กรณี เดียรถีย์ กับ ตรรกะวิบัติ ของ เดียรแถ

ที่จริงแล้ว หลักฐานต่างๆ ในกระทู้ ....... ติตถะ = ติตถิยา = ติตถกโร = เดียรถีย์    http://pantip.com/topic/32445771
และ จากกระทู้ ........... พระ .......... อสรพิษ http://pantip.com/topic/32445802
ย่อมแสดงให้เห็นข้อเท็จจริง อย่างชัดแจ้งว่า ........

๑ คำว่า ติตถะ  ติตถิยา  และ  ติตถกโร มีใช้กันอยู่เมื่อสมัยพุทธกาล ในฐานะของคำกลางๆ ที่มีความหมายกลาง
มิได้จำเพาะเจาะจงว่า ต้องหมายถึง พวกมิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง เท่านั้น

๒ อีกทั้งหลักฐานที่นำมาแสดง ยังบ่งชี้ให้ทราบว่า ติตถะ  ติตถิยา  และ  ติตถกโร
มีความหมายโดยอรรถอย่างเดียวกัน ซึ่งก็คือ คำว่า เดียรถีย์ ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยทุกวันนี้ นั่นเอง

แต่จะด้วย อุปนิสัยสันดาน ของ ล็อกอิน cantonaz ที่ไม่ใคร่จะตั้งใจอ่าน เหตุผล และ หลักฐานของผู้อื่นอย่างรอบคอบ
จึงมิอาจ "ซึมซับ" ข้อมูลหลักฐาน อันเป็นที่มาของสติปัญญา อย่างชาวพุทธเถรวาท ได้เลย แต่กลับมาจดจ่ออยู่กับ
หลักฐานชิ้นสุดท้าย กรณี สุทัตตะ ซึ่งคงจะ ทิ่มแทงใจของเขาเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นแล้ว เขาคงจะไม่แสดงอาการ
หัวฟัดหัวเหวี่ยง  จะเป็นจะตาย และ ทุรนทุราย อย่างเห็นได้ชัด กับ หลักฐานชิ้นนี้ เป็นแน่ !



จริงไหม ?

ผมสันนิษฐานว่า ด้วยชัดเจนของหลักฐานชิ้นนี้ ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้คนในสมัยนั้น ก็เรียกพระพุทธเจ้า(สมณโคดม)
ด้วยคำว่า เดียรถีย์(ติตถิย) ในความหมายว่า ศาสดาเจ้าลัทธิ(ติตถกร) เหมือนกับที่เรียก เจ้าลัทธิอื่นๆ ทั่วไป นั่นจึงหมายความว่า

๑ ในสมัยพุทธกาล คำว่า เดียรถีย์ ไม่ได้มีความหมายในทางลบ ว่าต้องหมายถึง พวกมิจฉาทิฐิเท่านั้น
๒ คำว่า เดียรถีย์(ติตถิย) สามารถใช้ในความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ศาสดาเจ้าลัทธิ(ติตถกร) ได้
๓ ความหมาย ก็คือ เมื่อพบคำว่า ติตถิย ก็เท่ากับพบคำว่า ติตถกร เมื่อพบคำว่า ติตถกร ก็เหมือนพบคำว่า ติตถิย
เพราะ บาลีทั้ง ๒ คำนี้ มีความหมายโดยอรรถ อย่างเดียวกัน !

แต่สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ก็คือ แทนที่ ล็อกอิน cantonaz จะโต้แย้ง เหตุผล และ หลักฐานของผู้อื่น
ตามธรรมเนียมแบบอย่าง ที่ชาวพุทธเถรวาท พึงกระทำ ก็คือ การโต้แย้งด้วยหลักฐาน ตามลำดับความสำคัญในการอ้างอิง
ด้วย ๑ พระไตรปิฎก ๒ อรรถกถา ๓ ฎีกา ๔ อนุฎกา และ ๕ เกจิอาจารย์ เพื่อหาข้อยุติ ในทางพระธรรมวินัย

นอกจากโมฆบุรุษผู้นี้ จะไม่ประพฤติอย่างที่วิญญูชนพึงกระทำแล้ว เขายังอุตส่าห์ด้านหน้า ยกข้อความของตนเอง
มาเป็น ข้ออ้าง และ เงื่อนไข ในการโต้แย้ง เพื่อหาข้อเท็จจริง ทั้งๆ ที่เขาน่าจะทราบอยู่แก่ใจว่า ถ้อยคำของเขา
ไม่มีความสำคัญใดๆ และไม่สามารถนำมาใช้เป็น "เงื่อนไข" ในการแสวงหา ข้อเท็จจริง ในทางพระธรรมวินัย ได้เลย !

เขาคิดว่า ตนเอง เป็น อรรถกถาจารย์ หรืออย่างไร มิทราบ ?
บ้าชัดๆ !

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นอกจากโมฆบุรุษผู้นี้ จะยกข้อความโง่ๆของตนเองมาเป็นเงื่อนไข ในโต้แย้งอย่างปราศจากความละอายแล้ว
อีกพฤติการณ์หนึ่ง ที่เขานำมาใช้ ก็คือ การตีความภาษาไทยอย่างโง่ๆ
ซึ่งผม หรือ ใครๆ อาจไม่เคยมีโอกาสได้พบเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ดังต่อไปนี้ ...........



คนๆนี้ ขาดความเข้าใจทางภาษาอย่างรุนแรงมากทีเดียวนะครับ
การที่อยู่ดีๆ มาถามผมว่า ประโยคที่ผมเข้าใจว่า สุทัตตะ เรียกพระพุทธเจ้าว่าเดียรถีย์ คือ "เป็นต้นเป็นอันมาก" ใช่หรือไม่ ?

คุณถามแบบนี้ คุณครูภาษาไทย ........ งง นะครับ !

"เป็นต้นเป็นอันมาก" ไม่ใช่ประโยค และไม่เป็นแม้กระทั่ง วลี
เพราะมันเกิดมาจากการเว้นวรรคตอนผิด ของผู้พูด คือตัวของ ล็อกอิน cantonaz เอง

ผู้แปลบาลี อาจแปลแล้วฟังดูยากไปสักหน่อย เพราะนั่นเป็นการแปล และเรียงลำดับคำ ตามไวยากรณ์บาลี
แต่ถ้าหาก เรียงลำดับคำเสียใหม่ตามหลักไวยากรณ์ภาษาไทย ก็จะได้ความดังนี้ว่า

ข้อความเดิม ....................... ในโลกนี้ มีเดียรถีย์ มีปูรณกัสสปะเป็นต้น เป็นอันมาก ก็กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นพระพุทธเจ้า ฯลฯ    
ข้อความที่เรียงใหม่ .......... ในโลกนี้ (๑) มีเดียรถีย์ เป็นอันมาก (๒) มีปูรณกัสสปะ เป็นต้น (๓) ก็กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นพระพุทธเจ้า ฯลฯ    

คำว่า "มีปูรณกัสสปะ เป็นต้น" เป็นคำขยายของ "มีเดียรถีย์ เป็นอันมาก" นะครับ
ดังนั้น ในประโยคนี้ จึงไม่เคยมีคำว่า ......... "เป็นต้นเป็นอันมาก" อย่างที่ ล็อกอิน cantonaz กล่าวขึ้นมาเลย

ภาษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็น ภาษาคน มันไม่ได้ยาก อย่างที่คิด หรอกนะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หลังจาก ตีความภาษาไทยแบบโง่ๆ เสร็จแล้ว
เขาก็ "ขายหน้า" ตนเอง ต่อไป ด้วยการ อ้าง ตรรกะวิบัติ ด้วยการสร้างประโยคโง่ๆ ขึ้นมาอ้าง ดังนี้

1 เปเล่ ประกาศตัวว่า เป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด
2 มาราโน่า และคนอื่นๆ ก็ประกาศตัวว่าเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด
ถามว่า คนอื่นๆในประโยคที่ 2 นับรวมเปเล่ ไปด้วยหรือครับ

ผมขอถามสักคำเถิดว่า ที่เขาพล่ามออกมาทั้งหมดนี่ มันเป็นเหตุเป็นผล อะไรหรือครับ ?
และไม่ตอบ ก็ไม่ได้ด้วยนะครับ ไอ้เรื่อง เปเล่ มาราโดน่า ปิติ มานะ มานี อะไรของเขาเนี่ย
เขาอ้างว่า ......... การไม่ตอบคำถามโง่ๆ ของเขา แสดงให้เห็นถึง สันดานแถกแถ .......... เอากับมันสิ !

เอาเป็นว่า อยากให้ผมตอบ ผมก็จะตอบให้ก็แล้วกันนะครับ จะได้สบายใจกันทุกๆ ฝ่าย

เริ่มต้น ตรรกะของคุณ มันก็เริ่มวิบัติ เสียแล้ว เพราะกรณีสุทัตตะ ที่อ้างถึง มันมีประโยคเดียว นะครับ
ที่เขาคิดฟุ่งซ่านขึ้นมา มันได้ถูกแยกออกเป็น ๒ ประโยค ไปเสียแล้ว แต่นั่น ก็ยังไม่ใช่ปัญหา อยู่ดี

กรุณา ดู ให้ชัดๆ นะครับ ว่าคุณ ควรผูกประโยค อย่างไร ?

อ้างจาก (๑) ในโลกนี้ มีเดียรถีย์ มีปูรณกัสสปะเป็นต้น เป็นอันมาก ก็กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นพระพุทธเจ้า
ดังนั้น (๒) ในโลกนี้ มีนักฟุตบอล มี เปเล่ เป็นต้น เป็นอันมาก ก็กล่าวว่า เราเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด

เรียงลำดับคำตามหลักไวยากรณ์ไทย ได้ดังนี้

จาก (๑) ในโลกนี้ มีเดียรถีย์ มีปูรณกัสสปะเป็นต้น เป็นอันมาก ก็กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นพระพุทธเจ้า
เป็น ........... ในโลกนี้  มีเดียรถีย์ เป็นอันมาก ......... มีปูรณกัสสปะ เป็นต้น ......... ก็กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นพระพุทธเจ้า

จาก (๒) ในโลกนี้ มีนักฟุตบอล มี เปเล่ เป็นต้น เป็นอันมาก ก็กล่าวว่า เราเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด
เป็น ...........  ในโลกนี้ มีนักฟุตบอล เป็นอันมาก ......... มี เปเล่ เป็นต้น ......... ก็กล่าวว่า เราเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด

ทีนี้ หากถามว่า คำว่า "นักฟุตบอลเป็นอันมาก" นี้หมายรวมไปถึง มาราโดน่า ด้วยหรือไม่ ?
มันก็ขึ้นอยู่กับว่า มาราโดน่า ได้เคยกล่าวเอาไว้หรือไม่ว่า ...... เราเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด
ถ้าเขาเคยกล่าวเอาไว้อย่างนั้น มาราโดน่า ก็ถูกรวมอยู่ในคำว่า "นักฟุตบอลเป็นอันมาก" ด้วย

เช่นเดียวกับกรณีของ สุทัตตะ เราก็เพียงแค่พิจารณาดูว่า สมณโคดม เคยกล่าวเอาไว้บ้างหรือไม่ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าๆ
ถ้า สมณโคดม เคยกล่าวอย่างนั้น คำว่า เดียรถีย์ ของ สุทัตตะ ต้องรวมความไปถึง สมณโคดม ด้วย อย่างมิอาจเป็นอย่างอื่นไปได้



ดังนั้น ถ้า ล็อกอิน cantonaz  ต้องการผูกประโยคภาษาไทย และ โชว์ตรรกะ ที่ถูกต้อง
คุณจะต้องทำให้ได้อย่างที่ผมแสดงให้เห็นอยู่นี่ นะครับ

เรื่อง มานีมานะ และ ชฎิล ๓ พี่น้อง มันก็ทำนองเดียวกันนี่แหละ ขอไม่อธิบายนะครับ (เสียเวลาเปล่า)

ชัดเจนนะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ประเด็นสุดท้าย ที่ดูเหมือนว่า ล็อกอิน cantonaz จะย้ำคิดย้ำทำอยู่ตลอดเวลา จนดูเหมือนกับว่า
นั่นจะเป็นหนทางในการเอาตัวรอด เส้นทางสุดท้ายของเขาเป็นแน่ กล่าวคือ

เขาพยายามสร้างเงื่อนไขขึ้นมาว่า หลักฐานที่ยกขึ้นมาอ้าง หรือ สามารถใช้โต้แย้งเขาได้
จะต้องเป็น หลักฐานที่ระบุอย่างชัดเจนว่า พุทธบริษัท เรียกศาสดาของตนว่า เดียรถีย์
โดยถามย้ำไปย้ำมา เหมือนคนที่มีอาการทางจิตประสาทว่า ........... สุทัตตะ นับถือศาสนาอะไร ?



ในเบื้องต้นนี้ คงต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนว่า เรากำลังถกเถียงกันในเรื่องอะไร ?

ประเด็นปัญหามันมีอยู่ว่า การที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า ท่านไม่ใช่เดียรถีย์ เพราะไม่ใช่ศาสดาเจ้าลัทธิ
แต่เป็นสาวกของเดียรถีย์ คือ พระพุทธเจ้า และท่านก็ไม่ใช่สาวกของ อัญญเดียรถีย์ด้วย

นี้เป็นคำกล่าวที่ถูก หรือ ผิด หรือ เป็นคำกล่าวที่มุ่งให้ร้ายพระพุทธเจ้า หรือไม่  และ อย่างไร ?



ดังนั้น แนวทางในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ จึงมีอยู่ว่า ..............

มีหลักฐานในพระไตรปิฎก และ อรรถกถา หรือไม่ว่า คำเดียรถีย์นี้ถูกใช้ในความหมายกลางๆ
ไม่ได้มีความหมายอย่างจำเพาะเจาะจงว่า ต้องหมายถึง พวกมิจฉาทิฐินอกพระพุทธศาสนาเท่านั้น !

ก็ถ้าปรากฏหลักฐานว่า เดียรถีย์ คำนี้ ถูกใช้ในความหมายกลางๆ จริง นั่นย่อมหมายความว่า
คำอธิบายทางภาษา(บาลี) ในสมัยพุทธกาล ของท่านพุทธทาส ถูกต้อง แต่ชาวพุทธสมัยนี้ เข้าใจผิดกันไปเอง

และถึงแม้ว่า ล็อกอิน cantonaz  จะพยายามเจาะจง "ตีกรอบ" เพื่อเอาตัวรอดอย่างปราศจากความละอายว่า
จะต้องมีข้อความในเงื่อนไขว่า พุทธบริษัท หรือ อริยบุคคล ในพระพุทธศาสนา เรียกพระพุทธเจ้า
ด้วยคำว่า เดียรถีย์ เท่านั้น เขาจึงจะยอมรับ ............ ซึ่งนี่ย่อมมิใช่ปัญหา แต่อย่างใดเลย นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่