหุ้นสามารถให้ผลตอบแทนปีละ 12% โดยเฉลี่ย ไม่รวมเงินปันผลที่ได้

13.โลกแห่ง Junk
– ทุกอย่างที่มี ผลตอบแทน มันจะมาพร้อม ความเสี่ยง
– SCC(บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มหาชน) เมื่อ 30 ปีก่อน ราคา 1 บาท แต่วันนี้ประมาณ 400 กว่าบาท ในระหว่าง 30 ปีนั้น มันไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรงเลยๆ แต่มันขึ้นและลงเป็น cycle มันมีความผันผวนมากมาย เราต้องเข้าใจมัน อย่าเป็นกับดักของตลาด
– บริษัทดีๆ ดูจากผู้บริการต้องเก่ง มีระดับหัวกะทิของประเทศเข้าไปทำงาน มีความมั่นคง อยู่กับการบริโภคและการใช้ของทุกคน ซึ่งนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ
– การกระจายการลงทุน ถ้าลงหุ้นซัก 10 ตัว เจ๊งไป 9 ตัว แต่ตัวสุดท้ายขึ้นเยอะ ก็ไม่เสียหายมากนัก

14.หุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาไม่ดี
– หุ้นดี แต่ราคาไม่ดี ก็ถือว่ายังเป็นหุ้นดีอยู่ ถ้าคุณทนเห็นราคาหุ้นล่วงเกิน 50% ไม่ได้ อย่าเล่นระยะยาว ยกตัวอย่าง SCC มันมีช่วงขึ้นไป 100 บาท และลงไป 20 บาท และขึ้นไป 250 บาท และลงมา 90 บาทเป็นรอบๆ
– ปันผลเยอะ คนที่ได้ประโยชน์ คือ ผู้ถือหุ้น และคนถือมากสุด ก็คือเจ้าของ นั้นเอง
– หุ้นดี ราคาอาจจะลงมาเยอะๆ เกิดจากวิกฤต เพราะความตกใจของตลาด อย่างที่เค้าว่ากันว่า… ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดวงดาว ถ้าหุ้นดีจริง มันต้องผ่านวิกฤตหนักๆ ให้ได้
– ราคาหุ้นขึ้นก็เหมือนขึ้นบันได แต่ถ้าหุ้นลงจะเหมือนลงลิฟท์ ถ้าราคาหุ้นที่คิดว่าดี ที่เราถืออยู่ลงมากๆ ถามว่ามีวิธีแก้ไหม? ตอบได้เลยว่าไม่มี จะมีแต่ซื้อเพิ่ม เพราะบ้างครั้งหุ้นตัวนั้นยังปันผล และมีกำไรสะสมดีอยู่

15.สร้างเงินจากลม ธนาคารเท่านั้นที่ทำได้
– พอประเทศไหนเกิดวิกฤต ประเทศนั้นก็จะพิมพ์เงินออกมาตลาด(มาตรการ QE) เงินในตลาดก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะแก้ได้เพียงชัวคราวเท่านั้น แต่ข้อเสียคือ ถ้าเงินในตลาดมันเยอะๆ มูลค่ามันก็จะน้อยลง สมัยก่อนการพิมพ์เงินออกมา ต้องมีทองค้ำประกันไว้ แต่สมัยนี้ใช้หนีค้ำแทน จนทำให้บ้างประเทศมีหนี้เกิน GDP
– เราต้องเข้าใจในการลงทุน เราต้องว่างเงินใน asset ที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะรวยขึ้น สมมุติธนาคารได้รับเงินฝาก 100 บาท ธนาคารจะกันเงินไว้ 10 บาท ที่เหลือ 90 บาทจะปล่อยให้กู้เลย


ผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับ 15 ข้อแรก กับแนวคิดหุ้น โดยพี่แพท ยังเหลืออีก 25 ข้อนะครับ ติดตามอ่านต่อกันตอนหน้านะครับ(วางแผงทุกวันเสาร์ เวลา 2 ทุ่ม) http://www.abzolute.in.th/category/วางแผนลงทุน/

ใครมีข้อสงสัย หรืออยากจะแนะนำ ติชม พูดคุย แชร์เรื่องการลงทุนเพิ่มเติมก็ยินดีนะครับ
*ถ้าคิดว่า บทความนี้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ช่วยกด + ถือว่าเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ แหะๆ
ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่