ธุรกิจขายตรงดีจริงหรือไม่? อยากรู้ถึงเหตุผลที่คนชอบและไม่ชอบ(ขอแบบมีเหตุมีผลนะจ้ะ)

เรามีเพื่อนชวนไปทำการ "สัมนา" โดยเค้าไม่ได้บอกเราเกี่ยวกับรายละเอียดซักเท่าไร
เราเองก็ไม่ได้ถามด้วยละ เห็นบอกว่าเกี่ยวกับธุรกิจการทำงานAECอะไรเนี้ยหล่ะ
ค่าบัตร 120 บาท เราก็เห็นว่าท่าทางน่าจะมีประโยชน์เพราะสังคมเราที่เข้าใกล้อาเซียนด้วยแล้ว
เราจึงตอบตกลงและเข้าร่วมรับฟัง


โดยสถานที่ประชุมอยู่ที่โรงแรมชื่อดังใกล้บีทีเอส สถานีสนามกีฬา เวลา 13.00-16.30 น.
ขั้นแรกเราก็เข้ามาบริเวณหน้าห้องบอลรูม โดยมีคนมากมายหลากหลายอาชีพมากแออัดกันอาจจะถึง100-200คนเลยทีเดียว (กะเอานะอาจจะน้อยกว่านั้น)
เราก็ได้บัตรมาที่ประตูทางเข้า โดยเพื่อนที่ชวนมาออกให้ก่อนแล้ว (เรามาจ่ายคืนที่หลัง)


หน้าตาบัตรประมาณนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ซึ่งเราก็มานั่งฟังข้างเพื่อนเรา คนแรกที่มาบรรยายก็พูดตามฟอร์มเดิมของธุรกิจที่เราเองเคยได้ยินมาบ่อยๆเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง
และค่อยๆคลี่คลายออกมาว่าทางเค้าคือบริษัทขายตรงชื่อดังบริษัทหนึ่ง (ดีที่สุดคือยาสีฟัน) เราเคยฟังอะไรแบบนี้แล้วมาเมื่อสามถึงสี่ปีก่อน
แต่คนละบริษัท ซึ่งมาทำนองเดียวกันเกี่ยวกับ เรียน ทำงานหนัก รักษาตัว หรือ ตั้งใจทำ 5 ปี ได้ใช้ชีวิตดีตลอดชีวิต
เราไม่ได้รู้สึกอยากทำแต่ระการใดเลย ที่นั่งฟังต่อเพราะเกรงใจเพื่อนด้วยละ (ดูโง่ๆเนอะ555) [ทั้งนี้ในเนื้อหายังพูดรวมไปถึง "ว่าที่นี้ดีจริงสามารถดูได้เลยตามเว็บไซต์ต่างๆที่เป็นข้อเท็จจริง ย้ำนะครับข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อคิดเห็น" คงหมายถึงพันทิพ5555]


พอถัดมาท่านที่สอง นักธุรกิจมืออาชีพ เข้ามาพูดบอกเลยว่าเค้าพูดเก่งมาก ตลกและบรรยายไม่น่าเบื่อ
มีจิตวิทยาและชั้นเชิงค่อนค้างสูงเลยทีเดียว เค้าเล่าถึงการทำธุรกิจของเค้าที่ทำรายได้มหาศาลแต่อยู่บนความเสี่ยง
กลัวที่รุ่นลูกรุ่นหลานจะมั่นคงมั้ยมั้ย (ก่อนหน้านี้เค้าอ้างอิงประมาณสัมมนาของลูกเค้ากับธนาคารแห่งหนึ่งในเรื่องของเจ้าของกิจการ โดยธุรกิจที่จะอยู่รอดในอีกชั่วอายุหรือเจ้นถัดไป มีแค่ 0.03 % *จำตัวเลขผิดก็ขออภัย*) ทำให้เค้ากลุ้มจนตอนหลังมีคนชักชวนให้เค้าทำธุรกิจนี้
ก็บลาๆๆๆๆไปเรื่อยจนวาดฝันให้เห็นเป้นอย่างไร และประสบความสำเร็จอย่างไร
แล้วเค้าก็ยกตัวอย่างของธรุกิจนี้ว่ามันเป็นมรดกได้นะ เนี้ยากตายก็ไปก็ประกันให้ 100,000 บาท สุดท้ายลูกหลานก็ได้ผลประโยชน์ เรียนจบ เที่ยวต่างประเทศ บลาๆๆ ยกรูปภาพบุคคลประกอบ และข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (มั่ง)  ก็จบโดยย้ำกว่านี้คือโอกาส #เดินลงมาจากเวทีจับมือๆ
[ระหว่างที่ฟังทั้งสองพาท จะมีการตบมือเรื่อยๆ และเสียงโห่ตอบรับยินดีเป็นระยะๆ]


พอออกจากห้อง ก็พบกับทำเนียมเดิมๆที่เราเคยเจอ ล้อมวง แนะนำสมาชิกใหม่ ให้สมาชิกใหม่พูดถึงสิ่งที่ประทับใจ เอ้า ตบมืออออออ แปะๆๆ
นึกว่าจบแล้วนะ ยังไม่จบ


ถูกนำตัวมาที่shopของทางธรุกิจเค้า อีกฝั่งนึงบนตัวห้างชื่อดังใกล้หอศิลป์ (เกรงใจเพื่อน อีหรอบเดิมเลยต้องตามมา)
แล้วเราก็เข้าในshop ที่มีการตกแต่งเป็นอย่างดี มีมุมคุยลูกค้า ที่ติดต่อต่างๆ โซนดูแลผิวพรรณและเครื่องสำอาง การตรวจสุขภาพ
และที่ขาดไม่ได้คือโซนขายสินค้า ที่เหมือนเป็นมินิมาร์ทเล็กๆ เราก็เดินทัวร์ไปเรื่อย  โดยมีเพื่อนเราบรรยายสรรพคุณ(เชื่อละว่ามันไม่ได้มาครั้งแรก)
เราก็เอออดูสินค้าไป ถามว่าแพคเกจจิ้งโอเคมั้ย ตามความคิดเราก็พอดูได้ระดับนึง สรรพคุณนั้นยังไม่เคยลอง (แต่คนในนั้นมักจะท้าว่าให้ลองดูก่อน ไม่บังคับ จะได้รู้ว่าของเรานั้นดีจริง ย้ำนะ ไม่บังคับแต่ลองดูก่อน)


ซักพักก็มานั่งพักที่โซนติดต่อลูกค้า นั่งโซฟามีแจกขนม มีพวกคนงานใส่สูทหน้าตาเป็นมิตรและคาดว่าเป็นมือใหม่ที่ทำมานานพอจะสามารถขึ้นมาพูดได้แล้ว เค้าเปิดไอแพดและฉายสไลค์ให้ดู เกี่ยวกับตารางต่างๆ ทำงานอย่างไรกระบวนการแบบไหน
ซึ่งจากที่เราดู ที่เราเข้าใจนะ ก็คือประมาณ
"ยิ่งสามารถทำ ยอดการขายของได้มากเท่าไรก็จะได้แต้มสูงตามนั้น ซึ่งแต้มพวกนี้จะมีผล
ต่อยอดเงินของเราที่จะได้ในเดือนนั้นๆ การซื้อของที่นี้จะถูกว่าอื่นนะ (ประมาณ 2-3 บาทหรือมากกว่านั้น) ยังไงเราก้ต้องกินต้องใช้ ไปชวนพี่น้องเรามาซื้อก็ได้ เป็นการย้ายที่ซื้อของเท่านั้นเอง เห็นมั้ยว่าเราไม่ต้องไปชวนคนอื่นเลย แค่เนี้ยก็สบายแล้ว และพูดถึงในเรื่องของต่ำแหน่ง (มีตารางการทำยอดมา)
ถ้าเราชวนคนมาได้อยุ่ที่ 21 % เราก็จะตัดจากเค้าเลย โดยเราได้ยอดจากเค้ามา 4% ได้กำไรแล้ว แล้วเราก็สามารถชวนเพื่อนมาอีกได้ ซึ่งหากสามารถชวนคนมาได้เท่านี้และทำให้พวกเค้าอยู่ที่21%นะ เราก็ได้ตำแหน่งนี้ หากเพื่อนสามารถทำได้เหมือนเราอีกเราก้จะได้ตำแหน่งนี้ คนมาก่อนมาหลังไม่สำคัญ ใครทำมากก็ได้มากใครทำน้อยก็ได้น้อย เหมือนกระเป๋าตังค์ที่สอง เป็นธรุกิจที่แฟร์ๆ ทำเสริมกับอาชีพที่ทำอยู่ได้ ค่าสมัครเมมเบอร์อยู่ที่ 900 บาท และหากต้องการเพียงต้องการเพียงแค่จับจ่ายสินค้าราคถูกโดยไม่สนใจการชักชวนเพื่อนมาทำธุรกิจก้สมัครได้อยู่ในราคา 100 บาท ได้ตรวจสุขภาพฟรี ได้ตรวจผิวหน้าฟรี"




คคหสต.เรานะ จากที่ได้รับฟังมาทั้งหมด เราคิดว่าที่เค้าพูดก็มีส่วนถูกอยู่นะ โลกนี้ไม่ได้อยู่ง่ายทำธุรกิจอะไรก็อยู่บนความเสี่ยง (แล้วธุรกิจนี้หล่ะ ก็เสี่ยงนะ) ไม่มีที่ไหนทำแล้วสบายหรอก (ที่นี่ก็ไม่ได้สบายนะต้องทำยอดจึงได้) แต่ถามว่าธุรกิจนี้แฟร์มั้ยก็แฟร์นะคือถ้าทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย ทำกลัวเจ๊งสามเดือนแรกอยากเลิกสามารถคืนเงินได้ (เป็นข้อเสนอที่ผูกใจลูกค้าได้นะ) คือถ้าเราเอามาเป็นทำเสริมๆก็โอเคนะ แต่ให้มาทำจริงจังคงทำไม่ได้
และด้วยค่าสมัครเกือบ1000 เราว่ามันแพงไปหากเค้าจะเจาะในตลาดล่างๆของคนที่ยังไม่มีอาชีพเป็นของตัวเอง เรารู้สึกว่ามันเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอาศัยการใช้จิตวิทยาสูงพอสมควร ต้องอาศัยการพูด และมิตรสัมพันธ์ที่เก่งมากจึงทำอาชีพนี้ได้ เราว่าเราไม่เหมาะกับมันหรอก เพราะไม่มีความสามารถขนาดนั้น  

สุดท้ายเราตัดสินใจว่าเรายังไม่เริ่มทำและยังไม่คิดจะทำ ส่วนเพื่อนที่ชวนเรามาก็ยังไม่ทำนะแค่ตัดสินใจศึกษาดูอยู่(แต่ดูถ้าทางคงใกล้จะเริ่มไปสมัครแล้วหล่ะ) จะค้านเพื่อนก็ไม่มีข้อมูลมากพอที่จะบอกหรือพูดได้ ว่าไม่ดีอย่างไร ดีอย่างไร ยังไงก็ฝากเหล่าบรรดาชาวพันพิปด้วยครับ


มีความคิดเห็นอย่างไร? มันดีหรือไม่ดี? หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่สังคม ขอบคุณครับ.  ยิ้ม เศร้า



** ตัดสินใจTag ห้อง สินธร » การลงทุน เพราะมีเกี่ยวในเรื่องอขงการลงทุนทำธุรกิจ
ศาลาประชาคม » คุ้มครองผู้บริโภค เป็นสิทธิที่คนจะรู้ในธุรกิตนั้นๆ
โต๊ะเครื่องแป้ง » ความงาม ธุรกิจนี้มีผลิตภัณฑ์ในด้านความงามอยู่เยอะ ตั้งแต่เครื่องสำอางรวมไปถึงการตรวจผิวหน้า
สยามสแควร์ » มหาวิทยาลัย มีการเจาะลงกลุ่มลงมาในหมู่วัยรุ่นเยอะขึ้น
สวนลุมพินี » สุขภาพกาย รกิจนี้มีผลิตภัณฑ์ในด้านสุขภาพอยู่เยอะ ตั้งแต่อาหารเสริม อาหารลดความอ้วน รวมไปถึงการตรวจสุขภาพ**

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ทุกธุรกิจมีความเสี่ยงหมดครับ เสี่ยงมากเสี่ยงน้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์และกลยุทธ์ของแต่ล่ะคน ลักษณะของธุรกิจ MLM มันจะเป็นการขายแบบ C to C คือลูกค้าสู่ลูกค้าหรือการบอกต่อ ดังนั้นธุรกิจด้านนี้คนที่ได้เปรียบคือ คนที่มีเครดิต(คนดัง, มียศใหญ่, มีการศึกษา) และคนที่มีศาสตร์ในการโน้มน้าว

จุดผลิกผันเกิดขึ้นตอนที่ธุรกิจชนิดนี้มีมากขึ้น จากกลยุทธ์ C to C กลายเป็น Viral และกลายเป็น Spaming ที่เป็นขยะอินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน และด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เรียกได้ว่าชั้นเลว ไม่ว่าจะเป็นการโน้มน้าวด้วยข้อความที่น่าสนใจแต่เป็นไปได้ยาก การโฆษณาสรรพคุณสินค้าเกินจริง การสร้างภาพและบ่ายเบี่ยงภาพลักษณ์ของการเป็นธุรกิจขายตรง จน ณ ปัจจุบันจากกลยุทธ์ที่ต้องการจะขายสินค้ากลายมาเป็นธุรกิจขายความสำเร็จในอนาคต(ขายฝัน) แล้วหาดาวน์ไลน์เพื่อกินเงินค่าสมัคร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกันแบบนี้ทั้งหมด มีเพียงส่วนน้อยตามต่างจังหวัดเท่านั้นที่ยังคงรูปแบบเดิม ๆ

สมัยยุคแรก ๆ ที่มี MLM ผมไม่ได้รังเกียจน่ะ แม่ผมก็ซื้อสินค้ามาใช้เช่น เครื่องกรองน้ำยุคแรกเลยที่เป็นชั้นหิน ไมโครเวฟ ราคามันก็ไม่ได้แพงเว่อร์เหมือนสมัยปัจจุบัน เราจะพบเห็นได้ว่าในสมัยนั้นจะมีเซลล์ขายของคอยเดินตามบ้าน จนบางครั้งผมก็ซื้อเพราะเขาพรีเซ็นต์ดีน่ะ

แต่สมัยนี้ไม่ไหวจริง ๆ ครับ ผมเรียกได้ว่าพยายามหลอกล่อหรือล่อลวงเลยแหละ
- อย่างบริษัท H ผลิตภัณฑ์สามารถรักษาโรคคนที่เป็นมะเร็งระยะที่ 4 ได้?
- เปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดจากคนทำงานไปสู่นศ. เพราะพวกนี้เขารู้ว่า นศ. ถ้าพูดถึงการทำธุรกิจ นศ.ต้องสนใจแน่นอน แถมไม่บอกธุรกิจอะไรด้วย
- การบ่ายเบี่ยงการเป็น MLM แบรนด์เดิมคนรู้เยอะว่าเป็นขายตรง เปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ซะ
- การสร้างขยะอินเตอร์เน็ตหลอกล่อคนไม่รู้เรื่องมาสมัคร
- ขายของให้คนต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีการศึกษาน้อย แล้วอ้างสรรพคุณเกินจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่