เหมือนวันวาน...ที่ไม่อาจลืมเลือน (ต่อ)

เหมือนวันวาน..ที่ไม่อาจลืมเลือน (1)
http://pantip.com/topic/32131916
      .......

เหมือนวันวาน..ที่ไม่อาจลืมเลือน (2)
       ------


       “ตายหรือยัง” นางพึมพำ  หัวใจเต้นระทึก “ใครกัน มานอนที่นี่ได้ยังไงกัน”
    ร่างผ่ายผอมของชายนิรนาม  พลิกหงายตัวตามแรงเขี่ยในมือหญิงชรา  นางชะโงกหน้าเข้าไปมอง   และแล้วก็ต้องผงะถอยออกมาอย่างรวดเร็ว  เมื่อเห็นใบหน้าผู้มาเยือน     
    ใบหน้าขาวและตอบ   ดูซีดเซียว    จมูกโด่ง ผิดแผกไปจากผู้คนในละแวกนี้  ดูที่ข้อมือและแขน เห็นรอยช้ำเป็นวง มีเลือดซิบๆ เกอะกรัง เหลือบดูข้อเท้า เท้าที่โผล่ออกมาจากกางเกงเห็นได้ชัดเจนว่า มีรอยช้ำและมีเลือดแห้งติดหนัง เกอะกรังไม่แพ้ที่แขน เสื้อผ้าสกปรกมีทั้งฝุ่นและรอยสีดำคล้ำแห้งติดอยู่  แต่ที่น่าแปลกใจนัก คือ บริเวณใบหน้าของชายแปลกหน้าตรงบริเวณริมฝีปาก    หญิงชราเห็นเมล็ดข้าวสวย 2-3 เม็ดยังติดอยู่ที่ริมฝีปากซีดเซียวนั้น  นางรีบหันพร้อมเหลือบตามองดูถาดสำหรับคลุกข้าวให้ไอ้แดงข้างพุ่มไม้  ถาดนั้นว่างเปล่าไม่มีข้าวหลงเหลือสักเม็ดเดียว  นางเข้าใจได้ในทันที  ชายผู้นี้คงกินข้าวในจาน ของไอ้แดงอย่างไม่ต้องสงสัย
    “เชลยฝรั่ง”  นางอุทานเสียงดังเมื่อเห็นใบหน้าชัดเจน  นึกถึงคำพูดของสามีที่เล่าให้ฟังว่ามีเชลยฝรั่งหนีจากค่าย  ต้องเป็นเชลยฝรั่งที่หนีมาจากค่ายญี่ปุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่  นางเริ่มวิตกกังวล
    ร่างที่นอนเหยียดยาวนั้น เริ่มไหวติง นางถอยออกมาเฝ้ายืนมองดูอยู่ห่าง ๆ  ด้วยใจเต้นระทึก  สักครู่ ร่างที่นอนเหยียดยาวนั้นพยายามที่จะพยุงกายลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก  แต่ไม่เป้นผล ต้องทิ้งตัวล้มนอนเเช่นเดิมอีกหลายครั้งหลายคราอย่างหมดแรง  แต่ดูยังไม่ละพยายามที่จะลุกนั่งให้จงได้ ปากก็พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์  ยากที่หญิงชราจะเข้าใจ
    ขณะที่ยายสุกยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป เสียงของตาแหวงผู้เป็นสามีก็ตะโกนดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน  
    “แม่สุก แม่สุก  อยู่ไหน” เสียงเรียกดังมาจากตีนบันใดบ้าน
    “ข้าอยู่นี่ ตาแหวง”  หญิงชรารีบขานรับ ใจชื้นทันที  รีบผละออกมา เดินจ้ำอ้าวเกือบจะเป็นวิ่ง ถึงตัวสามี  คว้าแขน กึ่งจูงกึ่งลากไปที่ข้างพุ่มไม้ พลางชี้ให้ดูชายแปลกหน้า ที่นั่งฟุบอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางอ่อนแรง
    “ฝรั่ง” ตาแหวงอุทานเมื่อเห็น “เป็นฝรั่งที่หนีจากค่ายเมื่อคืนแน่นอน แม่สุก”  ตาแหวงสรุปทันที  หันมาบอกยายสุกผู้เป็นภรรยา  “เราจะต้องส่งตัวคืนให้ค่ายเขาไปโดยเร็วที่สุด ทางญี่ปุ่นเขาตามหาตัวอยู่  ข้าจะไปบอกทหารให้มาเอาตัวไป”
        “ไม่บอกไม่ได้หรือ” หญิงชราถามทันที “ข้าสงสาร นี่ถ้าส่งคืนค่าย ข้าว่าทหารญี่ปุ่นไม่เอาไว้แน่ ๆ”  นางบอกสามี ดวงตามีแววเศร้าและกังวลอย่างเห็นได้ชัด

    ห้าวันผ่านมาแล้ว  ตาแหวงและยายสุก ก็ยังมิได้บอกให้ทหารญี่ปุ่นมารับตัวเชลยฝรั่ง   หากว่าส่งตัวคืนไป  ชีวิตของฝรั่งคนนี้คงจบลงเพียงเท่านี้ ตามเสียงที่เล่าลือว่าทหารญี่ปุ่นโหดร้ายนัก
    สองเฒ่าตัดสินใจ จัดที่พักให้เชลยฝรั่งหลบอยู่ที่หลุมหลบภัยอีกแห่งหนึ่งที่ทำไว้ในท้องร่องท้ายสวนของแก  มีข้อสัญญาว่ายายสุกเป็นผู้มีหน้าที่ส่งข้าว ส่งน้ำ       
            ด้วยความสงสาร    ยายสุกจำเป็นต้อง แบ่งปันข้าวปลาอาหารให้เพียงแค่มื้อเดียว คือมื้อเช้าเท่านั้น โดยจะนำไปให้ตั้งแต่เช้ามืดของทุกวันเพื่อไม่ให้ใครเห็น

           เมื่อครั้งทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเมื่อวันที่  8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เวลาประมาณ  01.00 น.   โดยกองทัพญี่ปุ่นใช้เรือรบ 32 ลำ ปิดอ่าวของไทยจากสมุทรปราการเรื่อยไปจนถึงปัตตานี จากนั้นทหารญี่ปุ่นจำนวนห้าหมื่นนายก็ยกพลขึ้นบกที่สมุทรปราการ  ประจวบคีรีขันธ์  ชุมพร  สุราษฏร์ธานี  นครศรีธรรมราช สงขลาและปัตตานี
          และหลังจากไทยยอมจำนนและยอมให้ญี่ปุ่นผ่านทางแล้ว  กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญในกรุงเทพหลายแห่งใช้เป็นฐานทัพ และกองบัญชาการ เช่น สถานที่ราชการ  มหาวิทยาลัย โรงเรียน  สนามกีฬา   รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตที่เป็นฝ่ายตรงข้ามหลายแห่ง ก็ถูกทหารญี่ปุ่นยึดครอง ก่อนเดินทัพไปพม่า  และไทยจำต้องประกาศยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดนไปพม่า  ช่วงนั้น มีทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมด
      
          จากการที่ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก ชีวิตของคนไทยเริ่มลำบาก ตรงที่ญี่ปุ่นขอให้ไทยลดค่าเงินบาทให้ 1 บาท   เท่ากับ 1 เยน  (ก่อนนั้น 1 บาท เท่ากับ 4 เยน)  โดยกองทัพญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เอง
           เครื่องจักร เครื่องยนต์ สัตว์พาหนะ ข้าวสารอาหารแห้ง เศษเหล็ก  ญี่ปุ่นกว้านซื้อเหมาไปหมด  สินค้าจำเป็นทุกชนิด จึงขาดแคลน  โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ขาดแคลนอย่างหนัก  ต่างจังหวัดมีโจรผู้ร้าย จี้ปล้นเอาทรัพย์สินเงินทอง ขโมยวัว ควาย เกือบทุกหนทุกแห่ง

          ตอนเช้ามืดของทุกวัน ไอ้แดงหมาตัวเดียวและตัวโปรดของยายสุก  เปรียบเป็นนาฬิกาปลุกอย่างดี   เสียงครางของไอ้แดงดังเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ยายสุกต้องตื่นนอน ลุกขึ้นมาทำกับข้าว หุงหาอาหาร ตระเตรียมไปส่งให้เชลยฝรั่งที่รอกินอยู่ที่ท้ายสวน
          หลายวันที่ผ่านมา การที่หญิงชรานำข้าวปลาอาหารไปส่ง  จิตใจของแกก็ไม่ได้เป็นสุขสักนิด  เนื่องด้วยรู้ว่าตนเองกำลังทำให้สิ่งที่ผิดอยู่  การให้ที่อยู่ ที่อาศัย ที่พักพิงแก่เชลยเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงนัก    ความกังวลจะเกิดขึ้นในใจมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ไอ้แดงหมาตัวโปรดวิ่งนำหน้า ไปไม่ไกล  มันวิ่งไปมา วิ่งกลับหน้ากลับหลัง ระแวดระวัง เหมือนเป็นผู้คุ้มกันก็ไม่ปาน
         เช้าวันนี้    ไม่มีเสียงคราง ที่เป็นเสียงปลุกของไอ้แดงเหมือนเช่นทุกวัน  แต่ด้วยความเคยชิน  หญิงชรารู้สึกตัวตื่นยามท้องฟ้ายังไม่สางดี  แกรีบหุงหาอาหารอย่างรีบร้อน  จัดแจงสำรับอาหารเช่นทุกวัน  ป่านนี้ พ่อเชลยฝรั่งคงรอกินอาหารด้วยความหิวโหย  เพราะมีอาหารเพียงวันละมื้อเท่านั้นที่ พอประทังชีวิต
        ด้วยฟ้าเริ่มสางแล้ว หญิงชรากึ่งเดินกึ่งวิ่ง  เกรงผู้คนที่เดินลัดผ่านไปมาเห็นเข้า  จุดหมายปลายทางคือหลุมหลบภัยท้ายสวน วันนี้ไม่มีไอ้แดงเป็นผู้คุ้มกันนำทางเหมือนเช่นทุกวัน มันหายไปไหน
        เมื่อเดินเข้าใกล้หลุมหลบภัย  ยายสุกร้องเรียกให้เชลยฝรั่งขึ้นมารับสำรับอาหารที่นำมาให้  แกร้องเรียกอยู่หลายครั้ง ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ในหลุม แกแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่แกเรียก เชลยฝรั่งจะรีบโผล่หัวขึ้นมารับสำรับอาหารอย่างรวดเร็ว  แต่วันนี้ ทุกอย่างเงียบกริบ  ทำให้แปลกใจยิ่งนัก
มีอะไรเกิดขึ้นหรือ
        หญิงชราร้องเรียกอยู่เป็นนาน  บรรยากาศยังเงียบกริบเหมือนเดิม  
        ยายสุกตัดสินใจเดินไปใกล้ปากหลุมหลบภัย  เอื้อมมือเปิดสังกะสีที่คลุมปากหลุมออก หย่อนตัวลงไปในหลุม  หลุมหลบภัยแห่งนี้มีภายในค่อนข้างใหญ่ เพราะได้ขุดเจาะขยายกว้างออกไปอีก ทำเป็นพิเศษสำหรับเชลยฝรั่งคนนี้  สำหรับจะยืน จะนั่ง และนอนได้โดยไม่ลำบากนัก

       หญิงชรากวาดสายตามองหาผู้ถูกเรียก  เพ่งสายตาและกวาดไปรอบๆ ภายในหลุม  ภายในยังคงมืดมิด แต่ก็ยังพอมองเห็นสิ่งภายในลาง ๆ ได้อยู่
        ที่หลุมหลบภัยนั้น ว่างเปล่า ไม่มีเชลยฝรั่ง  หญิงชราใจหายวาบและครุ่นคิด  หรือว่าทหารญี่ปุ่นจับตัวไปเสียแล้ว  นึกขึ้นได้เช่นนั้นหญิงชราเข่าอ่อนแทบจะพยุงกายไม่อยู่ ยก มือทาบหน้าอกอย่างตกใจ  
       “เวรกรรมแท้ๆ น่าสงสารจริง พ่อเอ๊ย..”  หญิงชราบ่นงึมงำอยู่คนเดียว
        ยายสุกเดินกลับเรือนตอนฟ้าสางพอดี  เจอตาแหวงกลับมาจากวัดที่ตีนบันใดทางขึ้นเรือน  หญิงชรายังไม่ทันได้บอกล่าวเรื่องเชลยหายไป เสียงตาแหวงก็ร้องขัดเสียก่อนด้วยเสียงอันดัง  ดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจจนเห็นได้ชัด
        ตาแหวงบอกว่า ญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว  ยายสุกรีบพนมมือยกขึ้นท่วมหัว  อากัปกริยาที่แสดงออกมานั้นไม่แตกต่างไปจากผู้เป็นสามี  ปากก็พร่ำพูดแต่คำว่า “สาธุ ๆๆๆๆ  บ้านเมืองจะได้สงบสุกกันเสียที”  

         นับตั้งแต่วันนั้นจวบจนถึงวันนี้  หลายปีผ่านมา หญิงชราก็ยังคงข้องใจและคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น กับเชลยฝรั่งที่หลุมหลบภัยท้ายสวน  
และไอ้แดง หมาตัวโปรดของแก ที่บังเอิญหายตัวไปพร้อมกัน ในวันเดียวกัน  นับตั้งแต่วันที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโน่นแล้ว
                    ---------------------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่