จากใจ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" กรณีจำนำข้าว ถึงอดีตนักการเมืองคนหนึ่งและคอลัมนิสต์รายหนึ่ง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เขียนบทความมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาทำสิ่งที่ไม่มีโอกาสได้ทำในขณะที่รับใช้บ้านเมืองในหน้าที่รัฐมนตรีในรัฐบาลของฯพณฯนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีโอกาสให้คำปรึกษาแก่ลูกชายที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ในแง่คิดด้านต่างๆ มีโอกาสพาครอบครัวไปกราบบรรพบุรุษที่จังหวัดระนอง มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรที่มีความปรารถนาดีต่อส่วนรวม และต่อกันและกัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองเพื่อไม่ให้ต้องเป็นที่ไม่สบายใจของใครต่อใคร ดีใจกับชาวนาที่ได้รับชำระเงินค่าจำนำข้าวด้วยวิธีการระดมเงินจากสถาบันการเงินตามแนวทางเดียวกับที่ผมเคยพยายามทำแต่ทำไม่สำเร็จด้วยเหตุผลที่ผู้คนทั่วไปก็ทราบดีกันอยู่ผมติดตามข่าวสารบ้านเมืองด้วยจิตอันเป็นกุศลหวังเห็นบ้านเมืองมีความสงบสุขปรองดอง
อย่างไรก็ตามสามสี่วันที่ผ่านมาก็รู้สึกทุกข์ใจ เมื่อเรื่องราวอันเป็นกระบวนการของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ผมทำงานอยู่ด้วย และเคยทำหน้าที่ในระดับนโยบายทั้งโดยตรง และโดยอ้อมมาโดยตลอด
จบลง เพราะผมหมดหน้าที่พร้อมกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จากเหตุรับทราบการโยกย้ายข้าราชการท่านหนึ่ง เมื่อเกือบสามปีก่อน
ความทุกข์ที่ว่าเกิดเมื่อเห็นการลงมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้กล่าวโทษทางอาญา ต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (แต่เพียงผู้เดียว)
ทั้งๆ ที่ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายจำนำข้าว ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อเข้ารับหน้าที่ โดยกระบวนการพิจารณา ของ ป.ป.ช. ที่กำลังถูกสังคมตั้งคำถามว่า มีการดำเนินการรวบรัดเร่งรีบ อย่างไม่เป็นปกติหรือไม่ ความบกพร่องใดๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นก็ถูกเหมารวมเป็นความผิดของผู้ถูกกล่าวหาแต่เพียงผู้เดียวไปเสียทั้งหมด พยานที่ผู้ถูกกล่าวหาเสนอไป ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นคนดีมีความเป็นธรรมตามสมควร ก็ไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด
ความทุกข์ที่ต่อเนื่องตามมาด้วยการอ่านความคิดเห็นในเฟซบุค ตามระบบ “วาทกรรม” อันเป็นงานถนัดของอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง ในลักษณะฉายหนังบิดเบือนซ้ำซาก ที่สื่อมวลชนบางฉบับนำมาถ่ายทอด ทำให้ผมได้สติว่า การที่ผมจะอยากเห็นส่วนรวมมีความสงบสุขก็ไม่ได้แปลว่าผมมีหน้าที่หยุดคิด หยุดพูด ผมขอยืนยันว่า
การดูแลชาวนาผู้ปลูกข้าวเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และรัฐบาลต่างๆ ในอดีตก็ดำเนินการมาตลอดระยะเวลากว่า ๓๐ ปีทั้งด้วยวิธีการรับจำนำ และวิธีการอื่นๆ ทุกวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน บางวิธีที่ดูคล้ายกับไม่มีการทุจริต ไม่ต้องรับข้าวเข้าคลังสินค้า ไม่ต้องใช้เงินหมุนเวียน ไม่ต้องรับซื้อ ไม่ต้องขายออก ให้เห็นยอดขาดทุน เช่น โครงการประกันราคาข้าว กลับเป็นโครงการที่มีโอกาสทุจริตสูงเพราะไม่มีข้าวให้ตรวจสอบ เพียงแต่สามารถลงทะเบียนว่าปลูกข้าว ทั้งๆ ที่มีพื้นที่จำนวนมากไม่ได้ปลูกข้าวจริง ก็มารับเงินชดเชยส่วนต่างราคาได้ คนที่ทุจริตกลุ่มนี้จะยิ่งพอใจเมื่อราคาข้าวในตลาดยิ่งต่ำ เพราะได้รับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาตลาด กับราคาประกันมากขึ้น จนเคยมีกรณีร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. มาก่อน การร้องเรียนเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ เสียอีก โครงการรับจำนำข้าวก็เป็นโครงการที่มุ่งดูแลชาวนา ซึ่งข้อดีก็มีมากอย่างต่อเนื่องทั้งการลดช่องว่างระหว่างคนรวย กับชาวนาในชนบท จนช่วยลดความกดดันทางสังคม ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย และเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้จากภาษีประเภทต่างๆ ให้แก่ประเทศ แต่ก็ต้องทำงานหนัก ทำงานให้สุจริต เพราะหากมีการทุจริตก็จะปรากฎเป็นหลักฐานให้ดำเนินการเอาผิดกับบุคคลที่กระทำผิดเป็นการเฉพาะแต่ละเรื่อง แต่ละเวลาได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ดำเนินการเอาผิดต่อบุคคลที่ทุจริตอย่างจริงจัง
แต่ที่น่าสนใจคือ ป.ป.ช.ยังไม่พบและพิสูจน์การกระทำผิด และระบุผู้กระทำผิดตามกระบวนการของ ป.ป.ช. ในแต่ละเรื่องดังกล่าวเลย
ความทุกข์ยังคงเพิ่มขึ้น ชนิดวันต่อวัน เมื่ออ่านข้อเขียนของคนมีปากกาในคอลัมน์หนึ่งของหนังสือพิมพ์ขายดีฉบับหนึ่ง ที่เขียนให้เข้าใจว่า มีพยานของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา คือ ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ คนหนึ่งให้การ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี โดยระบุ เป็นถ้อยคำให้การต่อ ป.ป.ช.ในเครื่องหมายคำพูดว่า “แนวทางในโครงการรับจำนำข้าว ผมไม่ได้คิดเอง แต่นายกฯ ใส่แฟ้มมาให้ ผมก็ดำเนินการตามนั้น ทำอะไรนายกฯก็รับรู้หมด... หลายเรื่องผมไม่เห็นด้วย ผมก็จะสั่งให้เขียนเป็นหมายเหตุเอาไว้ท้ายบันทึกการประชุม แต่ก็ไม่มีใครดำเนินการตาม”
ผมมั่นใจว่าไม่มีพยานที่ให้การกับ ป.ป.ช. ในถ้อยคำดังกล่าว หรือแม้แต่จะมีความหมายใกล้เคียงกับถ้อยคำดังกล่าว เพราะถ้อยคำดังกล่าวไม่เป็นความจริงให้พยานคนใดไปกล่าวเช่นนั้นได้ ในขณะเดียวกันไม่มีท้ายบันทึกการประชุมอะไร ไม่ว่าของ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) หรือของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะไปถูกบันทึกโดยพยานคนใด ให้ใคร ไม่ปฏิบัติตาม เอาล่ะครับหากมีพยานคนใดให้การในลักษณะ หรือความหมายดังกล่าวผมขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีกับพยานคนนั้นๆ ในข้อหาให้การเท็จ เพราะบันทึกคำให้การทั้งเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นเสียงข้องผู้ให้การย่อมถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามหากไม่มีการให้การในลักษณะดังกล่าว ป.ป.ช.ก็ควรกล่าวโทษกับคนมีปากกาของหนังสือพิมพ์ขายดีฉบับนั้น ไม่ให้เป็นความเสื่อมเสียแก่ ป.ป.ช. และยังช่วยผดุงรักษาสื่อมวลชนโดยรวมให้มีคุณภาพด้วย
มติชนออนไลน์...
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23:30:00 น.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1405947757
???????????????????????????????????????
"ฯพณฯนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่
ต้องปฏิบัติตามนโยบายจำนำข้าว ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา"
"แต่ที่น่าสนใจคือ
ป.ป.ช.ยังไม่พบและพิสูจน์การกระทำผิด และระบุผู้กระทำผิดตามกระบวนการของ ป.ป.ช. ในแต่ละเรื่องดังกล่าวเลย"
อ่านแล้วละเหี่ยใจกับมาตรฐานความยุติธรรมของสารขัณฑ์
ยังพิสูจน์เอาผิดกับผู้ปฏิบัติงานคนใดไม่ได้ แต่ตัดสินให้นายกฯซึ่งเป็นผู้วางนโยบายผิดไปก่อนแล้ว......
และที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆจากคำที่ว่า.....
"
จบลง เพราะผมหมดหน้าที่พร้อมกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จากเหตุรับทราบการโยกย้ายข้าราชการท่านหนึ่ง เมื่อเกือบสามปีก่อน "
แค่รับทราบการโยกย้ายข้าราชการคนหนึ่ง กลับต้องเป็นความผิดถึงกับหลุดจากตำแหน่งนายกฯของประเทศนี้
แล้ว...แล้ว...ปัจจุบันนี้ล่ะ
ย้ายกันรายวันเป็นว่าเล่น
มีปะหาไรหรือเปล่าเพ่......
จากใจ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" กรณีจำนำข้าว ถึงอดีตนักการเมืองคนหนึ่งและคอลัมนิสต์รายหนึ่ง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เขียนบทความมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาทำสิ่งที่ไม่มีโอกาสได้ทำในขณะที่รับใช้บ้านเมืองในหน้าที่รัฐมนตรีในรัฐบาลของฯพณฯนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีโอกาสให้คำปรึกษาแก่ลูกชายที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ในแง่คิดด้านต่างๆ มีโอกาสพาครอบครัวไปกราบบรรพบุรุษที่จังหวัดระนอง มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรที่มีความปรารถนาดีต่อส่วนรวม และต่อกันและกัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองเพื่อไม่ให้ต้องเป็นที่ไม่สบายใจของใครต่อใคร ดีใจกับชาวนาที่ได้รับชำระเงินค่าจำนำข้าวด้วยวิธีการระดมเงินจากสถาบันการเงินตามแนวทางเดียวกับที่ผมเคยพยายามทำแต่ทำไม่สำเร็จด้วยเหตุผลที่ผู้คนทั่วไปก็ทราบดีกันอยู่ผมติดตามข่าวสารบ้านเมืองด้วยจิตอันเป็นกุศลหวังเห็นบ้านเมืองมีความสงบสุขปรองดอง
อย่างไรก็ตามสามสี่วันที่ผ่านมาก็รู้สึกทุกข์ใจ เมื่อเรื่องราวอันเป็นกระบวนการของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ผมทำงานอยู่ด้วย และเคยทำหน้าที่ในระดับนโยบายทั้งโดยตรง และโดยอ้อมมาโดยตลอด จบลง เพราะผมหมดหน้าที่พร้อมกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากเหตุรับทราบการโยกย้ายข้าราชการท่านหนึ่ง เมื่อเกือบสามปีก่อน
ความทุกข์ที่ว่าเกิดเมื่อเห็นการลงมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้กล่าวโทษทางอาญา ต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (แต่เพียงผู้เดียว) ทั้งๆ ที่ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายจำนำข้าว ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อเข้ารับหน้าที่ โดยกระบวนการพิจารณา ของ ป.ป.ช. ที่กำลังถูกสังคมตั้งคำถามว่า มีการดำเนินการรวบรัดเร่งรีบ อย่างไม่เป็นปกติหรือไม่ ความบกพร่องใดๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นก็ถูกเหมารวมเป็นความผิดของผู้ถูกกล่าวหาแต่เพียงผู้เดียวไปเสียทั้งหมด พยานที่ผู้ถูกกล่าวหาเสนอไป ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นคนดีมีความเป็นธรรมตามสมควร ก็ไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด
ความทุกข์ที่ต่อเนื่องตามมาด้วยการอ่านความคิดเห็นในเฟซบุค ตามระบบ “วาทกรรม” อันเป็นงานถนัดของอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง ในลักษณะฉายหนังบิดเบือนซ้ำซาก ที่สื่อมวลชนบางฉบับนำมาถ่ายทอด ทำให้ผมได้สติว่า การที่ผมจะอยากเห็นส่วนรวมมีความสงบสุขก็ไม่ได้แปลว่าผมมีหน้าที่หยุดคิด หยุดพูด ผมขอยืนยันว่าการดูแลชาวนาผู้ปลูกข้าวเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และรัฐบาลต่างๆ ในอดีตก็ดำเนินการมาตลอดระยะเวลากว่า ๓๐ ปีทั้งด้วยวิธีการรับจำนำ และวิธีการอื่นๆ ทุกวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน บางวิธีที่ดูคล้ายกับไม่มีการทุจริต ไม่ต้องรับข้าวเข้าคลังสินค้า ไม่ต้องใช้เงินหมุนเวียน ไม่ต้องรับซื้อ ไม่ต้องขายออก ให้เห็นยอดขาดทุน เช่น โครงการประกันราคาข้าว กลับเป็นโครงการที่มีโอกาสทุจริตสูงเพราะไม่มีข้าวให้ตรวจสอบ เพียงแต่สามารถลงทะเบียนว่าปลูกข้าว ทั้งๆ ที่มีพื้นที่จำนวนมากไม่ได้ปลูกข้าวจริง ก็มารับเงินชดเชยส่วนต่างราคาได้ คนที่ทุจริตกลุ่มนี้จะยิ่งพอใจเมื่อราคาข้าวในตลาดยิ่งต่ำ เพราะได้รับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาตลาด กับราคาประกันมากขึ้น จนเคยมีกรณีร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. มาก่อน การร้องเรียนเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ เสียอีก โครงการรับจำนำข้าวก็เป็นโครงการที่มุ่งดูแลชาวนา ซึ่งข้อดีก็มีมากอย่างต่อเนื่องทั้งการลดช่องว่างระหว่างคนรวย กับชาวนาในชนบท จนช่วยลดความกดดันทางสังคม ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย และเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้จากภาษีประเภทต่างๆ ให้แก่ประเทศ แต่ก็ต้องทำงานหนัก ทำงานให้สุจริต เพราะหากมีการทุจริตก็จะปรากฎเป็นหลักฐานให้ดำเนินการเอาผิดกับบุคคลที่กระทำผิดเป็นการเฉพาะแต่ละเรื่อง แต่ละเวลาได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ดำเนินการเอาผิดต่อบุคคลที่ทุจริตอย่างจริงจัง แต่ที่น่าสนใจคือ ป.ป.ช.ยังไม่พบและพิสูจน์การกระทำผิด และระบุผู้กระทำผิดตามกระบวนการของ ป.ป.ช. ในแต่ละเรื่องดังกล่าวเลย
ความทุกข์ยังคงเพิ่มขึ้น ชนิดวันต่อวัน เมื่ออ่านข้อเขียนของคนมีปากกาในคอลัมน์หนึ่งของหนังสือพิมพ์ขายดีฉบับหนึ่ง ที่เขียนให้เข้าใจว่า มีพยานของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา คือ ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ คนหนึ่งให้การ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี โดยระบุ เป็นถ้อยคำให้การต่อ ป.ป.ช.ในเครื่องหมายคำพูดว่า “แนวทางในโครงการรับจำนำข้าว ผมไม่ได้คิดเอง แต่นายกฯ ใส่แฟ้มมาให้ ผมก็ดำเนินการตามนั้น ทำอะไรนายกฯก็รับรู้หมด... หลายเรื่องผมไม่เห็นด้วย ผมก็จะสั่งให้เขียนเป็นหมายเหตุเอาไว้ท้ายบันทึกการประชุม แต่ก็ไม่มีใครดำเนินการตาม”
ผมมั่นใจว่าไม่มีพยานที่ให้การกับ ป.ป.ช. ในถ้อยคำดังกล่าว หรือแม้แต่จะมีความหมายใกล้เคียงกับถ้อยคำดังกล่าว เพราะถ้อยคำดังกล่าวไม่เป็นความจริงให้พยานคนใดไปกล่าวเช่นนั้นได้ ในขณะเดียวกันไม่มีท้ายบันทึกการประชุมอะไร ไม่ว่าของ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) หรือของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะไปถูกบันทึกโดยพยานคนใด ให้ใคร ไม่ปฏิบัติตาม เอาล่ะครับหากมีพยานคนใดให้การในลักษณะ หรือความหมายดังกล่าวผมขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีกับพยานคนนั้นๆ ในข้อหาให้การเท็จ เพราะบันทึกคำให้การทั้งเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นเสียงข้องผู้ให้การย่อมถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามหากไม่มีการให้การในลักษณะดังกล่าว ป.ป.ช.ก็ควรกล่าวโทษกับคนมีปากกาของหนังสือพิมพ์ขายดีฉบับนั้น ไม่ให้เป็นความเสื่อมเสียแก่ ป.ป.ช. และยังช่วยผดุงรักษาสื่อมวลชนโดยรวมให้มีคุณภาพด้วย
มติชนออนไลน์...
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23:30:00 น.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1405947757
???????????????????????????????????????
"ฯพณฯนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายจำนำข้าว ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา"
"แต่ที่น่าสนใจคือ ป.ป.ช.ยังไม่พบและพิสูจน์การกระทำผิด และระบุผู้กระทำผิดตามกระบวนการของ ป.ป.ช. ในแต่ละเรื่องดังกล่าวเลย"
อ่านแล้วละเหี่ยใจกับมาตรฐานความยุติธรรมของสารขัณฑ์
ยังพิสูจน์เอาผิดกับผู้ปฏิบัติงานคนใดไม่ได้ แต่ตัดสินให้นายกฯซึ่งเป็นผู้วางนโยบายผิดไปก่อนแล้ว......
และที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆจากคำที่ว่า.....
" จบลง เพราะผมหมดหน้าที่พร้อมกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากเหตุรับทราบการโยกย้ายข้าราชการท่านหนึ่ง เมื่อเกือบสามปีก่อน "
แค่รับทราบการโยกย้ายข้าราชการคนหนึ่ง กลับต้องเป็นความผิดถึงกับหลุดจากตำแหน่งนายกฯของประเทศนี้
แล้ว...แล้ว...ปัจจุบันนี้ล่ะ
ย้ายกันรายวันเป็นว่าเล่น
มีปะหาไรหรือเปล่าเพ่......