บทที่ 4…ต่อคิวรอความตาย
บรรยากาศในศาลาสองของวัดแห่งหนึ่งแถวชานเมืองเต็มไปด้วยโศกเศร้าของบรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของเจตน์ ที่มาร่วมไว้อาลัยและรดน้ำศพ
...อนิจจา สังขารไม่เที่ยง...
"หักห้ามใจบ้างพี่ปลา" เชนเอ่ยปลอบพี่สะใภ้ที่ร่ำไห้ตัวโยน เป็นลมไปแล้วหลายรอบ ยิ่งมองไปทางหลานชายทั้งสองคนยิ่งน่าสงสารที่ต้องมากำพร้าพ่อตั้งแต่เล็ก นับจากนี้เหลือแต่ปลาที่ต้องเลี้ยงดูและทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ทั้งพ่อ.... มองเห็นภาระใหญ่หลวงข้างหน้า เชนก็อดเป็นห่วงพี่สะใภ้และหลานๆ ไม่ได้ ลำพังเขาเองก็พอกินพอใช้เท่านั้น ถึงจะยังไม่แต่งงานแต่ก็คงช่วยเหลืออะไรไม่ได้...
เมื่อถึงเวลารดน้ำศพ เชนจึงเดินไปหยิบขันเงินเล็กๆ ตักน้ำมนต์ก่อนรดลงบนฝ่ามือของพี่ชายที่นอนราบแน่นิ่งด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ทันใดนั้นมือขาวซีดของเจตน์ก็คว้าหมับที่ข้อมือของเชน
เชนตกใจกลัวสุดขีด พยายามจะสะบัดมือออกแต่ไม่สำเร็จ มันเหนียวหนืดเหมือนตีนตุ๊กแก
"...มันกลับมาแล้ว..." น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเจตน์พร่ำบอกอย่างเนิบช้า ทำเอาคนฟังเสียวสันหลังวูบ
"คะ...ใคร" เชนถามออกไปทั้งกล้าๆ กลัวๆ ด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ชายบอก...
"อีนังผู้หญิงคนนั้น"
...ผู้หญิง...ผู้หญิงคนไหน เชนคิดไม่ออก ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของผู้หญิงที่เอ่ยถึงก็ดังลั่น
"...มันมาแล้ว..." เจตน์ปล่อยมือจากน้องชายทันที
เชนพยายามมองหาที่มาของเสียง แต่ไม่เห็นใครสักคน และที่น่าแปลกทุกคนในศาลาทำเหมือนกับไม่ได้ยินเสียงนั้น...
"ใคร ออกมาเดี๋ยวนี้" เชนตะโกนถามแต่ไม่มีคำตอบ
เสียงหัวเราะดังก้องกว่าเดิมจนเขาปวดแก้วหู "โอ๊ย...โอ๊ย..."
เขาส่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะมีมือของใครมาเขย่าร่างของเขาให้ตื่นจากภวังค์
เชนมองดูผู้คนที่ยืนตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาตอนนี้
"เป็นอะไรเชน" พี่สะใภ้ถาม
เชนหันไปมองหน้าพี่สะใภ้ที มองคนอื่นที ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเล่าให้ฟังดีหรือไม่ ถ้าเล่าแล้วใครจะเชื่อ... เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจไม่เล่าดีกว่า...
"...นับถอยหลังเถอะ ใกล้ถึงคิวตายของแล้ว ฮ่า ฮ่า..."
แล้วเสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครได้ยินนอกจากเขา ...เธอเป็นคนหรือผีกันแน่นะ....
..................................
เย็นวันนั้นใยไหมกำลังนั่งวาดรูปเล่นอยู่คนเดียว วันดีก็เดินลงมาจากชั้นบนด้วยชุดสีดำ
"ใยไหมคะ เดี๋ยวหนูไปอยู่กับคุณย่าก่อนนะคะ" วันดีลูบผมลูกสาวพลางมองดูรูปภาพที่วาดระบายสีตรงหน้า "แม่กับพ่อไปธุระแป๊ปนึงคะ"
ใยไหมไม่ตอบ แต่ยังง่วนกับการวาดภาพตรงหน้า วันดีเดาว่าน่าจะเป็นภาพโรงเรียนเพราะมีรูปเสาธงชาติ มีภาพคุณครูยืนหน้าห้องเรียน มีภาพเด็กผู้หญิงน่าจะเป็นตัวใยไหมเอง และมีภาพเด็กผู้ชาย... เอ๊ะ.. ใครกันนะ
"เอ๊ะ... เด็กผู้ชายคนนี้ใครกันคะ" ผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ ใยไหมไม่เคยวาดรูปใครมาก่อน แสดงว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนรักที่สำคัญแน่ๆ "แม่รู้จักหรือเปล่าคะ"
"ข้าวกล้องคะ" เด็กสาวตอบ
"เพื่อนไหมหรือคะลูก แม่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย"
เด็กสาวยิ้มนิดที่มุมปาก "คะ"
"อืม ดีจังหนูจะได้มีเพื่อนเล่น"
จริงอย่างที่ว่า... วันดีอดดีใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าใยไหมมีเพื่อนเล่น เพื่อนคุยแล้ว เธอหวังว่าการที่ลูกสาวมีเพื่อนจะช่วยให้ลูกสาวคุยมากขึ้น ไม่เป็นเด็กซึมเหงาต่อไป.. เห็นทีวังหลังจะต้องแอบไปดูที่ห้องเรียนบ้างแล้ว...
"แล้วนี่หนูวาดไปให้ข้าวกล้องเหรอคะ" เด็กสาวยิ้มตอบ ขณะที่ยศเดินลงมาจากชั้นบน
"ไปกันคุณ" แล้ววันดีกับยศก็พาใยไหมไปฝากแม่ของยศให้ช่วยดูแลสักสองสามชั่วโมงระหว่างที่ไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพนายเจตน์พี่ชายของเชน...
..................................
"เออ... ยศคะ คุณไปส่งลูกทันได้เจอข้าวกล้องไหม" วันดีเอ่ยถามขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถ
"ข้าวกล้อง..." ยศทวนชื่อ แต่นึกไม่ออก
"เพื่อนใหม่ของลูกคะ" วันดีรีบอธิบาย
"ไม่ดิ ใยไหมไปถึงแต่เช้า ข้าวกล้องคงยังไม่มามั้ง"
"อืม"
"มีอะไรหรือเปล่า" ยศถามด้วยความสงสัย
"เปล่าคะ เห็นลูกวาดรูปเพื่อนก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนคนสำคัญ"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ใยไหมจะได้มีเพื่อนคุยเพื่อนเล่น"
"คะ วันก็ดีใจ ทุกวันนี้วันไม่สบายใจเลย เห็นลูกเงียบๆ ซึมๆ ไม่มีเพื่อนเล่น"
เมื่อยศได้ยินเช่นนั้น เขาเองก็ไม่สบายใจ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งเขาและวันดีก็พยายามใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด ยศกุมมือภรรยาไว้แน่นประหนึ่งถ่ายเทกำลังใจให้เธอ...
"แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี"
"คะ"
วันดีและยศมาถึงวัดจวนใกล้เวลาพระสวด หลังจากจุดธูปไหว้ศพแล้ว วันดีนึกขึ้นได้ว่าลืมซองช่วยงานไว้ในรถ จึงให้ยศเดินกลับไปเอา บรรยากาศภายในวัดถึงแม้จะไม่เงียบเหงาเพราะมีผู้คนมาฟังพระสวดทุกศาลา แต่ความรู้สึกกลับบอกว่ามันวังเวงชอบกล ลมเย็นๆ พัดยะเยือกปะทะผิวจนขนแขนลุกชัน เสียงบทสวดของภิกษุสงฆ์กระแทกกระทั่นดังกังวานประสานเป็นจังหวะ
ยศเร่งฝีเท้าให้ถึงที่จอดรถโดยเร็ว แต่ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า ระยะทางที่ไม่ไกลแต่กลับไกลไม่ถึงสักที ราวกับมีใครมาเติมต่อทางเดินให้ทอดยาวมากขึ้น
ใกล้ถึงรถแล้ว ยศเห็นเจ้าตุ๊กตาที่เสียบอยู่กับเสาอากาศแล้ว ขณะที่เดินเข้าใกล้มากขึ้นยศเห็นเงาดำตะครุ่มๆ เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวรถ เอ๊ะ หรือว่าพวกหัวขโมย... เมื่อคิดได้เช่นนั้น ยศรีบสาวเท้ากึ่งวิ่งไปที่รถอย่างไว เงานั้นหายไปแล้ว...ไม่มีอะไรรอบรถ...
มันคงเห็นว่ามีคนเดินมา จึงรีบเผ่นไปแล้ว เกือบไปแล้วเชียว...ไอ้พวกเด็กเหลือขอ... ถ้ามาช้ากว่านี้มีหวังเขาคงไม่ได้เห็นรถยนต์คันงามแล้ว
ขณะกำลังคิดอยู่นั้น...หางตาของยศเหลือบไปเห็นเงาตะครุ่มอยู่ในรถทางเบาะด้านหลัง
"ชวยแล้ว... มันเข้าไปตั้งแต่เมื่อไรว่ะ" ยศสบถอย่างหัวเสีย นึกว่าจะรอดจากพวกมิฉาชีพแล้วแต่ก็ไม่... ยศหันรีหันขวามองหาบางสิ่งบางอย่างสำหรับใช้เป็นอาวุธ พอให้อุ่นใจบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้มือเปล่า ขืนให้เข้าไปประจันหน้ากับมันต้องเสียท่าพวกมันแน่ๆ
...ไม้... มีท่อนไม้อยู่โคนต้นหูกวางนั่น...
ยศรีบคว้าหมับเข้ากับมือ ตรงรี่เข้าไปเปิดประตูรถ.. แต่เปิดไม่ออก มันคงล็อกจากด้านในรถ แต่เอ๊ะ...มันเข้าไปได้อย่างไร ทำไมสัญญาณกันขโมยไม่ดัง ไม่น่าจะเสียนะ ตอนมาถึงวัดสัญญาณกันขโมยยังใช้ได้อยู่นี่... สงสัยต้องเอารถไปเช็คแล้ว
ยศล้วงหยิบพวงกุญแจรีโมทรถในกระเป๋ากางเกงก่อนกดปลดล็อกสัญญาณรถแล้วรีบเปิดประตูรถอย่างไว เสร็จแน่...ไอ้หัวขโมย... แทนที่จะพบหัวขโมยแต่กลับไม่พบ ไม่มีใครอยู่ในรถสักคน เป็นไปไม่ได้... หายไปไหนแล้ว..ไวจริงๆ ไม่สิ เขายังไม่เห็นใครสักคน
"ยศคะ ทำอะไรอยู่คะ ทำไมนานจัง" เสียงวันดีเอ่ยแทรกในความคิดท่ามกลางความเงียบทำให้ยศถึงกับสะดุ้งโหยง
"ปละ...เปล่า ไม่มีไร" ยศไม่รู้จะบอกภรรยาสาวอย่างไร เพราะเขาอาจตาฝาดเองก็ได้
"งั้นเข้าไปกันเถอะค่ะ" วันดีเอ่ยบอกเมื่อหยิบซองสีขาวเรียบร้อยแล้ว "พระสวดใกล้จบแล้ว" วันดีเดินจูงแขนสามีไป ขณะที่ยศแอบหันหลังมองมาที่รถอีกครั้งด้วยความสงสัย ยศชะงักเล็กน้อย...ไม่จริง...เขาใช้มือขยี้ตาสองสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด ...นั่นไง...เงานั่นตะครุ่มอยู่ท้ายรถ... แล้วก็หายแว่บไปกับความมืดของสนธยา
ยศชะงักเล็กน้อย... ไม่จริง... เขาใช้มือขยี้ตาสองสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝาด
..................................
หลังจากฟังพระสวดอภิธรรมศพเสร็จ แม้จะไม่ดึกมาก แต่ถนนหนทางแถวชานเมืองก็เงียบสงัดไร้ผู้คนสัญจร ต้นไม้ใหญ่หนาครึ้มสองข้างทางโอนเอนลู่ตามแรงลมยิ่งเสริมให้บรรยากาศดูวังเวงน่ากลัวมากขึ้น
"รีบขับหน่อยสิยศ" วันดีเอ่ยปากบอกสามีให้เหยียบคันเร่งอีกถึงแม้ว่าตอนนี้เข็มหน้าปัดจะอยู่ที่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วก็ตาม หากยังช้าเกินไปในความรู้สึกของวันดี
"จะรีบไปไหน ขับเร็วเดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุจนได้" ยศหันมาบอกภรรยาสาว
"แถวนี้มันวังเวงชอบกล วันกลัวววว!!!"
"คิดมากน่า ชานเมืองก็แบบนี้ล่ะ" ยศปลอบพลางเรียงเสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดีให้ดังขึ้น อาจช่วยทำให้ภรรยาสาวรู้สึกผ่อนคลายความกลัวได้บ้าง
ยังไม่ทันจะหายผ่อนคลายความกลัว ก็มีเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นอีก เมื่อข้างทางข้างหน้ามีรถตู้เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ สภาพหน้ารถบุบ ประตูรถหลุดออกจากตัวถังรถ
"เด็กคะยศ ตายหรือเปล่าไม่รู้ ลงไปดูกันคะ" วันดีบอกยศเมื่อมองเห็นร่างเล็กๆ นอนแน่นนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าไม่ห่างจากตัวรถมากนัก
"จะบ้าเหรอวัน ถ้าเกิดตายขึ้นมาเดี๋ยวก็ยุ่งวุ่นวายพอดี เค้าจะหาว่าเราขับรถชนนะ" ยศตะคอกเสียงใส่ภรรยาที่หน้าตาตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ข้างหน้า
"แต่เด็กอาจจะตายจริงก็ได้ ถ้าเราไม่รีบช่วยนะคะ"
ยศหยุดรถข้างทาง มองรอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุเหมือนคลับคล้ายคลับคลาเคยผ่านแถวนี้มาก่อน เมื่อมองไปที่รถตู้ที่ติดสติ๊กเกอร์หลังรถว่า "รถรับส่งนักเรียน" ความทรงจำในอดีตที่ลืมไปหมดสิ้นแล้วกลับหวนกลับมา...
"ยศไม่ช่วย แต่วันจะช่วย" วันดีทำท่าจะปลดล็อกประตูรถ หากแต่ยศรีบคว้ามือไว้ได้ทัน
"ใจเย็นๆ วัน ตั้งสติ มองดูรถตู้คันนั้นดีๆ"
ถึงแม้วันดีจะทำท่าขัดขืน แต่ก็พยายามเชื่อตามที่ยศบอก... มองดูรถตู้คันนั้นอย่างพิจารณา รถตู้รับส่งนักเรียน...โรงเรียนอักษรวิทยา คันที่ 10 แล้ววันดีก็ต้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เป็นสัญญาณบอกให้ยศรู้ว่า...เธอจำได้แล้ว
"เรารีบไปกันเถอะ" ว่าแล้วยศก็รีบเคลื่อนรถออกไปจากจุดเกิดเหตุ ขณะที่วันดีเหลียวหลังกลับไปมอง ก่อนจะร้องเสียงหลงด้วยความกลัวสุดขีด
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด"
เมื่อร่างเล็กๆ ที่นอนแน่นิ่งเมื่อครู่ ขยับลุกขึ้นยืนในภาพคอห้อยต๋องแต๋ง กวักมือเรียกอย่างช้าๆ
"ช่วยด้วย!!!"
แล้วเสียงของความช่วยเหลืออันแสนเข็บปวดน่ากลัวก็ดังกังวานในรถ แม้จะขับออกมาไกลจากบริเวณนั้นแล้วก็ตาม
วิญญาณพยาบาล # 4
บรรยากาศในศาลาสองของวัดแห่งหนึ่งแถวชานเมืองเต็มไปด้วยโศกเศร้าของบรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของเจตน์ ที่มาร่วมไว้อาลัยและรดน้ำศพ
...อนิจจา สังขารไม่เที่ยง...
"หักห้ามใจบ้างพี่ปลา" เชนเอ่ยปลอบพี่สะใภ้ที่ร่ำไห้ตัวโยน เป็นลมไปแล้วหลายรอบ ยิ่งมองไปทางหลานชายทั้งสองคนยิ่งน่าสงสารที่ต้องมากำพร้าพ่อตั้งแต่เล็ก นับจากนี้เหลือแต่ปลาที่ต้องเลี้ยงดูและทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ทั้งพ่อ.... มองเห็นภาระใหญ่หลวงข้างหน้า เชนก็อดเป็นห่วงพี่สะใภ้และหลานๆ ไม่ได้ ลำพังเขาเองก็พอกินพอใช้เท่านั้น ถึงจะยังไม่แต่งงานแต่ก็คงช่วยเหลืออะไรไม่ได้...
เมื่อถึงเวลารดน้ำศพ เชนจึงเดินไปหยิบขันเงินเล็กๆ ตักน้ำมนต์ก่อนรดลงบนฝ่ามือของพี่ชายที่นอนราบแน่นิ่งด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ทันใดนั้นมือขาวซีดของเจตน์ก็คว้าหมับที่ข้อมือของเชน
เชนตกใจกลัวสุดขีด พยายามจะสะบัดมือออกแต่ไม่สำเร็จ มันเหนียวหนืดเหมือนตีนตุ๊กแก
"...มันกลับมาแล้ว..." น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเจตน์พร่ำบอกอย่างเนิบช้า ทำเอาคนฟังเสียวสันหลังวูบ
"คะ...ใคร" เชนถามออกไปทั้งกล้าๆ กลัวๆ ด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ชายบอก...
"อีนังผู้หญิงคนนั้น"
...ผู้หญิง...ผู้หญิงคนไหน เชนคิดไม่ออก ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของผู้หญิงที่เอ่ยถึงก็ดังลั่น
"...มันมาแล้ว..." เจตน์ปล่อยมือจากน้องชายทันที
เชนพยายามมองหาที่มาของเสียง แต่ไม่เห็นใครสักคน และที่น่าแปลกทุกคนในศาลาทำเหมือนกับไม่ได้ยินเสียงนั้น...
"ใคร ออกมาเดี๋ยวนี้" เชนตะโกนถามแต่ไม่มีคำตอบ
เสียงหัวเราะดังก้องกว่าเดิมจนเขาปวดแก้วหู "โอ๊ย...โอ๊ย..."
เขาส่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะมีมือของใครมาเขย่าร่างของเขาให้ตื่นจากภวังค์
เชนมองดูผู้คนที่ยืนตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาตอนนี้
"เป็นอะไรเชน" พี่สะใภ้ถาม
เชนหันไปมองหน้าพี่สะใภ้ที มองคนอื่นที ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเล่าให้ฟังดีหรือไม่ ถ้าเล่าแล้วใครจะเชื่อ... เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจไม่เล่าดีกว่า...
"...นับถอยหลังเถอะ ใกล้ถึงคิวตายของแล้ว ฮ่า ฮ่า..."
แล้วเสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครได้ยินนอกจากเขา ...เธอเป็นคนหรือผีกันแน่นะ....
เย็นวันนั้นใยไหมกำลังนั่งวาดรูปเล่นอยู่คนเดียว วันดีก็เดินลงมาจากชั้นบนด้วยชุดสีดำ
"ใยไหมคะ เดี๋ยวหนูไปอยู่กับคุณย่าก่อนนะคะ" วันดีลูบผมลูกสาวพลางมองดูรูปภาพที่วาดระบายสีตรงหน้า "แม่กับพ่อไปธุระแป๊ปนึงคะ"
ใยไหมไม่ตอบ แต่ยังง่วนกับการวาดภาพตรงหน้า วันดีเดาว่าน่าจะเป็นภาพโรงเรียนเพราะมีรูปเสาธงชาติ มีภาพคุณครูยืนหน้าห้องเรียน มีภาพเด็กผู้หญิงน่าจะเป็นตัวใยไหมเอง และมีภาพเด็กผู้ชาย... เอ๊ะ.. ใครกันนะ
"เอ๊ะ... เด็กผู้ชายคนนี้ใครกันคะ" ผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ ใยไหมไม่เคยวาดรูปใครมาก่อน แสดงว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนรักที่สำคัญแน่ๆ "แม่รู้จักหรือเปล่าคะ"
"ข้าวกล้องคะ" เด็กสาวตอบ
"เพื่อนไหมหรือคะลูก แม่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย"
เด็กสาวยิ้มนิดที่มุมปาก "คะ"
"อืม ดีจังหนูจะได้มีเพื่อนเล่น"
จริงอย่างที่ว่า... วันดีอดดีใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าใยไหมมีเพื่อนเล่น เพื่อนคุยแล้ว เธอหวังว่าการที่ลูกสาวมีเพื่อนจะช่วยให้ลูกสาวคุยมากขึ้น ไม่เป็นเด็กซึมเหงาต่อไป.. เห็นทีวังหลังจะต้องแอบไปดูที่ห้องเรียนบ้างแล้ว...
"แล้วนี่หนูวาดไปให้ข้าวกล้องเหรอคะ" เด็กสาวยิ้มตอบ ขณะที่ยศเดินลงมาจากชั้นบน
"ไปกันคุณ" แล้ววันดีกับยศก็พาใยไหมไปฝากแม่ของยศให้ช่วยดูแลสักสองสามชั่วโมงระหว่างที่ไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพนายเจตน์พี่ชายของเชน...
"เออ... ยศคะ คุณไปส่งลูกทันได้เจอข้าวกล้องไหม" วันดีเอ่ยถามขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถ
"ข้าวกล้อง..." ยศทวนชื่อ แต่นึกไม่ออก
"เพื่อนใหม่ของลูกคะ" วันดีรีบอธิบาย
"ไม่ดิ ใยไหมไปถึงแต่เช้า ข้าวกล้องคงยังไม่มามั้ง"
"อืม"
"มีอะไรหรือเปล่า" ยศถามด้วยความสงสัย
"เปล่าคะ เห็นลูกวาดรูปเพื่อนก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนคนสำคัญ"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ใยไหมจะได้มีเพื่อนคุยเพื่อนเล่น"
"คะ วันก็ดีใจ ทุกวันนี้วันไม่สบายใจเลย เห็นลูกเงียบๆ ซึมๆ ไม่มีเพื่อนเล่น"
เมื่อยศได้ยินเช่นนั้น เขาเองก็ไม่สบายใจ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งเขาและวันดีก็พยายามใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด ยศกุมมือภรรยาไว้แน่นประหนึ่งถ่ายเทกำลังใจให้เธอ...
"แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี"
"คะ"
วันดีและยศมาถึงวัดจวนใกล้เวลาพระสวด หลังจากจุดธูปไหว้ศพแล้ว วันดีนึกขึ้นได้ว่าลืมซองช่วยงานไว้ในรถ จึงให้ยศเดินกลับไปเอา บรรยากาศภายในวัดถึงแม้จะไม่เงียบเหงาเพราะมีผู้คนมาฟังพระสวดทุกศาลา แต่ความรู้สึกกลับบอกว่ามันวังเวงชอบกล ลมเย็นๆ พัดยะเยือกปะทะผิวจนขนแขนลุกชัน เสียงบทสวดของภิกษุสงฆ์กระแทกกระทั่นดังกังวานประสานเป็นจังหวะ
ยศเร่งฝีเท้าให้ถึงที่จอดรถโดยเร็ว แต่ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า ระยะทางที่ไม่ไกลแต่กลับไกลไม่ถึงสักที ราวกับมีใครมาเติมต่อทางเดินให้ทอดยาวมากขึ้น
ใกล้ถึงรถแล้ว ยศเห็นเจ้าตุ๊กตาที่เสียบอยู่กับเสาอากาศแล้ว ขณะที่เดินเข้าใกล้มากขึ้นยศเห็นเงาดำตะครุ่มๆ เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวรถ เอ๊ะ หรือว่าพวกหัวขโมย... เมื่อคิดได้เช่นนั้น ยศรีบสาวเท้ากึ่งวิ่งไปที่รถอย่างไว เงานั้นหายไปแล้ว...ไม่มีอะไรรอบรถ...
มันคงเห็นว่ามีคนเดินมา จึงรีบเผ่นไปแล้ว เกือบไปแล้วเชียว...ไอ้พวกเด็กเหลือขอ... ถ้ามาช้ากว่านี้มีหวังเขาคงไม่ได้เห็นรถยนต์คันงามแล้ว
ขณะกำลังคิดอยู่นั้น...หางตาของยศเหลือบไปเห็นเงาตะครุ่มอยู่ในรถทางเบาะด้านหลัง
"ชวยแล้ว... มันเข้าไปตั้งแต่เมื่อไรว่ะ" ยศสบถอย่างหัวเสีย นึกว่าจะรอดจากพวกมิฉาชีพแล้วแต่ก็ไม่... ยศหันรีหันขวามองหาบางสิ่งบางอย่างสำหรับใช้เป็นอาวุธ พอให้อุ่นใจบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้มือเปล่า ขืนให้เข้าไปประจันหน้ากับมันต้องเสียท่าพวกมันแน่ๆ
...ไม้... มีท่อนไม้อยู่โคนต้นหูกวางนั่น...
ยศรีบคว้าหมับเข้ากับมือ ตรงรี่เข้าไปเปิดประตูรถ.. แต่เปิดไม่ออก มันคงล็อกจากด้านในรถ แต่เอ๊ะ...มันเข้าไปได้อย่างไร ทำไมสัญญาณกันขโมยไม่ดัง ไม่น่าจะเสียนะ ตอนมาถึงวัดสัญญาณกันขโมยยังใช้ได้อยู่นี่... สงสัยต้องเอารถไปเช็คแล้ว
ยศล้วงหยิบพวงกุญแจรีโมทรถในกระเป๋ากางเกงก่อนกดปลดล็อกสัญญาณรถแล้วรีบเปิดประตูรถอย่างไว เสร็จแน่...ไอ้หัวขโมย... แทนที่จะพบหัวขโมยแต่กลับไม่พบ ไม่มีใครอยู่ในรถสักคน เป็นไปไม่ได้... หายไปไหนแล้ว..ไวจริงๆ ไม่สิ เขายังไม่เห็นใครสักคน
"ยศคะ ทำอะไรอยู่คะ ทำไมนานจัง" เสียงวันดีเอ่ยแทรกในความคิดท่ามกลางความเงียบทำให้ยศถึงกับสะดุ้งโหยง
"ปละ...เปล่า ไม่มีไร" ยศไม่รู้จะบอกภรรยาสาวอย่างไร เพราะเขาอาจตาฝาดเองก็ได้
"งั้นเข้าไปกันเถอะค่ะ" วันดีเอ่ยบอกเมื่อหยิบซองสีขาวเรียบร้อยแล้ว "พระสวดใกล้จบแล้ว" วันดีเดินจูงแขนสามีไป ขณะที่ยศแอบหันหลังมองมาที่รถอีกครั้งด้วยความสงสัย ยศชะงักเล็กน้อย...ไม่จริง...เขาใช้มือขยี้ตาสองสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด ...นั่นไง...เงานั่นตะครุ่มอยู่ท้ายรถ... แล้วก็หายแว่บไปกับความมืดของสนธยา
ยศชะงักเล็กน้อย... ไม่จริง... เขาใช้มือขยี้ตาสองสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝาด
หลังจากฟังพระสวดอภิธรรมศพเสร็จ แม้จะไม่ดึกมาก แต่ถนนหนทางแถวชานเมืองก็เงียบสงัดไร้ผู้คนสัญจร ต้นไม้ใหญ่หนาครึ้มสองข้างทางโอนเอนลู่ตามแรงลมยิ่งเสริมให้บรรยากาศดูวังเวงน่ากลัวมากขึ้น
"รีบขับหน่อยสิยศ" วันดีเอ่ยปากบอกสามีให้เหยียบคันเร่งอีกถึงแม้ว่าตอนนี้เข็มหน้าปัดจะอยู่ที่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วก็ตาม หากยังช้าเกินไปในความรู้สึกของวันดี
"จะรีบไปไหน ขับเร็วเดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุจนได้" ยศหันมาบอกภรรยาสาว
"แถวนี้มันวังเวงชอบกล วันกลัวววว!!!"
"คิดมากน่า ชานเมืองก็แบบนี้ล่ะ" ยศปลอบพลางเรียงเสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดีให้ดังขึ้น อาจช่วยทำให้ภรรยาสาวรู้สึกผ่อนคลายความกลัวได้บ้าง
ยังไม่ทันจะหายผ่อนคลายความกลัว ก็มีเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นอีก เมื่อข้างทางข้างหน้ามีรถตู้เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ สภาพหน้ารถบุบ ประตูรถหลุดออกจากตัวถังรถ
"เด็กคะยศ ตายหรือเปล่าไม่รู้ ลงไปดูกันคะ" วันดีบอกยศเมื่อมองเห็นร่างเล็กๆ นอนแน่นนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าไม่ห่างจากตัวรถมากนัก
"จะบ้าเหรอวัน ถ้าเกิดตายขึ้นมาเดี๋ยวก็ยุ่งวุ่นวายพอดี เค้าจะหาว่าเราขับรถชนนะ" ยศตะคอกเสียงใส่ภรรยาที่หน้าตาตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ข้างหน้า
"แต่เด็กอาจจะตายจริงก็ได้ ถ้าเราไม่รีบช่วยนะคะ"
ยศหยุดรถข้างทาง มองรอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุเหมือนคลับคล้ายคลับคลาเคยผ่านแถวนี้มาก่อน เมื่อมองไปที่รถตู้ที่ติดสติ๊กเกอร์หลังรถว่า "รถรับส่งนักเรียน" ความทรงจำในอดีตที่ลืมไปหมดสิ้นแล้วกลับหวนกลับมา...
"ยศไม่ช่วย แต่วันจะช่วย" วันดีทำท่าจะปลดล็อกประตูรถ หากแต่ยศรีบคว้ามือไว้ได้ทัน
"ใจเย็นๆ วัน ตั้งสติ มองดูรถตู้คันนั้นดีๆ"
ถึงแม้วันดีจะทำท่าขัดขืน แต่ก็พยายามเชื่อตามที่ยศบอก... มองดูรถตู้คันนั้นอย่างพิจารณา รถตู้รับส่งนักเรียน...โรงเรียนอักษรวิทยา คันที่ 10 แล้ววันดีก็ต้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เป็นสัญญาณบอกให้ยศรู้ว่า...เธอจำได้แล้ว
"เรารีบไปกันเถอะ" ว่าแล้วยศก็รีบเคลื่อนรถออกไปจากจุดเกิดเหตุ ขณะที่วันดีเหลียวหลังกลับไปมอง ก่อนจะร้องเสียงหลงด้วยความกลัวสุดขีด
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด"
เมื่อร่างเล็กๆ ที่นอนแน่นิ่งเมื่อครู่ ขยับลุกขึ้นยืนในภาพคอห้อยต๋องแต๋ง กวักมือเรียกอย่างช้าๆ
"ช่วยด้วย!!!"
แล้วเสียงของความช่วยเหลืออันแสนเข็บปวดน่ากลัวก็ดังกังวานในรถ แม้จะขับออกมาไกลจากบริเวณนั้นแล้วก็ตาม