ความเป็นไปได้จากการหา " มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น"
ก่อนเราจะมาหา "ความเป็นไปได้ของมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น" นะครับ
เราคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น เพื่อ วิเคราะห์ว่าราคาของหุ้นตัวนั้นๆเหมาะสมหรือไม่ มันแพงเกินไปหรือถูกเกินไป หากเราจะเข้าซื้อนะครับ
เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว !!!!
ผมขอเน้นคำว่าระยะยาวนะครับ เพราะ บริษัทที่เราจะเลือกจะต้อง "เติบโตอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกๆปี"
ซึ่งหากคุณคิดจะลงทุน "ระยะสั้น" ก็ไม่ต้องคำนวณครับ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้น เหมือนการคาดการณ์ กำไรในอนาคต
ซึ่งแน่นอน จะต้องมี 1. % ความคลาดเคลื่อน
2. % ความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ก่อนอื่นคุณจะต้องได้หุ้นตัวนั้นมาก่อน หากเราต้องการลงทุนในระยะยาว (แนว VI)
อันนี้เป็นวิธีการเลือกหุ้นของผมนะครับ
หากผมต้องการลงทุนในระยะยาว ผมจะดูเรียงลำดับตามนี้นะครับ
1. กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีโอกาศเติบโตได้
และ ที่สำคัญมาก ราคาต้อง "ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว (cash cow)" หมายความว่า บริษัททำกำไรได้มากขึ้นเรื่อยๆทุกๆปี
2. ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูง (เงินปันผล)
3. อนาคตกำไรมั่นคงและมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี (สัก 20% - 30 %)
4. P/E ย้อนหลัง 5 ปี น้อยลงเรื่อยๆ P/BV และ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นต้องน้อยๆ ยิ่งน้อยยิ่งดี ถ้า สูงกว่าราคาในกระดานยิ่งดี
สมมุติ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 0.9 ราคาตอนนี้ 0.5 หากบริษัทล้ม เราก็ยังได้หุ้นคืนในอัตรา 0.9 บาท/หุ้น (เพื่อลดความเสี่ยง)
5. ROA และ ROE ต้องสูงๆ เพื่อดูความสามารถในการทำกำไร
ผมขอเน้น P/E ต้องต่ำ และ ROE ต้องสูง ไม่จำเป็นต้องสูงสุดหรือต่ำสุดในกลุ่มอุตสาหกรรม แต่เอาที่มันมี % ต่ำกับสูง ใกล้เคียงกัน
ที่เน้น P/E กัย ROE มากสุดเวลาลงทุนในระยะยาว เพราะ มันจะให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นมากสุด และ อัตราการคืนทุน ที่ต่ำสุด นั่นเอง
ทั้งหมดนั้น เราห้ามเอาหุ้นที่เราเลือกไปเปรียบกับหุ้นกลุ่มอื่นเด็ดขาด ยกเว้น ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
สมมุติหุ้นกลุ่ม อสังหา ก็ต้องเทียบแค่ กลุ่มอสังหา ไม่ใช่ไปเทียบกับ กลุ่มอื่น นะครับ
เพราะ อย่างเช่น หุ้นหลุ่มอสังหา ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูง ทุกๆครั้งเวลาจะก่อสร้างขยายกิจการของตนเอง
หากมีความน่าเชื่อถืออยุ่แล้ว ธนาคารก็อาจจะให้กู้สูงถึง 90 % แต่หากขายไม่ได้ล่ะ เงินหมุนเวียนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเงินทุน ต้องนำมาใช้
ซึ่งค่อนข้างที่จะไม่แน่นอน เวลาคาดการณ์กำไรในอนาคต
อย่างกลุ่ม สินค้า หรือของใช้ประจำ เวลาเราผลิตแล้ว เราจะต้อง ส่งออกสินค้า ไปทั้งในประเทศ และนอกประเทศ ซึ่งราคาความ
คลาดเคลื่อนนี้แหละ ซึ่งอาจจะคาดกำไรในอนาคตไม่ได้ กลุ่มอสังหา ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น เวลาจะคำนวณมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
ความเป็นไปได้จะน้อยลงเช่นกัน !!
บริษัทที่กิจการ "เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ" คาดว่ากำไรจะโตถึงปีละ 20% ต่อปีและจะโตไปอีกหลายปี ซึ่งเราเอากำไรที่คาดในอนาคต
แต่ !!! มันก็มีกรณีที่จะเกิด % ความคลาดเคลื่อน มีอยุ่ 2 กรณี เช่นกันครับ
1. บริษัทอาจจะโตขึ้น 20% ก็จริง แต่เป็นการโตแค่ปีเดียวเนื่องจากเป็นเรื่องของภาวะอุตสาหกรรมที่เอื้ออำนวยไม่ได้เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน
หลังจากนั้นอาจจะเติบโตลดลงก็ได้
2. PE ในอดีต อาจจะใช้ไม่ได้ เพราะบริษัทอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน อยู่ๆ บริษัทเกิด ขาดทุน เพราะเหตุผลต่างๆ ซึ่งอาจเปลี่ยน "พื้นฐานใหม่"
ผมจึงคิดว่า มันยากที่จะมาคำนวณในตลาดบ้านเรา ซึ่งมีความไม่แน่นอน และ ขึ้นอยู่กับกลุ่มอุตสาหกรรม ค่อนข้างมาก
สมมุติ หุ้นชื่อ " XX " นะครับ
พอผมได้ หุ้น XX มาแล้ว ก่อนที่ผมจะเข้าไปซื้อ ผมก็ต้องคำนวณหาราคาในอนาคต ว่าจะไปอยู่ที่เท่าไร ซึ่งเป็นเพียง "การคาดการณ์ในอนาคต"
โดยหุ้นตัวที่ผมเลือก สมมุติให้ กำไรเติบโตมากขึ้นทุกๆปี และ มั่นคง
พอดีผมไม่ได้สมัครสมาชิก ลงรูปไม่ได้นะครับ ลองดูใน www.set.or.th ประกอบนะครับ
ให้ดูงบย้อนหลัง 5 ปีนะครับ (ผมใช้ข้อมูลจริงนะครับ แต่จะสมมุติชื่อหุ้น)
ราคาหุ้นล่าสุด 3.9 บาท/หุ้น
P/E ปี 2557 (ไตรมาส 1) : 10.8 เท่า (ไม่ใช้ปีนี้คำนวณนะครับ)
P/E ปี 2556 : 7.35 เท่า
P/E ปี 2555 : 11.42 เท่า
P/E ปี 2554 : 10.43 เท่า
P/E ปี 2553 : 8.74 เท่า
ตอนนี้งบออกแค่ ไตรมาสแรกของปี 2557 ดังนั้น ใช้ P/E ของปี 2557 ไม่ได้
มันเป็น P/E หลอก ลองเอาราคา ล่าสุดของเดือนกุมภาพันธ์ มาหารกำไรต่อหุ้นดู ซึ่งจะไม่ได้ P/E ตามนั้น
ดังนั้นเราต้องคำนวณกำไรของบริษัทจริง เอง
กำไรต่อหุ้น = กำไรสุทธิ / จำนวณหุ้นสามัญของบริษัทที่ชำระแล้ว
= 631.86 / 9,183.77
= 0.0688 (เศษ ให้ปัดขึ้นนะครับ)
แล้วนำมันมาหา P/E = ราคาหุ้น / กำไรสุทธิ (สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์)
= 2.8 / 0.07
= 40 เท่า
ซึ่งเป็น P/E ที่แท้จริง ต่อนะครับ (แต่ผมไม่นำมาคำนวณอยู่ดีนะครับ เพราะแค่ไตรมาสเดียวใช้กับกลุ่มนี้ไม่ได้ครับ)
P/E เฉลี่ยต่อปี (3 ปีย้อนหลัง) = (7.35 + 11.42 + 10.43 ) / 3 = 9.733
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2557 (ไตรมาส 1) : 0.07 (ไม่ใช้ครับ)
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2556 : 0.36
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2555 : 0.26
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2554 : 0.10
กำไรสุทธิต่อหุ้น เฉลี่ย (3 ปี ย้อนหลัง) : (0.36 + 0.26 + 0.1) / 3 = 0.24
กำไรที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน (%) = ( [ การเพิ่มขึ้นแบบเฉลี่ย ของอัตรากำไรสุทธิ(%) ต่อปี ] x 100 ) / [ อัตรากำไรสุทธิ(%) ปีก่อน ]
= (0.0067 x 100) / 0.16 = 4.1875 (ผมปัดเป็น 4.19)
ผมไม่คิด ปี 2557 นะครับ เพราะมีแค่ 1 ไตรมาส
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2556 : 0.1579 (ปัดขึ้นนะครับ เอาแค่ทศนิยม 2 หลัก)
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2555 : 0.1568
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2554 : 0.0799
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2553 : 0.1413
อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย (%) ต่อปี : [ (0.16 - 0.16) + (0.16 - 0.08) + (0.08 - 0.14) ] / 3 = 0.0067
ขอเสริมนะครับสำหรับมือใหม่
อัตรากำไรสุทธิ = กำไรสุทธิ / รายได้ (อันนี้ต้องคำนวณเองนะครับ เค้าไม่ได้คำนวณมาให้)
ผมจะมาคาดการณ์ อัตรากำไรสุทธิของบริษัทปลายปีก่อนนะครับ (ไตรมาส 2,3,4)
อัตรากำไรสุทธิ % ปี 2556 (ปีก่อนปีล่าสุด) + อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย (%) ต่อปี (4 ปีย้อนหลัง)
อัตราสุทธิปีล่าสุดจากการคาดการณ์ = 0.0067 + 0.16 = 0.167
0.167 เป็นการณ์คาดการณ์ อัตรากำไรสุทธิในปีปัจจุบัน โดยดูความสม่ำเสมอปีก่อนๆของกำไรตั้วนั้นๆครับ
คำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนะครับ
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = (P/E_เฉลี่ยของ10ไตรมาสย้อนหลัง หรือ P/E_คาดการณ์เอง) x (กำไรต่อหุ้นเฉลี่ย_3ปีก่อน + [(กำไรต่อหุ้นเฉลี่ย_3ปี ก่อน x กำไรที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ) / 100] )
= 0.24 * (0.0067 + 15) = 3.6 บาท/หุ้น
ต่อมาเราจะมาคำนวณ เปอร์เซ็นของ "margin of safety"
เปอร์เซ็นของ "margin of safety" = 100 - [(ราคาหุ้นปัจจุบัน x 100) / ราคาที่น่าจะเป็นเมื่อจบปี56]
= 100 - [(3.9 * 100 ) / 3.6 ]
= 8.33 %
ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3.9 บาท/หุ้น
ส่วนเผื่อความปลอดภัย 8.33 % ถือว่าเข้าตอนราคา 3.6 บาท/ หุ้น ถือว่าปลอดภัย
ลองสังเกตุดูนะครับ ว่าผมใช้ วิธีเดา กำไรในอนาคตของหุ้นตัวนี้ ว่าจะขึ้นสูงถึง 15 % ซึ่งตามจริงอาจจะเป็นไปไม่ได้
แต่ที่ตั้งไว้เพราะตัวนี้ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ รายได้ไม่มั่นคง บางปีน้อย บางปีเยอะ (ด้วยเหตุผลด้านของธุรกิจ) จึงใช้การคาดเดา
ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้นะครับ กำไรในอนาคต อยู่ๆจะมาเดามั่วๆไม่ได้ มันมีโอกาสทั้งเพิ่มขึ้น เท่าเดิม หรือลดลงก็ได้
สรุป
ความเป็นไปได้ของ การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงว่าแม่นยำเท่าไรนั้น
ซึ่งหากใช้กับตลาดหุ้นที่มี สภาพคล่องสูง อย่างตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย ค่อยข้างจะไม่ได้ผล
เช่น หุ้นปั่น , ข่าวลือ , เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ต่างๆ
โดยที่หุ้นไม่ได้ขึ้นตามผลประกอบการ แล้วคนหันมาลงทุน เพียงแค่ต้องการเพียงส่วนต่างจากราคาหุ้น ก็จะใช้คำนวณหุ้นพวกนี้ไมได้
แน่นอนว่าการคำนวณอาจจะไม่แน่นอนตรงๆ แต่หากเรารู้จักบริษัทนั้นดี ว่าทำเกี่ยวกับอะไร รายได้จะได้มาจากอะไร
ติดตามข่าวสารตัวนั้นๆ ดูธรรมมาภิบาลของบริษัท ว่าประวัติเก่า พูดแล้ว งบออกมาตรงไหม ทุกอย่าง เราสามารถคาดเดาได้
แต่อนาคต ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้น ก่อนจะลงทุน ควรดูจากหลายปัจจัย อย่าเห็นมูลค่าที่แท้จริงถูก แล้ว เข้าเลย
การลงทุน มีความเสี่ยง (เสี่ยงที่จะขาดทุน)
แต่ "การขาดทุนเป็นกระบวนการหนึ่งสู่ความรวย หากกลัวที่จะขาดทุน คุณก็จะห่างไกลความรวย"
ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ งั้นเราต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจครับ
ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
************* ความเป็นไปได้ !! จากมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น : สำหรับมือใหม่ *************
ก่อนเราจะมาหา "ความเป็นไปได้ของมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น" นะครับ
เราคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น เพื่อ วิเคราะห์ว่าราคาของหุ้นตัวนั้นๆเหมาะสมหรือไม่ มันแพงเกินไปหรือถูกเกินไป หากเราจะเข้าซื้อนะครับ
เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว !!!!
ผมขอเน้นคำว่าระยะยาวนะครับ เพราะ บริษัทที่เราจะเลือกจะต้อง "เติบโตอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกๆปี"
ซึ่งหากคุณคิดจะลงทุน "ระยะสั้น" ก็ไม่ต้องคำนวณครับ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้น เหมือนการคาดการณ์ กำไรในอนาคต
ซึ่งแน่นอน จะต้องมี 1. % ความคลาดเคลื่อน
2. % ความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ก่อนอื่นคุณจะต้องได้หุ้นตัวนั้นมาก่อน หากเราต้องการลงทุนในระยะยาว (แนว VI)
อันนี้เป็นวิธีการเลือกหุ้นของผมนะครับ
หากผมต้องการลงทุนในระยะยาว ผมจะดูเรียงลำดับตามนี้นะครับ
1. กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีโอกาศเติบโตได้
และ ที่สำคัญมาก ราคาต้อง "ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว (cash cow)" หมายความว่า บริษัททำกำไรได้มากขึ้นเรื่อยๆทุกๆปี
2. ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูง (เงินปันผล)
3. อนาคตกำไรมั่นคงและมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี (สัก 20% - 30 %)
4. P/E ย้อนหลัง 5 ปี น้อยลงเรื่อยๆ P/BV และ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นต้องน้อยๆ ยิ่งน้อยยิ่งดี ถ้า สูงกว่าราคาในกระดานยิ่งดี
สมมุติ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 0.9 ราคาตอนนี้ 0.5 หากบริษัทล้ม เราก็ยังได้หุ้นคืนในอัตรา 0.9 บาท/หุ้น (เพื่อลดความเสี่ยง)
5. ROA และ ROE ต้องสูงๆ เพื่อดูความสามารถในการทำกำไร
ผมขอเน้น P/E ต้องต่ำ และ ROE ต้องสูง ไม่จำเป็นต้องสูงสุดหรือต่ำสุดในกลุ่มอุตสาหกรรม แต่เอาที่มันมี % ต่ำกับสูง ใกล้เคียงกัน
ที่เน้น P/E กัย ROE มากสุดเวลาลงทุนในระยะยาว เพราะ มันจะให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นมากสุด และ อัตราการคืนทุน ที่ต่ำสุด นั่นเอง
ทั้งหมดนั้น เราห้ามเอาหุ้นที่เราเลือกไปเปรียบกับหุ้นกลุ่มอื่นเด็ดขาด ยกเว้น ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
สมมุติหุ้นกลุ่ม อสังหา ก็ต้องเทียบแค่ กลุ่มอสังหา ไม่ใช่ไปเทียบกับ กลุ่มอื่น นะครับ
เพราะ อย่างเช่น หุ้นหลุ่มอสังหา ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูง ทุกๆครั้งเวลาจะก่อสร้างขยายกิจการของตนเอง
หากมีความน่าเชื่อถืออยุ่แล้ว ธนาคารก็อาจจะให้กู้สูงถึง 90 % แต่หากขายไม่ได้ล่ะ เงินหมุนเวียนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเงินทุน ต้องนำมาใช้
ซึ่งค่อนข้างที่จะไม่แน่นอน เวลาคาดการณ์กำไรในอนาคต
อย่างกลุ่ม สินค้า หรือของใช้ประจำ เวลาเราผลิตแล้ว เราจะต้อง ส่งออกสินค้า ไปทั้งในประเทศ และนอกประเทศ ซึ่งราคาความ
คลาดเคลื่อนนี้แหละ ซึ่งอาจจะคาดกำไรในอนาคตไม่ได้ กลุ่มอสังหา ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น เวลาจะคำนวณมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
ความเป็นไปได้จะน้อยลงเช่นกัน !!
บริษัทที่กิจการ "เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ" คาดว่ากำไรจะโตถึงปีละ 20% ต่อปีและจะโตไปอีกหลายปี ซึ่งเราเอากำไรที่คาดในอนาคต
แต่ !!! มันก็มีกรณีที่จะเกิด % ความคลาดเคลื่อน มีอยุ่ 2 กรณี เช่นกันครับ
1. บริษัทอาจจะโตขึ้น 20% ก็จริง แต่เป็นการโตแค่ปีเดียวเนื่องจากเป็นเรื่องของภาวะอุตสาหกรรมที่เอื้ออำนวยไม่ได้เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน
หลังจากนั้นอาจจะเติบโตลดลงก็ได้
2. PE ในอดีต อาจจะใช้ไม่ได้ เพราะบริษัทอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน อยู่ๆ บริษัทเกิด ขาดทุน เพราะเหตุผลต่างๆ ซึ่งอาจเปลี่ยน "พื้นฐานใหม่"
ผมจึงคิดว่า มันยากที่จะมาคำนวณในตลาดบ้านเรา ซึ่งมีความไม่แน่นอน และ ขึ้นอยู่กับกลุ่มอุตสาหกรรม ค่อนข้างมาก
สมมุติ หุ้นชื่อ " XX " นะครับ
พอผมได้ หุ้น XX มาแล้ว ก่อนที่ผมจะเข้าไปซื้อ ผมก็ต้องคำนวณหาราคาในอนาคต ว่าจะไปอยู่ที่เท่าไร ซึ่งเป็นเพียง "การคาดการณ์ในอนาคต"
โดยหุ้นตัวที่ผมเลือก สมมุติให้ กำไรเติบโตมากขึ้นทุกๆปี และ มั่นคง
พอดีผมไม่ได้สมัครสมาชิก ลงรูปไม่ได้นะครับ ลองดูใน www.set.or.th ประกอบนะครับ
ให้ดูงบย้อนหลัง 5 ปีนะครับ (ผมใช้ข้อมูลจริงนะครับ แต่จะสมมุติชื่อหุ้น)
ราคาหุ้นล่าสุด 3.9 บาท/หุ้น
P/E ปี 2557 (ไตรมาส 1) : 10.8 เท่า (ไม่ใช้ปีนี้คำนวณนะครับ)
P/E ปี 2556 : 7.35 เท่า
P/E ปี 2555 : 11.42 เท่า
P/E ปี 2554 : 10.43 เท่า
P/E ปี 2553 : 8.74 เท่า
ตอนนี้งบออกแค่ ไตรมาสแรกของปี 2557 ดังนั้น ใช้ P/E ของปี 2557 ไม่ได้
มันเป็น P/E หลอก ลองเอาราคา ล่าสุดของเดือนกุมภาพันธ์ มาหารกำไรต่อหุ้นดู ซึ่งจะไม่ได้ P/E ตามนั้น
ดังนั้นเราต้องคำนวณกำไรของบริษัทจริง เอง
กำไรต่อหุ้น = กำไรสุทธิ / จำนวณหุ้นสามัญของบริษัทที่ชำระแล้ว
= 631.86 / 9,183.77
= 0.0688 (เศษ ให้ปัดขึ้นนะครับ)
แล้วนำมันมาหา P/E = ราคาหุ้น / กำไรสุทธิ (สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์)
= 2.8 / 0.07
= 40 เท่า
ซึ่งเป็น P/E ที่แท้จริง ต่อนะครับ (แต่ผมไม่นำมาคำนวณอยู่ดีนะครับ เพราะแค่ไตรมาสเดียวใช้กับกลุ่มนี้ไม่ได้ครับ)
P/E เฉลี่ยต่อปี (3 ปีย้อนหลัง) = (7.35 + 11.42 + 10.43 ) / 3 = 9.733
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2557 (ไตรมาส 1) : 0.07 (ไม่ใช้ครับ)
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2556 : 0.36
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2555 : 0.26
กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2554 : 0.10
กำไรสุทธิต่อหุ้น เฉลี่ย (3 ปี ย้อนหลัง) : (0.36 + 0.26 + 0.1) / 3 = 0.24
กำไรที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน (%) = ( [ การเพิ่มขึ้นแบบเฉลี่ย ของอัตรากำไรสุทธิ(%) ต่อปี ] x 100 ) / [ อัตรากำไรสุทธิ(%) ปีก่อน ]
= (0.0067 x 100) / 0.16 = 4.1875 (ผมปัดเป็น 4.19)
ผมไม่คิด ปี 2557 นะครับ เพราะมีแค่ 1 ไตรมาส
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2556 : 0.1579 (ปัดขึ้นนะครับ เอาแค่ทศนิยม 2 หลัก)
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2555 : 0.1568
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2554 : 0.0799
อัตรากำไรสุทธิ (%) ปี 2553 : 0.1413
อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย (%) ต่อปี : [ (0.16 - 0.16) + (0.16 - 0.08) + (0.08 - 0.14) ] / 3 = 0.0067
ขอเสริมนะครับสำหรับมือใหม่
อัตรากำไรสุทธิ = กำไรสุทธิ / รายได้ (อันนี้ต้องคำนวณเองนะครับ เค้าไม่ได้คำนวณมาให้)
ผมจะมาคาดการณ์ อัตรากำไรสุทธิของบริษัทปลายปีก่อนนะครับ (ไตรมาส 2,3,4)
อัตรากำไรสุทธิ % ปี 2556 (ปีก่อนปีล่าสุด) + อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย (%) ต่อปี (4 ปีย้อนหลัง)
อัตราสุทธิปีล่าสุดจากการคาดการณ์ = 0.0067 + 0.16 = 0.167
0.167 เป็นการณ์คาดการณ์ อัตรากำไรสุทธิในปีปัจจุบัน โดยดูความสม่ำเสมอปีก่อนๆของกำไรตั้วนั้นๆครับ
คำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนะครับ
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = (P/E_เฉลี่ยของ10ไตรมาสย้อนหลัง หรือ P/E_คาดการณ์เอง) x (กำไรต่อหุ้นเฉลี่ย_3ปีก่อน + [(กำไรต่อหุ้นเฉลี่ย_3ปี ก่อน x กำไรที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ) / 100] )
= 0.24 * (0.0067 + 15) = 3.6 บาท/หุ้น
ต่อมาเราจะมาคำนวณ เปอร์เซ็นของ "margin of safety"
เปอร์เซ็นของ "margin of safety" = 100 - [(ราคาหุ้นปัจจุบัน x 100) / ราคาที่น่าจะเป็นเมื่อจบปี56]
= 100 - [(3.9 * 100 ) / 3.6 ]
= 8.33 %
ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3.9 บาท/หุ้น
ส่วนเผื่อความปลอดภัย 8.33 % ถือว่าเข้าตอนราคา 3.6 บาท/ หุ้น ถือว่าปลอดภัย
ลองสังเกตุดูนะครับ ว่าผมใช้ วิธีเดา กำไรในอนาคตของหุ้นตัวนี้ ว่าจะขึ้นสูงถึง 15 % ซึ่งตามจริงอาจจะเป็นไปไม่ได้
แต่ที่ตั้งไว้เพราะตัวนี้ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ รายได้ไม่มั่นคง บางปีน้อย บางปีเยอะ (ด้วยเหตุผลด้านของธุรกิจ) จึงใช้การคาดเดา
ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้นะครับ กำไรในอนาคต อยู่ๆจะมาเดามั่วๆไม่ได้ มันมีโอกาสทั้งเพิ่มขึ้น เท่าเดิม หรือลดลงก็ได้
สรุป
ความเป็นไปได้ของ การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงว่าแม่นยำเท่าไรนั้น
ซึ่งหากใช้กับตลาดหุ้นที่มี สภาพคล่องสูง อย่างตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย ค่อยข้างจะไม่ได้ผล
เช่น หุ้นปั่น , ข่าวลือ , เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ต่างๆ
โดยที่หุ้นไม่ได้ขึ้นตามผลประกอบการ แล้วคนหันมาลงทุน เพียงแค่ต้องการเพียงส่วนต่างจากราคาหุ้น ก็จะใช้คำนวณหุ้นพวกนี้ไมได้
แน่นอนว่าการคำนวณอาจจะไม่แน่นอนตรงๆ แต่หากเรารู้จักบริษัทนั้นดี ว่าทำเกี่ยวกับอะไร รายได้จะได้มาจากอะไร
ติดตามข่าวสารตัวนั้นๆ ดูธรรมมาภิบาลของบริษัท ว่าประวัติเก่า พูดแล้ว งบออกมาตรงไหม ทุกอย่าง เราสามารถคาดเดาได้
แต่อนาคต ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้น ก่อนจะลงทุน ควรดูจากหลายปัจจัย อย่าเห็นมูลค่าที่แท้จริงถูก แล้ว เข้าเลย
การลงทุน มีความเสี่ยง (เสี่ยงที่จะขาดทุน)
แต่ "การขาดทุนเป็นกระบวนการหนึ่งสู่ความรวย หากกลัวที่จะขาดทุน คุณก็จะห่างไกลความรวย"
ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ งั้นเราต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจครับ
ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ