เอาค่าของคน มาอยู่ในรูปแบบของหุ้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคม

ในอดีตเรามีระบบศักดินาซึ่งมีทาส มีการค้าทาสซึ่งถูกยกเลิกไปเพราะภัยระบอบล่าอาณานิคม เพราะคนเป็นทาสไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นทาสไทยหรือทาสนายฝรั่ง
ต่อมาระบอบล่าอาณานิคมเสื่อมไป เพราะฟาสซิส  จนระบอบทุนนิยมได้รับชัยชนะ เนื่องจากไม่ต้องใช้กำลังควบคุม แต่ใช้ทุนแทน
จากนั้นแม้มีสังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ ที่กลายมาเป็นรัฐสวัสดิการก็ยังไม่อาจแทนที่ทุนนิยมได้
เพราะจริงๆแล้วมนุษย์ไม่ได้เท่ากันทั้งหมดทุกด้าน จึงไม่สามารถได้ผลตอบแทนเท่ากัน  และรัฐสวัสดิการก็ไม่อาจตอบปัญหา หนี้ภาครัฐ แรงจูงใจทำงาน และผลผลิต แต่ทุนนิยมตอบปัญหานี้ได้ชัดเจน  
อย่างไรก็ตาม ทุนนิยมไม่อาจตอบปัญหาสังคมได้ เช่น  การทอดทิ้งพ่อแม่  การหย่าร้าง  คุณค่าของมนุษย์ คุณภาพชีวิตแรงงาน และอื่นๆ
จึงควรมีระบบใหม่ที่สามารถควบคุมคนได้แบบทุนนิยม สังคมนิยมที่รัฐช่วยเหลือได้(แต่ไม่ใช่ฟรีๆ และต้องคืน) และผสมระบบทาสในสมัยเก่า

ตัวอย่าง
ระบอบทุนมนุษย์  จะให้เด็กทุกคนที่เกิดมามีทุนให้กับแม่ 1 ล้านหุ้นมนุษย์
จากนั้น พ่อจะต้องซื้อหุ้นมนุษย์จากแม่  เดือนละ 1,250 หุ้น ในราคา 1,250 บาท ทุกเดือน  รัฐซื้อหุ้นอีกส่วน เดือนละ 1,250
แม่ก็จะเอาเงินมาเลี้ยงดูลูก ชื่อ A
ระหว่างที่ลูกเรียนหนังสือ   ค่าเทอมส่วนหนึ่ง สามารถจ่ายเป็นมนุษย์หุ้นได้ ให้ครู เทอมละ 2000หุ้น  ค่าเทอมก็ลดไป 2000 บาท  (สมมุติใช้ครูสิบคน ก็ได้ไปคนละ 200 หุ้นมนุษย์)
หลังจากลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัย  
ก็ไปเสนอขายหุ้นมนุษย์ให้นักลงทุน  เช่น หุ้นละ 2 บาท 100,000 หุ้น  มหาวิทยาลัยขอหุ้นละ 2 บาท ก็ได้มา 100,000 หุ้น  รัฐบาล 100000 หุ้น (ก็เหมือนทุนศึกษาที่รัฐมอบให้)
ก็ได้มา 600,000 บาท ใช้เรียนให้จบมหาวิทยาลัย

พอถึงเวลาทำงาน  ก็ได้เวลาปั่นผลหุ้นมนุษย์  ดังนี้
ลูกทำงานได้เดือนละ 20000 หลังหักอื่นๆแล้ว  จ่ายปันผลหุ้น 30% ขอรายได้ เป้นเงิน  6000 บาท
พ่อมีหุ้นอยู่  สมมติ 100,000 หุ้น จะได้ 10% ของ 6000 คือ  600 บาท
รัฐมีหุ้น สมมติ 200,000 จะได้ 20% คือ 1200
แม่อาจจะเหลือ 500000 หุ้น ได้ 3000 บาท
นักลงทุน 100000 หุ้น จะได้ 600 บาท
มหาวิทยาลัย 100000 หุ้น จะได้ 600 บาท
คุณครูคนที่ 1  สอนสามปี มี 1200 หุ้น จะได้ 0.12 % คือ 7.2 บาท


เจ้านายของลูกอาจจะเห็นแววในการทำงาน  โดยจะไปซื้อหุ้นมนุษย์คนนี้ 100000 หุ้น จากนักลงทุน ในราคา 300000 บาท
แม่อาจจะขายหุ้นมนุษย์ 100,000 หุ้น ในราคา 500000 บาท ให้นักลงทุน เอาเงินให้ลูกไปเรียนต่อ

เวลาลูกเจ็บป่วย มีเงินไม่พอ ก็ขายหุ้นให้โรงพยาบาล
เมื่อเค้าทำงานไปเรื่อยๆ เงินเดือนสูงขึ้นเรื่อยๆ  เงินค่าหุ้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกๆ สี่ปี จะมีการประชุมของผู้ถือหุ้น ว่าจะให้ลูกดำเนินชีวิตแบบไหน  ทำงานอะไร เรียนต่ออะไร  ปล.ถ้าไม่ทำตาม  ก็จะมีผลค่อราคาหุ้นตัวเองลดลง

จากนั้นนาย A ก็ทยอยซื้อหุ้นตัวเองคืนจาก แม่ พ่อ และ นักลงุทนคืน ในราคาหุ้นละ 10 บาท จนเก็บได้ 300,000 หุ้น
อายุ 30 แต่งงาน  นายA เอาหุ้นตัวเองไปแลกกับ น.ส.B ในสัดส่วน 200,000 หุ้นนาย A แลกกับ  หุ้น นส.B 50000 หุ้น
และให้ค่าสินสอดเป็นหุ้นของตนเอง 100000 หุ้นให้ นส.B

แน่นอนว่า ถ้า นาย A ทำให้ นาง B เสียใจหย่ากัน  นาง B ย่อมเทขายหุ้นนาย A ทิ้ง  ทำให้ราคาตก
ถ้า นาย A ถูกนาย C ฆ่าตายผิดกฏหมาย นาย C ก็ต้องหาเงินมาชดใช้คนถือหุ้นให้ครบถ้วน

นาย A จะกู้เงินซื้อที่, บ้าน  ก็ต้องเอาหุ้นมนุษย์ตนเองค้ำธนาคาร


แน่นอนว่าจะไม่เกิดขึ้นตอนนี้  แต่อนาคตอีก 30 ปี ที่ทุกอย่างพร้อมกับการเอามนุษย์มาทำหุ้น

ข้อดีเบื้องต้น
1. มนุษย์ทุกคนมีทุน ถ้าตั้งใจจริง ไม่ทำตัวเหลวไหล ย่อมมีนักลงทุนซื้อหุ้นตัวเอง
2.พ่อแม่ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลูกทิ้ง เพราะมีเงินปั่นผลจากรายได้ของลูก และสามารถขายหุ้นลูกตัวเองให้นักลงทุน
3.ลูกที่ไม่เลี้ยงพ่อแม่  ไม่เชื่อฟังนักลงทุน คู่แต่งงาน จะทำให้ราคาหุ้นตัวเองต่ำลง  จนมีผลต่อการแต่งงาน การซื้อบ้านในอนาคต
4.คุณครูไม่ใช้แค่เรือจ้าง แต่เป็นแท่นขุดเจาะน้ำมัน  ยิ่งสอนดี  ลูกศิษย์ได้รายได้สูง  ยิ่งได้มาก  ทำให้พัฒนาการสอน และทุ่มเทเพื่อลูกศิษย์
5.นักลงทุนมีแหล่งลงทุนมากขึ้น
6.มนุษย์มีค่าชีวิตที่ประเมินได้ สามารถนำไปอ้างอิง ค่าเสียหาย เยียวยา เวลาถูกฆาตกรรม
7. คุณค่าของมนุษย์สำคัญขึ้น เพราะปัจจุบันเราวัดการขยายตัวของเงินที่ GDP  แต่จะไปเน้น Human Development Index แทน
8.ลดปัญหาการทำแท้ง  และอุ้มบุญ  โดยบางคนมีเงิน ก็ซื้อหุ้นมนุษย์กับแม่ที่ไม่พร้อมแทน (เหมือนลูกบุญธรรม แต่มีกรรมสิทธิครอบครองชัดเจน)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่