ความรู้สึกเมื่อเข้ามาภายในวัดงุยเตาอูกัมมัฏฐาน (ห่างจากด่านท่าขี้เหล็ก ๑ กิโลเมตร) ความรู้สึกแรกที่เข้ามาภายในวัด รู้สึกแปลกๆ ดูสภาพแล้วไม่เหมือนวัดเลย ไม่มียอดอุโบสถ์ ไม่มียอดเจดีย์ เห็นแต่อาคารตึกที่พัก และอาคารปฏิบัติธรรม ดูเหมือนโรงแรมหรือรีสอร์ทเสียมากกว่า แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างว่า มิใช่เป็นไปอย่างที่คิด ก่อนมาคิดว่า วัดนี้คงเป็นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่ราบเรียบ เป็นเนินอยู่ในหุบเขากลางป่าที่มียุง,งูเห่าชุกชุม และเสียงอึ่งอ่างร้องน่ารำคาญ แต่พอเห็นสภาพจริงแล้วกลับตรงกันข้าม วัดมีสภาพราบเรียบเสมอกันหมดทั่วทั้งวัด เหมาะแก่การเดินจงกรมอย่างยิ่ง เห็นพระหลายท่านเดินไปมาช้า ๆ ด้วยอาการสำรวมกำหนดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดศรัทธาขึ้นมาว่า ถ้าผู้ปฏิบัติทุกคนปฏิบัติเคร่งครัดกันอย่างนี้ เราจะมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ไม่ได้แล้ว ด้วยความที่ตนเป็นคนทิฏฐิมานะจัด ทำอะไรก็มักเป็นที่ ๑ ที่ ๒ - ๕ อยู่เสมอ จึงตัดสินใจลงไปเดี๋ยวนั้นเลยว่า "ใครที่ปฏิบัติมานาน เคร่งครัดที่สุด ปฏิบัติดีที่สุด ฉันจะปฏิบัติให้ยิ่งกว่านั้นอีก" (... น่าจะเป็นความคิดชั่ววูบ มากกว่า เพราะต่อมาหลุดกำหนดตอนฉันเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนฉันก๋วยเตี๋ยว)
ส่วนเรื่องที่พัก ห้องน้ำจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สะอาด สะดวก สบายมาก เพราะมีพระภิกษุสามเณรภายในวัดคอยทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ด ถูอยู่เสมอ จนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้รู้สึกแปลกใจและซาบซึ้งน้ำใจอยู่พักหนึ่งว่า ทำไม่พระภิกษุสามเณรภายในวัดถึงได้บริการเราถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตนเองต้องเรียนอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งปฏิบัตินานไปก็ยิ่งรู้สึกทึ่งและซาบซึ้ง ตื้นตันใจว่า ชาตินี้คงไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกที่บริการเราถึงเพียงนี้ และที่สำคัญทุกอย่างได้มาฟรี ๆ ไม่ต้องบิณฑบาต ไม่ต้องกวาดขยะ ไม่ต้องล้างห้องน้ำ ฉันเสร็จแล้วก็ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องล้าง ลุกขึ้นได้ทันทีไม่ต้องรอเพื่อน ช่วงแรกผ้าก็ไม่ต้องซักและที่สำคัญสุดยอด คือ ฉันเช้าตั้งแต่ ๖ นาฬิกา จนลืมไปเลยว่าความหิวเป็นอย่างไร ด้วยเหตุที่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ ทำให้ข้าพเจ้าสำเหนียกขึ้นมาว่า เราต้องปฏิบัติให้เข็มงวดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆให้สมกับที่ทางสำนักคอยบริการ ถวายความสะดวกให้ทุกอย่าง
สำนักมีข้อบังคับว่า ต้องนั่งวิปัสสนาบัลลังก์ละ ๑ ชั่วโมง เดินจงกรม ๑ ชั่งโมงเป็นอย่างน้อย สองวันแรกรู้สึกสบาย ๆ มีปวดขาท้ายบัลลังก์บ้างเล็กน้อย เพราะเคยปฏิบัติมาแล้ว ๔ ครั้ง (ครั้งละ ๑๐ วัน ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป รู้สึกเสมือนว่าตนเองกำลังถูกจับทรมานให้เจ็บปวดอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ปวดแรงขึ้นๆ โดยเฉพาะที่ศีรษะ มันบีบรัดจนมึนงงไปหมด กำหนดอะไรก็ไม่ชัดเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบังเอาไว้หรืออารมณ์ที่จะกำหนดอยู่ไกลมากๆ จนแทบมองไม่เห็น ยิ่งพยายามกำหนดให้ชัด อาการบนศีรษะก็ยิ่งบีบรัดแรงขึ้น ๆ พอส่งจิตดูอาการปวดบนศีรษะก็ยิ่งปวดจนงง มีเส้นประสาทกระตุกเจ็บเป็นระยะ จากนั้นอาการทั้งหมดมารวมเป็นจุดเดียวกันที่หน้าผาก รู้สึกเจ็บๆ เสียวๆ ตามรากผม ยิ่งกำหนดคอก็เริ่มสั่น กล้ามเนื้อกระตุก รู้สึกว่าหน้าบูดเบี้ยวไม่เป็นรูปร่าง มึนงงจนไม่รู้ว่าตนเองนั่งอยู่ท่าไหน รู้สึกเหมือนตนเองนั่งเอาศีรษะลง ยิ่งกำหนดเข้าไปอีก ยิ่งรู้สึกเหมือนมีเข็มแทงอยู่ที่กลางหน้าผาก บางครั้งเหมือนมีน้ำเย็นๆฉีดใส่หน้าผากอย่างแรงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องนั่งเงยหน้า แล้วคอก็เริ่มสั่นแรงขึ้น ๆ พอถึงตอนนี้ทำให้หวนคิดถึงพระอาจารย์ชัชวาล (สำนักวิปัสสนาพุทธวิหาร นครนายก) ขึ้นมาทันที ที่ท่านเคยบอกวิธีแก้สภาวะนี้ ไว้ว่า "สภาวะนี้เรียกว่า สภาวะติดอุปทานขั้นรุนแรง อย่าส่งจิตไปกำหนดอาการบนศีรษะ ให้กำหนดตั้งแต่จมูกหรือคอลงมา และกำหนดเร็วๆ ไม่ต้องจดจ่อมาก" จึงนำความไปเรียนสยาดอ ท่านก็ไม่คัดค้าน หลังจากนั้นการกำหนดอารมณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น กำหนดได้ชัดและสะดวกขึ้น ทั้งๆที่อาการปกคลุมบนศีรษะก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใส่ใจ พยายามส่งจิตไปกำหนดอารมณ์อื่น แบบถี่ ๆ เร็วๆ แรงๆ เพื่อไม่ให้จิตไปรับรู้อาการบนศีรษะ นาน ๆ อาการบนศีรษะจึงจะรุนแรงทำให้มึนงงขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มลับแสงความมืดเข้าปกคลุม นั่งสมาธิรู้สึกเหมือนถูกฉาบทาไว้ด้วยความมืดมิด งงๆ เคว้งคว้าง จับอารมณ์กำหนดแทบไม่ได้เลย เหมือนถูกขังในคุกมืดมาเป็นร้อยๆปี พอไปสอบอารมณ์ช่วงเช้า จึงขอเปลี่ยนเวลาสอบเป็นช่วงค่ำ เพื่อจะได้ไม่ต้องนั่งสมาธิช่วงค่ำ
ด้วยความที่ตนมีสภาวะติดตัวมาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอิจฉาเพื่อน ๆ ว่า เราบุญน้อยจะทำให้ดี ให้เด่นก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เพื่อบางคนเริ่มปฏิบัติจาก ๑ แล้วค่อยไป ๒ ๓ - ๔ บางคนเริ่มจาก + ๑๐ ด้วยซ้ำ เพราะเคยปฏิบัติมาแล้วเป็นเดือนเป็นปี แต่เราต้องมาเริ่มที่ -๑๐ หรืออาจลบ -๑๐๐ เสียด้วยซ้ำ และนึกเปรียบการปฏิบัติวิปัสสนาเหมือนการใช้ดาบ ๒ มือฟาดฟัดกิเลสให้ถอยหนีไป หรือดับดิ้นไป เพื่อนคนอื่นเขาฟาดฟัดกิเลลด้วยดาบคู่กันอย่างสนุกมือ ทั้งซ้ายทั้งขวา แต่เรากลับใช้ดาบได้เพียงมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างหนึ่งต้องคอยถือโล่ชูเอาไว้เหนือศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้อาการบีบรัดบนศีรษะลงมารบกวนการกำหนดอารมณ์อื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องเพิ่มความเพียรขึ้นไปอีก เพื่อไล่ตามเพื่อนให้ทัน โดยการเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงขึ้นไป หลายครั้งเดินถึง ๒ ชั่วโมง สูงสุดเดินถึง ๒ ชั่วโมง ๕๐ นาที และนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงครึ่งขึ้นไป สูงสุดนั่งได้ถึง ๔ ชั่วโมง
ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑ เดือนเต็มพอดี สยาดอบอกว่า "ท่านถึงญาณที่ ๑๑ แล้วนะ เข้าสังขารุเปกขาญาณเป็นรูปแรกด้วย" ทำให้ข้าเจ้ารู้สึกแปลกใจ ผสมดีใจและสงสัยว่า ท่านเอาอะไรมาตัดสิน เพื่อนๆ หลายท่านนั่งเห็นแสงสี ตัวเบา ตัวลอย แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นมีอะไรเลย ยังรู้สึกเจ็บๆ ปวดอยู่บางบัลลังก์ด้วยซ้ำ แต่ทำไม่เข้าสังขารุฯ เป็นรูปแรก" แต่ไม่ได้สอบถาม ด้วยเข้าใจว่าท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สอบอารมณ์มากกว่า ๓๐ ปี คงจะมีหลักในการตัดสินของท่าน
ขอย้อนกลับไปเล่าตอนต่อสู้กับเวทนา ญาณ ๒-๓ ดังนี้
ปฏิบัติวันแรก นั่งแบบสบาย ๆ ไม่ปวดมากนัก ทำให้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องว่า นั่ง ๑ ชั่วโมงแบบนี้สบายมาก คนอื่นคงนั่งทรมานกันน่าดู เห็นบางคนนั่งบิดไปบิดมา เดี๋ยวก็ขยับ ๆ แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ แรงขึ้น ๆๆ พอวันที่ ๕ นั่งได้ ๓๐ นาที มีแต่สภาวเวทนาล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นบนเลย ปวดเจ็บไปทั่วถึงเยื่อในกระดูก เห็นเส้นเอ็นขาปวดตึงแน่นเป็นริ้ว ๆ ฝอย ๆ ยิ่งกำหนดไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าอาการปวดจะลดลงเลย ยิ่งกำหนดยิ่งปวดลึก ทำให้เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า "นี้มันเวรกรรมอะไรกันนะ ทำไมนั่งแค่ ๓๐ นาทีถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวถึงขนาดนี้ ชาติก่อนคงเคยไปหักแข้งหักขาใครไว้แน่ เวรกรรมจึงได้มาสนองเอาตอนนี้" แต่ก็ยังพยายามทนนั่งกำหนดต่อไปจนครบชั่วโมง คิดเสียว่าเป็นการชดใช้กรรม
วันที่ ๘ เจ้าพระคุณเอ๋ย ? อะไรกันเนี๊ย นั่ง ๕ นาทีเหมือนนั่ง ๑ ชั่วโมงเลย มันเจ็บปวดตึงแน่นมึนงงไปหมด ส่งจิตพุ่งตรงจี้ไปที่เวทนาที่ขาขวาแล้วกำหนดแบบไม่ยั้ง ความรู้สึกตอนนั้น "ภูเขาจะถล่ม ผืนดินจะทลาย โลกจะแตกก็ไม่สนแล้ว ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอย่างเดียว กำหนดแบบถี่ๆเร็วๆแรงๆ กราดเป็นชุดๆ ยิ่งกว่าปืนกลเสียอีก ทุกนัดพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกันคือเวทนาที่ขาขวา ไม่พลาดแม้แต่นัดเดียว แต่เอะ! ทำไม? ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งกำหนดยิ่งตึงแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย เหมือนยิ่งกำหนดก็ยิ่งไปเพิ่มกำลังให้มัน กำหนดจนเห็นกระดูกขาขาวจั๊ว มีเส้นเอ็นเป็นริ้วๆ ฝอยๆ อยู่รายรอบ ผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที แค่กำหนด "ปวดหนอ ๆๆ" อย่างเดียวเอาไม่อยู่แล้ว จะออกแล้ว คิดอยากจะออกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลัวเสียสัจจะมากกว่า ("เกิดเป็นลูกผู้ชาย ชาติพระ ต้องพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ") มาถึงขั้นนี้แล้วถอยไม่ได้ บุกไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอย พอคิดจบจิตอยากจะออกก็ผุดขึ้นมาอีก " ลูกผู้ชง.. ลูกผู้ชาย อะไรนั่นหนะ? เอาไว้บัลลังก์หน้าก็แล้วกัน บัลลังก์นี้ขอถอยตั้งหลักก่อน" ทำท่าว่าจะออกจากสมาธิด้วยเวลาเพียงประมาณ ๓๐ นาที ทันใดนั้นเองคำบริกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก็ผุดขึ้นในมโนสำนึก "ตาย เป็นตาย.." จากนั้นคำบริกรรม จากเดิมที่มีเพียง "ปวดหนอ ๆๆๆๆ" ก็เพิ่มเป็น " ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดหนอๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.." พยายามนั่งต่อไปได้อีกประมาณ ๑๐ นาที (รวมเป็น ๔๐ นาที) อยู่ดีๆ ก็มีความคิดแทรกเข้ามาว่า "เอ๊อ นาฬิกาทำไมไม่ดังซะทีนะ" พอรู้ทันก็กำหนด "คิดหนอๆๆๆๆ" จนความคิดดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อ "ปวดหนอๆๆๆๆๆๆ ตาย..เป็นตาย" ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก "สงสัยนาฬิกาเสีย??" พอรู้ทันก็กำหนด "คิดหนอๆๆๆ" จนความคิดนั้นดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อไป ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก "สงสัยนาฬิกาเสียจริงๆ ออกละ" ค่อยๆขยับขาออก (อาการปวดหายไปโดยฉับพลันอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ ๑๐ วินาทีก่อนปวดขาแทบตาย แต่บัดนี้กลับไม่มีอาการเช่นนั้นอยู่เลย สยาดอบอกว่า อาการปวดเกิดจากกำลังสมาธิที่แรงขึ้นไปเรื่อยๆ) แล้วค่อย ๆ เปิดตาขึ้นดูนาฬิกา เวลาผ่านไปเพียง ๕๐ นาที ไม่ครบชั่วโมง ขาดไป ๑๐ นาที รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
บัลลังก์ต่อ ๆ มาไม่ต่างจากบัลลังนี้เท่าไหรนัก แต่นั่งได้ครบชั่วโมงทุกบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งเห็นชีพจรเต้นตุ๊บตั๊บๆๆ ทั่วทั้งร่างกาย ร้อยผ่าวไปทั่ว เห็นตัวเองห่อหุ้มไปด้วยผืนหนังสีขาวเป็นริ้วๆ ฝอยๆ บางบัลลังก์นั่งไปก็นึกสงสารตัวเองไป "ในโลกนี้ยังมีใครน่าเวทนาสงสารกว่าเราอีกไม่เนี๊ย? แค่พลิกขานิดเดียวก็หายปวดทรมานแล้ว แต่สัจจะบารมีไม่ให้พลิก ก็ต้องนั่งปวดหนอๆ อยู่อย่างนี้แหละ" บางบัลลังก์นั่งกำหนดไปเรื่อยๆ นึกอยากร้องให้ก็ร้องเลย(มีสะอื้นด้วย) แต่ก็พยายามเก็บเสียงเอาไว้ กลัวเพื่อนได้ยิน จะเป็นการรบกวนสมาธิ (ข้อ....าง) บางครั้งก็นึกอยากตายขึ้นมา ขณะที่นั่งปวดสุดๆ นั้นอยากให้รถที่มีล้อโตๆ ทับทีเดียวให้ตายไปเลย.. ความเจ็บปวดก็คงไม่ต่างกันนัก แต่นั่งให้รถทับน่าจะดีกว่า เจ็บแป๊บเดียวแล้วก็ตายไปเลย ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ส่วนการนั่งกำหนดแบบนี้ ปวดสุดๆ ตั้งแต่ ๕-๑๐ นาทีแรก แล้วค้างเต่ง..อยู่อย่างนั้นจนครบชั่วโมง จะเพิ่ม..ก็ไม่เพิ่ม จะลดก็ไม่ลด ถ้าเวทนาปวดแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยังรู้สึกดีกว่านี้ เพราะเมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้วก็คงจะลดลงบ้าง แล้วหายไปในที่สุด แต่นี่อะไร..?? ไม่เพิ่ม ไม่ลด ค้างอยู่นั่นแหละ นี่มันนรกชัดๆ "...ูอยากตาย?? "
บางครั้งนึกสนุก นึกถึงโฆษณาขายสินค้าทาง T.V. จึงพูดส่งเสียงออกมาให้เพื่อน ๆได้ยินว่า "โอ้ลอร่า..บัลลังก์นี้จอช์จปวดมากเลยอะ?" หรือ " โอ้ พระเจ้าจอช์จ มันปวดมากๆๆ" วันต่อ ๆ มาได้ยินเพื่อน ๆ พูดตามกันหลายรูป
ตั้งแต่วันที่ ๑๓-๑๔ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ ลดลง แต่ไม่หายขาด มีปวดแรงบ้างท้ายบัลลังก์
วันที่ ๒๓ เป็นต้นไป เวทนามีหายไปบ้างในบางบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งได้ถึง ๒ ชั่วโมง พอเวทนาที่ขาเริ่มลดลง อาการปวดรัดบนศีรษะก็กลับปรากฎชัดขึ้นมาอีก(อย่างที่เคยเล่ามาแล้ว) แต่ก็พอทนได้ กำหนดดูอาการเกิดดับของสภาวะต่างๆได้ดีขึ้น และค่อย ๆ ชัดขึ้น อาการบนศีรษะไม่ลงมารบกวนบ่อยนัก
ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม 7 เดือนของท่านพระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี
ส่วนเรื่องที่พัก ห้องน้ำจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สะอาด สะดวก สบายมาก เพราะมีพระภิกษุสามเณรภายในวัดคอยทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ด ถูอยู่เสมอ จนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้รู้สึกแปลกใจและซาบซึ้งน้ำใจอยู่พักหนึ่งว่า ทำไม่พระภิกษุสามเณรภายในวัดถึงได้บริการเราถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตนเองต้องเรียนอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งปฏิบัตินานไปก็ยิ่งรู้สึกทึ่งและซาบซึ้ง ตื้นตันใจว่า ชาตินี้คงไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกที่บริการเราถึงเพียงนี้ และที่สำคัญทุกอย่างได้มาฟรี ๆ ไม่ต้องบิณฑบาต ไม่ต้องกวาดขยะ ไม่ต้องล้างห้องน้ำ ฉันเสร็จแล้วก็ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องล้าง ลุกขึ้นได้ทันทีไม่ต้องรอเพื่อน ช่วงแรกผ้าก็ไม่ต้องซักและที่สำคัญสุดยอด คือ ฉันเช้าตั้งแต่ ๖ นาฬิกา จนลืมไปเลยว่าความหิวเป็นอย่างไร ด้วยเหตุที่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ ทำให้ข้าพเจ้าสำเหนียกขึ้นมาว่า เราต้องปฏิบัติให้เข็มงวดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆให้สมกับที่ทางสำนักคอยบริการ ถวายความสะดวกให้ทุกอย่าง
สำนักมีข้อบังคับว่า ต้องนั่งวิปัสสนาบัลลังก์ละ ๑ ชั่วโมง เดินจงกรม ๑ ชั่งโมงเป็นอย่างน้อย สองวันแรกรู้สึกสบาย ๆ มีปวดขาท้ายบัลลังก์บ้างเล็กน้อย เพราะเคยปฏิบัติมาแล้ว ๔ ครั้ง (ครั้งละ ๑๐ วัน ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป รู้สึกเสมือนว่าตนเองกำลังถูกจับทรมานให้เจ็บปวดอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ปวดแรงขึ้นๆ โดยเฉพาะที่ศีรษะ มันบีบรัดจนมึนงงไปหมด กำหนดอะไรก็ไม่ชัดเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบังเอาไว้หรืออารมณ์ที่จะกำหนดอยู่ไกลมากๆ จนแทบมองไม่เห็น ยิ่งพยายามกำหนดให้ชัด อาการบนศีรษะก็ยิ่งบีบรัดแรงขึ้น ๆ พอส่งจิตดูอาการปวดบนศีรษะก็ยิ่งปวดจนงง มีเส้นประสาทกระตุกเจ็บเป็นระยะ จากนั้นอาการทั้งหมดมารวมเป็นจุดเดียวกันที่หน้าผาก รู้สึกเจ็บๆ เสียวๆ ตามรากผม ยิ่งกำหนดคอก็เริ่มสั่น กล้ามเนื้อกระตุก รู้สึกว่าหน้าบูดเบี้ยวไม่เป็นรูปร่าง มึนงงจนไม่รู้ว่าตนเองนั่งอยู่ท่าไหน รู้สึกเหมือนตนเองนั่งเอาศีรษะลง ยิ่งกำหนดเข้าไปอีก ยิ่งรู้สึกเหมือนมีเข็มแทงอยู่ที่กลางหน้าผาก บางครั้งเหมือนมีน้ำเย็นๆฉีดใส่หน้าผากอย่างแรงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องนั่งเงยหน้า แล้วคอก็เริ่มสั่นแรงขึ้น ๆ พอถึงตอนนี้ทำให้หวนคิดถึงพระอาจารย์ชัชวาล (สำนักวิปัสสนาพุทธวิหาร นครนายก) ขึ้นมาทันที ที่ท่านเคยบอกวิธีแก้สภาวะนี้ ไว้ว่า "สภาวะนี้เรียกว่า สภาวะติดอุปทานขั้นรุนแรง อย่าส่งจิตไปกำหนดอาการบนศีรษะ ให้กำหนดตั้งแต่จมูกหรือคอลงมา และกำหนดเร็วๆ ไม่ต้องจดจ่อมาก" จึงนำความไปเรียนสยาดอ ท่านก็ไม่คัดค้าน หลังจากนั้นการกำหนดอารมณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น กำหนดได้ชัดและสะดวกขึ้น ทั้งๆที่อาการปกคลุมบนศีรษะก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใส่ใจ พยายามส่งจิตไปกำหนดอารมณ์อื่น แบบถี่ ๆ เร็วๆ แรงๆ เพื่อไม่ให้จิตไปรับรู้อาการบนศีรษะ นาน ๆ อาการบนศีรษะจึงจะรุนแรงทำให้มึนงงขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มลับแสงความมืดเข้าปกคลุม นั่งสมาธิรู้สึกเหมือนถูกฉาบทาไว้ด้วยความมืดมิด งงๆ เคว้งคว้าง จับอารมณ์กำหนดแทบไม่ได้เลย เหมือนถูกขังในคุกมืดมาเป็นร้อยๆปี พอไปสอบอารมณ์ช่วงเช้า จึงขอเปลี่ยนเวลาสอบเป็นช่วงค่ำ เพื่อจะได้ไม่ต้องนั่งสมาธิช่วงค่ำ
ด้วยความที่ตนมีสภาวะติดตัวมาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอิจฉาเพื่อน ๆ ว่า เราบุญน้อยจะทำให้ดี ให้เด่นก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เพื่อบางคนเริ่มปฏิบัติจาก ๑ แล้วค่อยไป ๒ ๓ - ๔ บางคนเริ่มจาก + ๑๐ ด้วยซ้ำ เพราะเคยปฏิบัติมาแล้วเป็นเดือนเป็นปี แต่เราต้องมาเริ่มที่ -๑๐ หรืออาจลบ -๑๐๐ เสียด้วยซ้ำ และนึกเปรียบการปฏิบัติวิปัสสนาเหมือนการใช้ดาบ ๒ มือฟาดฟัดกิเลสให้ถอยหนีไป หรือดับดิ้นไป เพื่อนคนอื่นเขาฟาดฟัดกิเลลด้วยดาบคู่กันอย่างสนุกมือ ทั้งซ้ายทั้งขวา แต่เรากลับใช้ดาบได้เพียงมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างหนึ่งต้องคอยถือโล่ชูเอาไว้เหนือศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้อาการบีบรัดบนศีรษะลงมารบกวนการกำหนดอารมณ์อื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องเพิ่มความเพียรขึ้นไปอีก เพื่อไล่ตามเพื่อนให้ทัน โดยการเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงขึ้นไป หลายครั้งเดินถึง ๒ ชั่วโมง สูงสุดเดินถึง ๒ ชั่วโมง ๕๐ นาที และนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงครึ่งขึ้นไป สูงสุดนั่งได้ถึง ๔ ชั่วโมง
ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑ เดือนเต็มพอดี สยาดอบอกว่า "ท่านถึงญาณที่ ๑๑ แล้วนะ เข้าสังขารุเปกขาญาณเป็นรูปแรกด้วย" ทำให้ข้าเจ้ารู้สึกแปลกใจ ผสมดีใจและสงสัยว่า ท่านเอาอะไรมาตัดสิน เพื่อนๆ หลายท่านนั่งเห็นแสงสี ตัวเบา ตัวลอย แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นมีอะไรเลย ยังรู้สึกเจ็บๆ ปวดอยู่บางบัลลังก์ด้วยซ้ำ แต่ทำไม่เข้าสังขารุฯ เป็นรูปแรก" แต่ไม่ได้สอบถาม ด้วยเข้าใจว่าท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สอบอารมณ์มากกว่า ๓๐ ปี คงจะมีหลักในการตัดสินของท่าน
ขอย้อนกลับไปเล่าตอนต่อสู้กับเวทนา ญาณ ๒-๓ ดังนี้
ปฏิบัติวันแรก นั่งแบบสบาย ๆ ไม่ปวดมากนัก ทำให้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องว่า นั่ง ๑ ชั่วโมงแบบนี้สบายมาก คนอื่นคงนั่งทรมานกันน่าดู เห็นบางคนนั่งบิดไปบิดมา เดี๋ยวก็ขยับ ๆ แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ แรงขึ้น ๆๆ พอวันที่ ๕ นั่งได้ ๓๐ นาที มีแต่สภาวเวทนาล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นบนเลย ปวดเจ็บไปทั่วถึงเยื่อในกระดูก เห็นเส้นเอ็นขาปวดตึงแน่นเป็นริ้ว ๆ ฝอย ๆ ยิ่งกำหนดไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าอาการปวดจะลดลงเลย ยิ่งกำหนดยิ่งปวดลึก ทำให้เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า "นี้มันเวรกรรมอะไรกันนะ ทำไมนั่งแค่ ๓๐ นาทีถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวถึงขนาดนี้ ชาติก่อนคงเคยไปหักแข้งหักขาใครไว้แน่ เวรกรรมจึงได้มาสนองเอาตอนนี้" แต่ก็ยังพยายามทนนั่งกำหนดต่อไปจนครบชั่วโมง คิดเสียว่าเป็นการชดใช้กรรม
วันที่ ๘ เจ้าพระคุณเอ๋ย ? อะไรกันเนี๊ย นั่ง ๕ นาทีเหมือนนั่ง ๑ ชั่วโมงเลย มันเจ็บปวดตึงแน่นมึนงงไปหมด ส่งจิตพุ่งตรงจี้ไปที่เวทนาที่ขาขวาแล้วกำหนดแบบไม่ยั้ง ความรู้สึกตอนนั้น "ภูเขาจะถล่ม ผืนดินจะทลาย โลกจะแตกก็ไม่สนแล้ว ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอย่างเดียว กำหนดแบบถี่ๆเร็วๆแรงๆ กราดเป็นชุดๆ ยิ่งกว่าปืนกลเสียอีก ทุกนัดพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกันคือเวทนาที่ขาขวา ไม่พลาดแม้แต่นัดเดียว แต่เอะ! ทำไม? ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งกำหนดยิ่งตึงแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย เหมือนยิ่งกำหนดก็ยิ่งไปเพิ่มกำลังให้มัน กำหนดจนเห็นกระดูกขาขาวจั๊ว มีเส้นเอ็นเป็นริ้วๆ ฝอยๆ อยู่รายรอบ ผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที แค่กำหนด "ปวดหนอ ๆๆ" อย่างเดียวเอาไม่อยู่แล้ว จะออกแล้ว คิดอยากจะออกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลัวเสียสัจจะมากกว่า ("เกิดเป็นลูกผู้ชาย ชาติพระ ต้องพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ") มาถึงขั้นนี้แล้วถอยไม่ได้ บุกไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอย พอคิดจบจิตอยากจะออกก็ผุดขึ้นมาอีก " ลูกผู้ชง.. ลูกผู้ชาย อะไรนั่นหนะ? เอาไว้บัลลังก์หน้าก็แล้วกัน บัลลังก์นี้ขอถอยตั้งหลักก่อน" ทำท่าว่าจะออกจากสมาธิด้วยเวลาเพียงประมาณ ๓๐ นาที ทันใดนั้นเองคำบริกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก็ผุดขึ้นในมโนสำนึก "ตาย เป็นตาย.." จากนั้นคำบริกรรม จากเดิมที่มีเพียง "ปวดหนอ ๆๆๆๆ" ก็เพิ่มเป็น " ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดหนอๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.." พยายามนั่งต่อไปได้อีกประมาณ ๑๐ นาที (รวมเป็น ๔๐ นาที) อยู่ดีๆ ก็มีความคิดแทรกเข้ามาว่า "เอ๊อ นาฬิกาทำไมไม่ดังซะทีนะ" พอรู้ทันก็กำหนด "คิดหนอๆๆๆๆ" จนความคิดดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อ "ปวดหนอๆๆๆๆๆๆ ตาย..เป็นตาย" ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก "สงสัยนาฬิกาเสีย??" พอรู้ทันก็กำหนด "คิดหนอๆๆๆ" จนความคิดนั้นดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อไป ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก "สงสัยนาฬิกาเสียจริงๆ ออกละ" ค่อยๆขยับขาออก (อาการปวดหายไปโดยฉับพลันอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ ๑๐ วินาทีก่อนปวดขาแทบตาย แต่บัดนี้กลับไม่มีอาการเช่นนั้นอยู่เลย สยาดอบอกว่า อาการปวดเกิดจากกำลังสมาธิที่แรงขึ้นไปเรื่อยๆ) แล้วค่อย ๆ เปิดตาขึ้นดูนาฬิกา เวลาผ่านไปเพียง ๕๐ นาที ไม่ครบชั่วโมง ขาดไป ๑๐ นาที รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
บัลลังก์ต่อ ๆ มาไม่ต่างจากบัลลังนี้เท่าไหรนัก แต่นั่งได้ครบชั่วโมงทุกบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งเห็นชีพจรเต้นตุ๊บตั๊บๆๆ ทั่วทั้งร่างกาย ร้อยผ่าวไปทั่ว เห็นตัวเองห่อหุ้มไปด้วยผืนหนังสีขาวเป็นริ้วๆ ฝอยๆ บางบัลลังก์นั่งไปก็นึกสงสารตัวเองไป "ในโลกนี้ยังมีใครน่าเวทนาสงสารกว่าเราอีกไม่เนี๊ย? แค่พลิกขานิดเดียวก็หายปวดทรมานแล้ว แต่สัจจะบารมีไม่ให้พลิก ก็ต้องนั่งปวดหนอๆ อยู่อย่างนี้แหละ" บางบัลลังก์นั่งกำหนดไปเรื่อยๆ นึกอยากร้องให้ก็ร้องเลย(มีสะอื้นด้วย) แต่ก็พยายามเก็บเสียงเอาไว้ กลัวเพื่อนได้ยิน จะเป็นการรบกวนสมาธิ (ข้อ....าง) บางครั้งก็นึกอยากตายขึ้นมา ขณะที่นั่งปวดสุดๆ นั้นอยากให้รถที่มีล้อโตๆ ทับทีเดียวให้ตายไปเลย.. ความเจ็บปวดก็คงไม่ต่างกันนัก แต่นั่งให้รถทับน่าจะดีกว่า เจ็บแป๊บเดียวแล้วก็ตายไปเลย ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ส่วนการนั่งกำหนดแบบนี้ ปวดสุดๆ ตั้งแต่ ๕-๑๐ นาทีแรก แล้วค้างเต่ง..อยู่อย่างนั้นจนครบชั่วโมง จะเพิ่ม..ก็ไม่เพิ่ม จะลดก็ไม่ลด ถ้าเวทนาปวดแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยังรู้สึกดีกว่านี้ เพราะเมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้วก็คงจะลดลงบ้าง แล้วหายไปในที่สุด แต่นี่อะไร..?? ไม่เพิ่ม ไม่ลด ค้างอยู่นั่นแหละ นี่มันนรกชัดๆ "...ูอยากตาย?? "
บางครั้งนึกสนุก นึกถึงโฆษณาขายสินค้าทาง T.V. จึงพูดส่งเสียงออกมาให้เพื่อน ๆได้ยินว่า "โอ้ลอร่า..บัลลังก์นี้จอช์จปวดมากเลยอะ?" หรือ " โอ้ พระเจ้าจอช์จ มันปวดมากๆๆ" วันต่อ ๆ มาได้ยินเพื่อน ๆ พูดตามกันหลายรูป
ตั้งแต่วันที่ ๑๓-๑๔ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ ลดลง แต่ไม่หายขาด มีปวดแรงบ้างท้ายบัลลังก์
วันที่ ๒๓ เป็นต้นไป เวทนามีหายไปบ้างในบางบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งได้ถึง ๒ ชั่วโมง พอเวทนาที่ขาเริ่มลดลง อาการปวดรัดบนศีรษะก็กลับปรากฎชัดขึ้นมาอีก(อย่างที่เคยเล่ามาแล้ว) แต่ก็พอทนได้ กำหนดดูอาการเกิดดับของสภาวะต่างๆได้ดีขึ้น และค่อย ๆ ชัดขึ้น อาการบนศีรษะไม่ลงมารบกวนบ่อยนัก