คำขอโทษ...ครั้งสุดท้าย 2

…จากรัก...ที่ว่างเปล่า...

“ปิดเทอมไปหาย่าด้วย”
“ปิดเทอมนี้จะไปหาย่าไหม”
“สงกรานต์นี้กลับรึป่าว”
“ปีใหม่ไปไหว้ย่ากัน”
ประโยค เดิมๆที่ฉันได้ยินซ้ำๆไปมาอยู่หลายปี ตั้งแต่มัธยมปลายจนกระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ไปหาย่าเลย อาจมีไปบ้าง แต่ก็นับว่าน้อยกว่าเมื่อครั้งยังเด็กที่เมื่อถึงวันหยุดทีไรก็มักจะขอให้ ที่บ้านพาไปหาย่าอยู่ประจำ ฉันก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนนึงที่พ่อกับแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเด็ก การเติบโตมาของฉันจึงค่อนข้างมีความหลากหลาย เพราะอยู่กับแม่บ้าง อยู่กับพ่อบ้าง อยู่กับญาติฝ่ายพ่อที อยู่กับญาติฝ่ายแม่ที ด้วยความที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ จึงไม่ต้องถามเลยว่าฉันได้รู้สึกผูกพันกับใครในครอบครัวไหม ในเมื่อฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวฉันจะได้หยุดที่ไหน...
               ความรู้สึกเดิมเพียงอย่างเดียวที่จำได้ดี คงมีแต่ภาพของหญิงชราคนนึง ที่ไม่ว่ายังไงรอยยิ้มและแววตาที่ให้ฉัน
               ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันล้วนเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจทั้งสิ้น  

“หนูรักย่าจ๋าที่สุดในโลกเลย!!!”

             ประโยคเดิมๆที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปยาวนานแค่ไหน ฉันก็ยังคงพร่ำบอกกับหญิงชราผู้นี้ได้อย่างไม่มีวันเปลี่ยน และมักจะตามด้วยหอมแก้มน้อยๆสักฟอดใหญ่ๆอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่ได้เจอ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเวลามันช่างผันเปลี่ยนหมุนเวียนไปได้รวดเร็วขนาดนี้
        
            เพียงไม่นานเมื่อฉันเองเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยที่สามารถออกสู่โลกภายนอกได้มากขึ้น ได้อยู่คนเดียวกับการใช้ชีวิตในหอพักอย่างเต็มตัว ในรั้วมหาวิทยาลัย แค่ช่องว่างเพียงเล็กน้อยไม่กี่ปีนี้ได้สร้างหลายสิ่งให้กับฉันทั้งสังคม เพื่อน พี่และ น้อง ซึ่งตัวฉันเองก็พาใจเพลิดเพลินไปกับมัน จนไม่มีเวลาที่จะพาตัวเองกลับเข้าสู่สิ่งเก่าสิ่งเดิมที่เคยมีอยู่ในวันวาน
“หวาย ช่วงนี้ไปหาย่าบ้างนะ ย่าไม่ค่อยสบาย”
“ช่วงนี้ หวายมีเรื่องเตรียมสอบนะพ่อ คงไม่ค่อยมีเวลาไว้ค่อยคุยกันนะพ่อ”
“หวาย...”
ฉัน กดตัดสายจากพ่อไป ด้วยช่วงนี้เป็นช่วงของการเตรียมสอบในชั้นเรียนปีที่ 4 ของฉันซึ่งก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการให้ความสำคัญกับเรื่องสอบ หลังจากที่พากันร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยไปอย่างมากมายดังที่ผ่านมาในทุกๆ ปี แต่พอเหมือนว่าเรายิ่งโตอิสระในการทำอะไร ไปไหนก็เริ่มมีมากขึ้น การใช้ชีวิตอยู่หอทำให้ฉันได้เดินทางท่องเที่ยวไปกับเพื่อนๆในมหาวิยาลัย อย่างต่อเนื่องในทุกๆครั้งที่เรามีวันหยุด จึงไม่แปลกเลยที่ช่วงนี้ฉันจึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับที่บ้านของฉันสักเท่าไหร
ทุกทีที่บ้านโทรมา ก็จะมีได้พูดคุยกันบ้างนานๆที แต่ช่วงนี้ดูพ่อจะโทรมาถามบ่อยขึ้น ฉันพอเข้าใจอย่างตรงที่ย่าเริ่มอายุมากขึ้น อาจทำอะไรลำบากขึ้นและอยากอยู่กับลูกกับหลานมากขึ้น และห่วงลูกหลานมากขึ้น จนบางทีใครที่ไม่เข้าใจอาจจะทำท่ารำคาญหญิงชราตรงหน้าบ้าง ฉันเองก็มีเคยเป็นบ้าง แต่ทุกครั้งที่ฉันได้เห็นใบหน้าที่ดูเหมือนจะไม่คิดอะไร แต่แววตาของย่า มันกลับทำให้ฉันรู้ว่าเค้ากำลังน้อยใจและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ เพราะอะไรหลายๆอย่างและด้วยฉันโตมากับย่า เวลาเห็นแววตาแบบนั้นของย่า ฉันมักจะเข้าไปหาและชวนแกทำอะไรอย่างอื่นด้วยกัน เพื่อไม่ให้ย่าคิดมากต่อไป แม้มันจะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่แค่ได้เห็นรอยยิ้มกับฟันที่เหลือน้อยซี่ของย่า แค่นั้นฉันก็มีความสุขแล้ว อย่างน้อยย่าก็ยิ้มให้ฉันเห็นได้อย่างหมดปากเช่นเดิม...
“หวาย ไปหาย่าพรุ่งนี้นะ”
“ทำไมรีบจังพ่อ หวายขออีก2-3วันได้ไหมเพิ่งสอบเสร็จเอง”
“ไปหาย่าก่อน พรุ่งนี้ไปเจอพ่อที่บ้าน”
        
             พูดจบประโยคพ่อก็วางสายไปโดยไม่ทิ้งท้ายอะไรไว้ให้ฉันเลย แม้จะรู้สึกคาใจอยู่นิดหน่อย แต่ฉันเองก็คงขัดคำพูดไม่ได้ แม้จะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง จนสมองดูจะไม่สั่งการอะไร แต่ร่างกายกลับจัดแจงเตรียมตัว และโทรไปยกเลิกนัดทุกอย่างที่ได้นัดเพื่อนมหาวิทยาลัยไว้
“โทษทีนะแกต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดจริงๆ พ่อเพิ่งโทรมาบอก ฝากบอกเพื่อนๆด้วย ฉันเองก็ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร สงสัยย่าจะป่วยหนัก”
“เอาน่า...ไม่เป็นไร พรุ่งนี้แกก็ไปหาย่า คงแค่ไม่สบายเฉยๆแหละ โรคคนแก่นะ อย่าไปคิดมาก”
“อืม  ขอบใจมากนะ ไว้จะโทรหาแกแล้วกัน”

                สิ้นสายของการจบบทสนทนา ฉันเตรียมเก็บของเพื่อเดินทางในวันพรุ่งนี้ แม้ว่ามันจะคลาคลุมไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจก็ตาม....
ณ....สถานีขนส่ง
ใน เช้าวันใหม่ของการเดินทาง ฉันพาตัวเองขึ้นรถโดยสารที่มากไปด้วยผู้คนซึ่งต่างก็พากันเดินทางไปยังบ้าน ที่ต่างจังหวัดของตน ผู้คนมากมายที่พากันเดินทางทั้งไปกันเป็นครอบครัว คู่รัก กลุ่มเพื่อน และลำพัง เฉกเช่นตัวฉัน แม้จะพุกพล่านวุ่นวายไปด้วยจำนวนผู้คน แต่ความหลากหลายที่ฉันรู้สึกได้กลับเป็นความรู้สึกซะมากกว่า คนเหล่านั้นจะเดินทางกันด้วยความรู้สึกแบบไหน ร่าเริง สุขสันต์ สนุกสนาน หรือกังวลข้างใน...         ในตลอดการเดินทาง แม้จะรู้สึกเพลียบ้างแต่ความรู้สึกทั้งหลายในใจฉัน กลับทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย ทุกอย่างยังคงเต็มไปด้วยความหวั่นใจและกังวลข้างใน...
       วินาทีแรกที่ฉันได้เข้ามายังบริเวณบ้านที่คุ้นตา สิ่งแรกที่มองเห็น ดูเหมือนว่าตอนนี้ที่บ้านจะเต็มไปด้วยผู้คน ที่พากันก้าวเข้าออกไปมาอย่างขวักไขว่ มีทั้งผู้คนที่ฉันรู้จักคุ้นตาบ้างและไม่คุ้นตาเลย แต่ฉันก็ยังคงทำหน้าที่ของหลานเจ้าบ้าน โดยการไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนที่เดินผ่าน
“สวัสดีค่ะอาน้อย”
“อ้าว หวาย รีบเข้าไปสิ ย่าอยู่ข้างใน”

                น้ำเสียงและหน้าตาที่ดูจะไม่สู้ดีนักของผู้เป็นอาฉัน ทำให้ฉันเองเริ่มรู้สึกใจไม่ดีมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ในใจฉันช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง แม้จะเดินในแต่ละก้าว มันช่างยากเหลือเกิน แค่เพียงเวลาไม่นานเท่านั้นที่ฉันไม่ค่อยได้มา อาจจะ1ปี 2 ปี หรือ 3 ปี แต่การกลับมาในครั้งนี้ทำให้ฉันสับสนปนหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก....
               ก้าวแรกที่เข้ามาในตัวบ้านส่วนห้องโถงกลางตรงที่ย่าชอบมานอนเล่นอยู่เป็นประจำ ไม่น่าเชื่อว่าตรงนั้นนั้นเต็มไปด้วยผู้คนรายล้อมบริเวณนั้นมากมาย
“หวาย...เข้ามาสิ”

                เสียงของผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ในวงเรียกฉันให้เข้าไป ตัวฉันเองค่อยๆเดินเข้าไปในวงยังจุดที่ย่านอนเป็นประจำ ภาพที่ฉันได้พบแทบทำให้ฉันกลั้นน้ำตาและความรู้สึกทุกอย่างไว้ไม่อยู่
    หญิงชราที่นอนตรงหน้าฉันตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าเดิมของเมื่อก่อนที่ฉันเคยเจอ ตัวที่ลีบผอมเหลือเพียงเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกและผิวที่ครั้งหนึ่งมันเคยผุดผ่องเหลืองนวล ตอนนี้กลับเป็นเนื้อผิวที่เข้มคล้ำดำต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ท่านนอนลืมตา กรอกดวงตาใสๆที่ขุ่นมัวของท่านไปมามองผู้คนรอบกายที่อยู่ตรงหน้า ในท่านอนแบบเดิมที่เคยชินคือเอาแขนขึ้นก่ายหน้าผาก
“ย่าจ๋า หนูมาแล้ว ย่าเป็นไงบ้างค่ะ”

                ฉัน ลงนั่งข้างๆย่าแล้วเอามือไปจับมือที่แสนอบอุ่นของย่าคนเดิมของฉัน แต่มือนั้นกลับปฎิเสธมือฉันอย่างไม่เหลือเยื่อใยอะไร แม้แววตาของย่าจะมองมาที่ฉัน แต่มันแค่ชั่วขณะ ก่อนที่จะกวาดตาไปมองอย่างอื่นรอบกายต่อ ฉันได้แต่อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ย่า เค้าจำเราไม่ได้หวาย หลังจากที่ป่วยมาเกือบปี อยู่ดีๆย่าก็อาการทรุดลงอย่างหนักเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ก็เลยเป็นแบบนี้ หมอบอกว่า...ท่านอยากกลับมาอยู่บ้านและให้ทุกคน...เตรียมใจ...”

               แค่ประโยคเพียงเท่านี้ที่ฉันได้ยิน มันทำให้ฉันอึ้งหนักไปทั้งตัว จนไม่สามารถรับฟังประโยคใดๆที่ผู้เป็นพ่อบอกต่อได้อีก
“เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ย่าก็ถามถึงหวาย แกบอกว่าคิดถึงหวาย อยากเจอหวาย”

                  ประโยคที่ฉันได้ยินมันแสนเสียดความรู้สึกฉันมากนัก แค่เพียงก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าฉันสอบเสร็จแล้วมาหาย่าเลย ท่านคงทันได้เห็น ได้พูดคุยกับฉัน ท่านคงยังจำฉันได้  แค่เพียงฉันควรจะมา...ฉันได้แต่หันไปพูดพร่ำน้ำตาไหล ให้หญิงชราตรงหน้าฟัง แม้ว่าตอนนี้แววตาเค้าจะไม่รับรู้อะไรที่ฉันสื่ออีกแล้ว
“หวาย...ขอ โทษค่ะ...ย่าจ๋า หวาย...มา.....แล้วนะ ..........หวาย......คิดถึงย่าจ๋ามาก.....น่ะ ย่าจ๋า.........ก็คิดถึงหวายใช่ไหม..........”
ฮือๆ ๆ ๆ ๆ หวาย ............................ ขอโทษ
ย่า...............จ๋า ...............หวาย................
ฉันได้แต่พร่ำพูดประโยคเดิมๆอย่างนี้กับหญิงชราตรงหน้า ซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอย่างไม่มีท่าว่าจะหมดลง

            นี่.... ฉันมัวไปทำอะไรอยู่ ฉัน....มาทำบ้าอะไรป่านนี้ ฉันควรจะมาหาย่าให้เร็วกว่านี้สิ มาหาในวันที่ย่าแข็งแรง มาตอนที่ย่าต้องการเรา ฉัน............ลืมเค้าไปได้ยังไง ทำไม .... ทำไม ฉันถึงทำแบบนี้ ทำไม..........มันต้องเป็นแบบนี้ ย่าจำฉันไม่ได้แล้ว................
        
ฉัน ...ฉันอยากจะกอดย่า หอมย่าอย่างที่ฉันทำมันอยู่ทุกครั้งที่เจอกัน หญิงชราตรงหน้าที่เคยยิ้มให้ฉันอย่างหมดใจ ตอนนี้กลับจำฉันไม่ได้แล้ว ไม่มองมาที่ฉันอีกแล้ว
ฉันไม่รู้.............ฉันไม่รู้ว่าฉันครวจะทำยังไงต่อไป....
“ย่าจ๋า............... หนู...............ขอโทษ”
             ฉันอยากจะบอกย่า อยากจะพูดกับย่าซ้ำๆจนย่ารับรู้เรื่องของฉัน จนย่าจำฉันได้ แต่ที่ฉันรู้คือ...มันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้...อีกแล้ว....
ขอโทษค่ะ............ ขอโทษ.............. หนูขอโทษ............ค่ะ

ย่า........................หนูขอโทษ

                                      
               ขอโทษ   ที่เปลี่ยนไป
               ขอโทษ   ที่ปล่อยให้ คาดหวัง
               ขอโทษ   ที่ทำใจ ให้พุพัง
               ขอโทษ   ที่ทุกครั้ง ทำเธอให้เฝ้าคอย

             ...............................................

              เพราะว่าใจ ของคน ที่เฝ้าคอย
              ก็เหมือนหวัง อย่างลอยลอย ที่เคว้งเปล่า
              ท้ายที่สุด ซากที่เหลือ คือเรื่องเศร้า
              ไม่มีเงา ใครคนเก่า...ให้หวนคืน....

ฉากจบ บทสุดท้าย ที่สิ้นหวัง
ทำพุพัง เพราะว่าใจ ไม่เหมือนเก่า
เหลือแค่เศษ เหลือแค่ซาก ดังภาพเงา
ที่สะท้อน ภาพวันเก่า แตกหักดับลง....

..............................................


ต่อให้สิ่งของมีค่ามากมายแค่ไหน
ก็นับค่าไม่ได้...กับคนสำคัญที่เสียไป
….
บอก รักว่ายากแล้ว บอก ขอโทษ ยิ่งยากกว่า
แต่ถ้ายังไม่เริ่มพูดทุกอย่างจะสายไป เกินใครจะได้ยินยล
....
ทุกวินาที ใช้เวลาให้คุ้มค่า
ดีกว่า ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้เริ่มบอกอะไรใครสักคำ
....

ฝากเรื่องสั้น คำขอโทษครั้งสุดท้าย 2 ด้วยน่ะค่ะ
อ่านแล้ว อย่า ลืม บอกรัก ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา ด้วยน่ะ ^^... >/|\< ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่