บุพเพเนรมิต ๐๑

กระทู้สนทนา
รถยนต์อเนกประสงค์สีดำแล่นฝ่าลมฝนโหมกระหน่ำอย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มหน้าพวงมาลัยถอนใจเฮือกใหญ่ สบถลั่นออกมาหลายคำ ทว่าถูกเสียงเม็ดฝนปะทะตัวรถดังอื้ออึงกลบไปจนสิ้น ยิ่งเขาขับลึกไปตามทางดินขรุขระแคบลื่นด้วยโคลนดินแดงมากเท่าใด บรรยากาศสองข้างทางก็ยิ่งแปลกเปลี่ยวขึ้นเท่านั้น ไร้ซึ่งบ้านเรือนผู้คนให้อุ่นใจ มีเพียงดงหญ้ารกเรื้อ ต้นไม้น้อยใหญ่ไหวเอนโบกสะบัดตามแรงลมกรรโชกกราดเกรี้ยวคอยให้การต้อนรับ ทางด้านหลังแสงสว่างวาบแล่นผ่าเมฆทะมึนลงมาเป็นสายไล่กวดมาอย่างแข็งขัน ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นก้องเต็มสองหู


    “บ้าฉิบ! ให้ตาย!” อาชากรหัวเสียยกใหญ่กับสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้วกลางฤดูร้อน จากวันที่แดดจัดร้อนเปรี้ยง อุณหภูมิเกือบแตะสี่สิบองศาอยู่รอมร่อ แต่แล้วจู่ๆ ฝนก็สาดลมก็ซัดมาชนิดไม่ให้ตั้งตัวทัน จนเวลานี้ยังไม่มีวี่แววสงบ มิหนำซ้ำจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย


ทัพเมฆมืดหนาตีล้อมฟ้ารอบทิศ บดบังแสงแดดยามบ่ายข่มให้บรรยากาศสลัวรางราวย่ำค่ำ ความเย็นยะเยียบจากภายนอกกรูเข้าบุกยึดพื้นที่ภายในรถ เล่นงานคนที่สวมเสื้อยืดผ้าบางกับกางเกงขาสั้นจนโรคประจำตัวกำเริบ ชายหนุ่มเริ่มคัดจมูก ศีรษะปวดหน่วงชวนรำคาญ ครั้นจะถอดใจบ่ายหน้ากลับไปตั้งหลักที่ถนนใหญ่หรือก็ช้าเกินการ ทางคดแคบเละลื่นไม่เอื้อให้กลับรถคันโตได้โดยสวัสดิภาพ อีกทั้งละแวกนี้ยังไม่มีบ้านคนให้ขอพักหลบฝนเลย ทางเดียวที่เขาทำได้คือต้องประคับประคองรถไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มยกมือขยี้จมูกตีบตันอย่างเบื่อหน่ายพลางนึกทบทวน ...หากความจำของเขาไม่คลาดเคลื่อนเกินไปนัก จากทางแยกที่เห็นลิบๆ ด้านหน้าอีกราวยี่สิบกิโลเมตร หนทางทุรกันดารคดเคี้ยวก็จะนำไปสู่ ‘บ้านอักษร’ อันเป็นจุดหมายในการเดินทางแสนทุลักทุเลครั้งนี้


    บ้านเก่าแก่ทรงแปดเหลี่ยมหลังใหญ่อายุนับร้อยปี สร้างอย่างประณีตด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ซึ่งถูกขนานนามแต่แรกสร้างว่าบ้านอักษร พร้อมทั้งที่ดินโดยรอบอีกสามสิบไร่เศษ เป็นสมบัติตกทอดชิ้นสำคัญสำหรับบุตรชายผู้สืบสกุล ‘เตชะกฤดาการ’ ในแต่ละรุ่น ตัวอาชากรเองได้ครอบครองสถานที่รวบรวมทรัพย์สินล้ำค่าจารึกความเป็นมาของตระกูลโดยมิได้ยินดีปรีดาสักนิด ในเมื่อบ้านอักษรตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เนื่องจากการเสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ของผู้เป็นบิดา ขณะนั้นตัวเขาอายุเพียงแค่สิบสามปี ความเศร้าโศกจากการสูญเสียและความอึดอัดกดดันอย่างประหลาดยามได้ไปเยือน ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นของเขาไม่สู้ดีนัก หากไม่มีธุระจำเป็นเขาก็ไม่คิดจะย่างกรายไปที่นั่น เพียงแต่คอยกำชับถามไถ่เรื่องการดูแลรักษาตัวบ้าน รวมทั้งทรัพย์สินภายในกับผู้ดูแลเก่าแก่ตามหน้าที่ทายาทพึงกระทำเท่านั้น


    ในที่สุดความพยายามยิ่งยวดของอาชากรก็พาเขามาถึงที่หมาย ไฟหน้ารถส่องให้เห็นอาณาบริเวณกว้างล้อมด้วยรั้วลวดหนามเป็นสัดส่วน รถคันโตล้อเปรอะด้วยโคลนดินแดงแล่นผ่านประตูเปิดกว้างเข้าไปด้านใน ผ่านกลุ่มต้นมะม่วงและชมพู่ที่ถูกพายุฝนซัดกิ่งผลร่วงเกลื่อนพื้น ไม่นานก็ถึงหน้าบ้านไม้โอ่อ่าขรึมขลัง ตั้งตระหง่านตระการตาแม้อยู่ท่ามกลางม่านฝนหนาขาวมัว ชายชราร่างผอมเกร็งกางร่มวิ่งเหย่าออกมาจากบ้านไม้หลังย่อมปลูกขนาบเรือนประมุขทันทีที่ได้ยินเสียงแตร แกกุลีกุจอยกร่มบังฝนให้ชายหนุ่มที่กำลังจะออกจากรถ


    “มาครับคุณอาด วันนี้ไม่รู้เป็นไง ฝนตกยังกะฟ้าจะถล่ม นี่ผมกะเมียก็กำลังเป็นห่วงคุณอยู่เชียว” ลุงสมบูรณ์พูดสำเนียงเหน่อรัวเร็วแข่งกับเสียงฝนตกจั้กๆ และลมพัดอู้ ใบหน้ากร้านแดดแสดงความยินดีระคนโล่งใจที่อาชากรเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัย


    อากาศด้านนอกหนาวเยือกจับใจด้วยพายุฝนซัดกระหน่ำนานนับชั่วโมง ทันทีที่ร่างสูงกำยำก้าวออกจากรถก็มีอันต้องยืนห่อตัวอยู่ใต้ร่ม แทบสะดุ้งยามเม็ดฝนเย็นเฉียบกระเซ็นมาโดน เท้าเย็นวาบเมื่อเหยียบลงบนพื้นดินนุ่มเจิ่งนองด้วยน้ำ เขารีบหยิบสัมภาระออกจากประตูรถด้านหลัง แล้วเร่งชวนผู้อาวุโสเข้าบ้านเสียก่อนที่จะเปียกม่อล่อกม่อแลกกันไปทั้งคู่


    ภายในบ้านไม้สองชั้นหลังกะทัดรัดอบอุ่นต่างจากด้านนอกมากโข หญิงชราร่างเล็กผิวคล้ำแต่สีหน้าสดชื่น เดินเหินคล่องแคล่ว ปรี่เข้าหาผู้มาเยือนพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่และน้ำขิงอุ่นๆ อย่างรู้ใจคนขี้หนาว


    “ป้าห่วงแทบแย่ พอฝนตกหนักสัญญาณมือถือก็ล่มเสียด้วย นี่คุณอาดหิวไหม ป้าทำแกงส้มไว้ให้ ข้าวหนมข้าวต้มก็มีหลายอย่าง หรือจะอาบน้ำก่อนจ๊ะ ป้าจะได้ต้มน้ำ” ป้าจุรีต้อนรับขับสู้ไม่มีบกพร่อง มองคนที่กำลังใช้ผ้าขนหนูคลุมตัวต่างเสื้อกันหนาวด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู


    อาชากรยกแก้วน้ำขิงไอกรุ่นขึ้นจิบหลายที พอจมูกโล่งขึ้นบ้างแล้วก็เอ่ยตอบอย่างเกรงใจ “ขออาบน้ำก่อนแล้วกันครับ แต่เดี๋ยวน้ำผมต้มเองก็ได้ ลำบากป้าเปล่าๆ”


    “โฮ้ย...นานทีปีหนคุณอาดจะมาให้ป้าลำบาก ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” ผู้ชราหัวเราะร่วน ยกกาน้ำขิงรินเติมให้พลางถาม “คืนนี้คุณอาดจะนอนที่ไหนล่ะ ป้าเตรียมไว้ให้ทั้งสองที่นั่นแหละ ทั้งชั้นบนนี่...แล้วก็ที่บ้านใหญ่โน่น”


    “นอนบ้านนี้ก็ได้คุณอาด ไปนอนบ้านใหญ่คนเดียวมันเหงานา...” ลุงสมบูรณ์เสนอความเห็น ประโยคท้ายออกเชิงแซวเล่นประสาคนสนิทสนมคุ้นเคยกันดี ต้นตระกูลแกเป็นลูกหม้อรับใช้ใกล้ชิดบ้านเตชะกฤดาการมาหลายชั่วอายุคน ตัวแกและภรรยารับช่วงดูแลบ้านอักษรต่อจากบิดา นอกจากคอยทำนุบำรุงบ้านไม้หลังงามไม่ให้ทรุดโทรมเสียหาย แกกับภรรยายังใช้เวลาที่เหลือปลูกผักหญ้า ทำไร่สวนตามที่กำลังจะอำนวยเป็นรายได้เสริม โดยได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของบ้านอย่างอาชากร


“ผมนอนบ้านใหญ่ดีกว่า ว่าจะรีบหาของให้คุณหลุนด้วย พรุ่งนี้จะได้กลับกรุงเทพฯ แต่วัน ช่วงค่ำๆ มีนัดกินข้าวคุยกับทีมงานอีกน่ะครับ” อาชากรชี้แจงเหตุผล งานใหญ่ยักษ์ที่คั่งค้างอยู่ทำให้ผู้กำกับหนุ่มมีเวลาอยู่บ้านอักษรไม่มาก ละครเรื่องใหม่ซึ่งสร้างจากบทประพันธ์ชิ้นเอกของ ‘จิตต์ประภัส’ ผู้เป็นปู่ ส่อเค้าเกิดปัญหาวุ่นวายหลายประการจึงต้องเร่งวางแผนรับมือ ก่อนจะลุกลามเพลี่ยงพล้ำเกินแก้ไข


    “เอ้อ แล้วคุณครองขวัญเป็นยังไงบ้างจ๊ะ คราวที่แล้วเห็นบอกว่าอยากกินชมพู่หวานๆ เสียดายหนนี้ไม่มีฝากไปให้ ลมฝนท่าจะซัดร่วงช้ำไปหมด”


    “แม่เขาสบายดีครับ ยังบ่นไม่เว้นช่องไฟได้คล่องปร๋อเหมือนเดิม” ชายหนุ่มตอบติดตลก ลุงสมบูรณ์ได้ยินเข้าหัวเราะก๊าก เพราะเวลาแวะเอาผลหมากรากไม้จากสวนไปเยี่ยมที่กรุงเทพฯ เมื่อใด ก็มักจะบังเอิญได้อยู่ร่วมเหตุการณ์คุณครองขวัญบ่นลูกชายแบบไม่เว้นช่องไฟเสียทุกรอบ


    โอภาปราศรัยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันพอหอมปากหอมคอ ป้าจุรีก็ขอตัวไปเตรียมน้ำอุ่น อีกครู่หนึ่งจึงตามแขกให้ไปอาบน้ำอาบท่า อาชากรไม่ได้เอาเสื้อคลุมแขนยาวติดกระเป๋ามาด้วย ต้องหยิบยืมเสื้อกันหนาวของลุงสมบูรณ์ใส่แก้ขัด แม้เขาจะอยู่ในบ้านช่องปิดมิดชิด จิบน้ำขิงควันกรุ่นหมดไปเป็นแก้ว อาบน้ำอุ่นก็แล้ว... สวมเสื้อผ้าหลายชั้นก็แล้ว... อาการแพ้อากาศก็ยังไม่ทุเลาลงสักเท่าไร




    หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ผู้กำกับหนุ่มตัดสินใจพึ่งยาที่พกติดตัวเสมอ การใช้ยาแก้แพ้ได้ผลชะงัดนัก หากแต่เขาไม่ชอบอาการง่วงซึมสะลึมสะลืออันเป็นผลข้างเคียงของมันเอาเสียเลย ยามสติล่องลอยครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างนั้นมักจะปลุกเร้าภาพความทรงจำที่เก็บงำเอาไว้ให้ฟื้นคืนมาหลอกหลอนเขาราวภูตผี


    เสียงลมด้านนอกเพลาความบ้าคลั่งลงบ้างแล้ว แต่ฝนยังไม่ซาเม็ด อาชากรมีเวลาจัดการธุระที่นี่ไม่มาก เขาเอ่ยปากขอกุญแจและยืมร่มจากผู้ชรา เตรียมตัวย้ายสัมภาระไปเรือนประมุข


    “ลุงกับป้าพักผ่อนเถอะครับ ใกล้แค่นี้เองผมถือได้ สบายมาก” ชายหนุ่มโบกมือไม้ทำนองว่าไม่เป็นไร ตอบสองสามีภรรยาที่เสนอความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น เขากังขาประกายวิตกกังวลที่ฉายชัดในแววตาผู้ชราทั้งสอง แต่ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจเป็นสาระอันใดมากนัก


มีเรื่องลือเรื่องเล่าอ้างมาตั้งแต่สมัยโบราณนานนม ว่าบุตรชายผู้สืบสกุลเตชะกฤดาการล้วนแต่อายุสั้นราวต้องคำสาป ฉะนั้นเขาจึงชินแล้วกับการที่ญาติสนิทมิตรสหายมักเดือดร้อนกังวล เป็นห่วงเป็นใยเขาไปเสียทุกย่างก้าว แม้จะไม่เชื่อในเรื่องงมงายทำนองนี้ แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่ปู่และบิดาเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ปู่สิ้นลมด้วยโรคมะเร็งปอดตอนท่านอายุ 58 ปี ปีถัดมาบิดาก็จากไปด้วยวัยเพียง 37 ปี อีกทั้งเมื่อราวห้าปีก่อน ตัวเขาเองก็ได้ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้วหนหนึ่ง ในเดือนเดียวกับที่ปู่และบิดาลาโลกไปนั่นเอง... เขาไม่รู้จะอธิบายเรื่องราวพวกนี้ได้อย่างไร นอกจากจะเรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอันน่าเศร้า


    อาชากรออกเดินดุ่มฝ่าความมืดและหนาวชื้นไปสู่บ้านไม้โบราณโอ่อ่า ท้ายทอยและแผ่นหลังเย็นวาบอย่างประหลาดทันทีที่ไขกุญแจเปิดประตูบานใหญ่ เขาถอดรองเท้าซึ่งเปียกชุ่มวางไว้หน้าประตูพร้อมร่ม ร่างสูงก้าวเข้าไปในตัวบ้านพร้อมสัมภาระแล้วดึงประตูปิด ชั่วขณะที่ร่างกายถูกกักกันอยู่ในห้วงความมืดดำวังเวง จิตประหวัดไปเมื่อคราได้พบหน้าผู้เป็นปู่ครั้งสุดท้ายในบ้านหลังนี้


    ‘บุรุษตระกูลเรา สังเวยเลือดเนื้อและวิญญาณเพื่อการสร้างสรรค์...เจ้าอาด น่าเสียดาย...’


.
.
.

(บุพเพเนรมิต : บ้านอักษร ๐๑)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่