ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ขันธ์ที่เรามักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอัตตาหรือเป็นตัวเราก็คือ วิญญาณ คือจากความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่เชื่อว่า วิญญาณ คือ สิ่งที่เป็นตัวเรา (อัตตา) ที่มีความรู้สึกนึกคิดได้ (บางคนก็เชื่อว่าจิตกับวิญญาณคือสิ่งเดียวกัน) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดในร่างกายใหม่ได้ (คือเป็นการเกิดใหม่โดยตรง) ซึ่งนี่ไม่ใช่วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน และความเชื่อนี้ก็นำมาใช้ในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครยังเชื่อเรื่องวิญญาณจะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ ก็จะยังไม่มีปัญญาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้
แต่ถึงแม้ใครจะไม่เชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ แต่ก็ยังเชื่อว่า “เมื่อร่างกายตายไปแล้ว ถ้าจิตหรือวิญญาณยังมีกิเลสอยู่ก่อนตาย กิเลสนี้ก็จะเป็นเหตุให้เกิดจิตหรือวิญญาณขึ้นมาในร่างกายใหม่ได้เรื่อยไป” ซึ่งความเชื่ออย่างนี้ก็คือยังเชื่อว่ามีการเกิดใหม่เหมือนการที่วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่นั่นเอง (คือเป็นการเกิดใหม่โดยอ้อม) เพราะยังเชื่อว่ามีตัวเรา (อัตตา) ที่จะไม่สูญหายไปตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง
คำว่า วิญญาณ นี้ พุทธศาสนาจะหมายถึง การรับรู้ ที่เกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกายเพียงชั่วขณะเท่านั้น คือเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาทใด วิญญาณหรือการรับรู้ก็จะเกิดขึ้นมาที่ระบบประสาทนั้นทันที แต่เมื่อไม่มีการกระทบ วิญญาณก็จะไม่เกิด ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า วิญญาณเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่มีลักษณะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง และมีความไม่เที่ยง รวมทั้งมีสภาวะที่ต้องทนอีกด้วยตามกฎไตรลักษณ์
วิญญาณนี้มีลักษณะเหมือนไฟฟ้ามาก คือเมื่อไดนาโมที่ยังดีอยู่หมุน ก็จะทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้นมา แต่เมื่อไดนาโมนั้นหยุดหมุน ไฟฟ้าจากไดนาโมนั้นก็จะดับลงหรือไม่เกิดขึ้น เมื่อหมุนใหม่ไฟฟ้าก็จึงจะเกิดขึ้นมาได้ใหม่ จนกว่าไดนาโมนั้นจะเสียหายไปอย่างถาวร ไฟฟ้าจากไดนาโมนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นมาอีกอย่างถาวร ซึ่งวิญญาณก็ต้องอาศัยระบบประสาทของร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่มีระบบประสาทก็จะไม่มีวิญญาณ และวิญญาณนี้ก็ไม่ได้เป็นวิญญาณเฉพาะของใคร แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะมาเป็นเหตุ โดยมีความทรงจำจากสมองมาเป็นปัจจัย ร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดสิ่งที่สมมติเรียกว่า จิต หรือ ใจ ที่รู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
วิญญาณคืออะไร?
แต่ถึงแม้ใครจะไม่เชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ แต่ก็ยังเชื่อว่า “เมื่อร่างกายตายไปแล้ว ถ้าจิตหรือวิญญาณยังมีกิเลสอยู่ก่อนตาย กิเลสนี้ก็จะเป็นเหตุให้เกิดจิตหรือวิญญาณขึ้นมาในร่างกายใหม่ได้เรื่อยไป” ซึ่งความเชื่ออย่างนี้ก็คือยังเชื่อว่ามีการเกิดใหม่เหมือนการที่วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่นั่นเอง (คือเป็นการเกิดใหม่โดยอ้อม) เพราะยังเชื่อว่ามีตัวเรา (อัตตา) ที่จะไม่สูญหายไปตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง
คำว่า วิญญาณ นี้ พุทธศาสนาจะหมายถึง การรับรู้ ที่เกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกายเพียงชั่วขณะเท่านั้น คือเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาทใด วิญญาณหรือการรับรู้ก็จะเกิดขึ้นมาที่ระบบประสาทนั้นทันที แต่เมื่อไม่มีการกระทบ วิญญาณก็จะไม่เกิด ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า วิญญาณเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่มีลักษณะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง และมีความไม่เที่ยง รวมทั้งมีสภาวะที่ต้องทนอีกด้วยตามกฎไตรลักษณ์
วิญญาณนี้มีลักษณะเหมือนไฟฟ้ามาก คือเมื่อไดนาโมที่ยังดีอยู่หมุน ก็จะทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้นมา แต่เมื่อไดนาโมนั้นหยุดหมุน ไฟฟ้าจากไดนาโมนั้นก็จะดับลงหรือไม่เกิดขึ้น เมื่อหมุนใหม่ไฟฟ้าก็จึงจะเกิดขึ้นมาได้ใหม่ จนกว่าไดนาโมนั้นจะเสียหายไปอย่างถาวร ไฟฟ้าจากไดนาโมนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นมาอีกอย่างถาวร ซึ่งวิญญาณก็ต้องอาศัยระบบประสาทของร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่มีระบบประสาทก็จะไม่มีวิญญาณ และวิญญาณนี้ก็ไม่ได้เป็นวิญญาณเฉพาะของใคร แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะมาเป็นเหตุ โดยมีความทรงจำจากสมองมาเป็นปัจจัย ร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดสิ่งที่สมมติเรียกว่า จิต หรือ ใจ ที่รู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์