มาเล่าเรื่องราวน่าสนใจ เครื่องจับเท็จ (polygraph) สามารถจับโกหกได้จริงๆหรือเปล่า

สวัสดีค่ะ วันนี้ก็เอาบทความงานวิจัยเกี่ยวกับเครื่องจับเท็จ (เครื่อง polygraph) ค่ะ ว่าเครื่องนี้ใช้อย่างไร มีเทคนิคการใช้อย่างไร และเครื่องนี้ตรวจจับเท็จได้จริงๆไหม และความน่าเชื่อถืออยู่ที่ขนาดไหน ^_^

ขอบอกก่อนว่า จขกท เองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ดังนั้นการวิเคราะห์ต่างๆจะมีพื้นฐานมาจากงานวิจัยหรือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ค่ะ  และ จขกท ไม่ทราบวิธีการตรวจวัดคะแนนนะคะ รู้แค่ความรู้พื้นฐานเท่านั้น

เริ่มแรก เครื่อง polygraph นั้น มาจากคำภาษากรีก คำว่า poly แปลว่า เยอะ ส่วนคำว่า grapho แปลว่า เขียน



โดยที่ตัว polygraph นั้นจะใช้การวัดการตอบสนองทางกายภาพเพื่อจับกว่าคนที่ถูกตรวจนั้นโกหกหรือเปล่า (รู้ข้อมูล แต่บอกว่าไม่รู้) โดยที่วัดการตอบสนองของ automatic nervous system 3 อย่าง คือ การเต้นของหัวใจ(วัดความดัน) การหายใจ (วัดตรงหน้าอก ) และ electrodemal respond ถ้าเข้าใจไม่ผิดคือการวัดประจุไฟฟ้าบนผิวหนังเมื่อเกิดสภาวะตึงเครียดค่ะ (วัดตรงนิ้วมือ)

ซึ่งหลักๆคือ เครื่องนี้จะเอาไว้วัดการตอบสนองของ automatic nervous system ในช่วงที่เรามีความเครียดสูงค่ะ โดยมีสมมุติฐานว่าถ้าคนเราพูดโกหก เราจะมีการตอบสนอง(ความเครียด ความกังวล)สูง ค่ะ




เครื่อง polygraph นั้นใช้งานที่ไหนบ้าง
1)    ในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ
2)    ใช้ screen คนที่จะมาเข้าทำงาน (คนที่จะมาทำงานกับตำรวจ ตำรวจ หรือ พวก CSIS)
3)    สามารถใช้ตรวจสอบการทุจริตในบริษัทได้ ถ้ามีหลักฐานมากพอให้สงสัยในการกระทำผิดของพนักงาน (ตาม Employee polygraph protection act of 1988 ค่ะ)

เทคนิคการถามคำถามจับเท็จแบบต่างๆ (เราจะเปรียบเทียบกับการทำคดีเท่านั้นนะคะ)
1)    Relevant-irrelevant test (เป็นคำถามประเภทแรกที่มีการทำขึ้น แต่ปัจจุบันคาดว่าเลิกใช้แล้ว)
หลักการง่ายๆคือมีคำถาม 2 แบบ คือ
a.    Relevant question คำถามที่เกี่ยวกับคดี เช่น คุณขโมยเงินไปใช่ไหม
b.    Irrelevant question คำถามที่ไม่เกี่ยวกับคดี เป็นเรื่องทั่วๆไป เช่น วันนี้วันศุกร์ใช่ไหม
โดยคาดว่า คนที่ทำผิดจริงๆจะมีการตอบสนองต่อคำถาม relevant สูง ในขณะที่คนบริสุทธิ์จะมีการตอบสนองต่อคำถาม relevant – irrelevant เท่าๆกัน หรือต่างกันไม่มาก
แต่เนื่องจากว่าเทคนิคการถามคำถามแบบ relevant-irrelevant มันไม่มีมาตราฐานที่ดีพอและการถามคำถามจะเป็นแบบตามใจผู้ถามมากกว่า ดังนั้นจึงมีการพัตนาคำถามให้มามีมาตราฐานขึ้นจนมาเป็น CQT ที่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน

2)    Comparison question test
อันนี้แบ่งการถามคำถามออกเป็น 3 ช่วง คือ pre-interview , interview และ post-interview ค่ะ แต่เค้าขอไม่เจาะลึกว่าในแต่ละช่วงทำอะไรบ้างนะคะ ^_^

คำถามมี 3 แบบ คือ
1)    Irrelevant question : คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเลย
2)    Relevant question : คำถามที่เกี่ยวกับคดีโดยตรง
3)    Comparison question หรือ เรียกว่า control question: คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี แต่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่อาจจะเคยทำในอดีต ใช้ในการกระตุ้นความกลัวความผิดในอดีต แบ่งเป็น 2 แบบย่อยๆ คือ

a.    Probable lie : คำถามแบบที่ว่าคนที่ถูกถามน่าจะเคยทำผิด เช่น คุณเคยขโมยของไหม
b.    Directed lie : คำถามแบบที่ว่าคนที่ถูกถามเคยทำผิดแน่นอน เช่น ตั้งแต่เกิดมาคุณเคยพูดโกหกไหม

การถามคำถาม comparison question นั้นเพื่อดูว่าคนบริสุทธิ์เวลาพูดโกหกต่อความผิดในอดีตการตอบสนองจะเยอะขนาดไหน
โดยที่มีการคาดว่าถ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีปัจจุบัน จะมีการตอบสนองต่อคำถาม control question มากกว่า เนื่องจากเพราะเขารู้ว่าตัวเองโกหก แต่ว่าพอมาถึง relevant question การตอบสนองจะต่ำลง เพราะว่าเขาพูดความจริงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้  แต่ถ้าเป็นคนร้ายตัวจริงจะตอบสนองต่อคำถาม relevant question มากกว่า control question ค่ะ

ตัวอย่างของการถามประเภท CQT (อันที่จริงมีเยอะกว่านี้)
•    Reid comparison question test
•    Zone comparison question test
•    Utah probable-lie test
•    Utah directed-lie test

ปัญหาของ CQT test ตามที่นักวิจัยได้กล่าวไว้คือ
-    คนบริสุทธิ์บางคนอาจจะมีอาการตื่นตระนกกับคำถาม relevant มากกว่า เพราะว่ามีความกลัวว่าจะถูกจับในคดีที่ตัวเองไม่ได้ทำ
-    คนร้ายอาจจะตื่นตระนกกับคำถาม control มากกว่า เพราะว่าอาจจะมีความผิดติดตัวในอดีตที่ซ่อนไว้อยู่ที่ตำรวจไม่รู้ และคนร้ายอาจจะมีการตอบสนองต่อคำถาม relevant ต่ำเพราะว่าอาจจะถุกถามคำถามแบบเดิมๆมาหลายๆรอบแล้ว จนชินแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่