ถอดรหัสระทึกขวัญ ฝันกระชากวิญญาน ตอนที่๑

กระทู้สนทนา
ตอนแรก ค่ำคืนแรกแห่งการเดินทาง
กรวิชญ์ หรือที่เพื่อนและอาจารย์ในคณะแพทยศาสตร์เรียกว่าเม่นตามทรงผมของเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของเขาด้วยแรงอันน้อยนิดที่เขายังเหลืออยู่ สามสิบนาทีก่อนหน้านี้เขายังนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสีของมหานครที่เขาอาศัยอยู่กับเพื่อนๆที่งานเลี้ยงส่งนักเรียนแพทย์ปีสุดท้าย เขารู้สึกว่าดื่มมากเกินไป แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหมอคอแข็งอย่างเขาที่สามารถขับรถมาถึงหอพักได้เขากระแทกประตูห้องพักเหมือนที่เขาทำปกติในหกปีที่เขาต้องทนอยู่ในห้องพัก พรุ่งนี้แล้วเขาจะได้กลับไปนอนในบ้านสวนกว้างใหญ่ที่เขาเคยอยู่มา เขาคิดอย่างพอใจแต่ในยามนั้น ความง่วงได้กัดกินร่างกายของเขาเกินกว่าจะทำหรือคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว ว่าที่แพทย์หนุ่มทิ้งตัวลงบนเบาะเหยียดกายแผ่หรา แต่ทันทีที่หัวของเขาโดนหมอน เขาก็รู้สึกปวดหัวเหมือนสมองจะระเบิดออกจากกัน เขาร้องลั่นควานหายาแก้ปวดข้างเตียง โชคร้ายที่มันหมดแล้วตั้งแต่คืนก่อน เขากุมหัวอย่างทุรนทุรายก่อนที่ประตูจะถูกแง้มออกมา
    “เป็นอะไรไป เม่น ร้องดังไปทั้งหอเลย” นักศึกษาแพทย์สาวร่วมรุ่นคนสนิทของกรถามเขาด้วยความเป็นห่วง
    “แตมป์ เรารู้สึกปวดหัวมาก เหมือนจะระเบิดเลย” เขาตอบร้องพลางกุมขมับทั้งสองของเขาไว้ “ขอพาราสักเม็ดได้ไหม”
    หญิงสาวในแว่นดำหนาเตอะไม่ตอบ เธอก้มหน้ามือควานหายาแก้ปวดยี่ห้อดังในกระเปาใบน้อยของเธอ ก่อนจะยื่นมันไปให้เพื่อนของเธอ
    “ขอบใจมากนะแตมป์. เขาพูดขณะที่มือกำยาคว้าขวดน้ำข้างตัวมาไว้ และดื่มมันลงไปในคออย่างรวดเร็ว
    “ขอบใจเธอมากนะ ถ้าไม่มียาของเธอ คืนนี้ฉันคงนอนไม่ได้หรอก”
    “ไม่เป็นไรหรอก เราเพื่นกันนิ” ว่าที่แพทย์สาวยิ้มสดใส “หลับฝันดีนะเม่นน้อย”
    เพื่อนสาวเดินออกนอกประตูไป เหลือแต่ความมืดมิดอยู่รอบกายของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะเปิดโคมไฟดวงเล็กที่จับฉลากได้มา เขารู้สึกอบอุ่นใจเมื่อได้เห็นแสงสวาง
    “ยาของแตมป์นี่ได้ผลดีจริงๆ" เขาคิดในใจพลางขยับผ้าห่ม เขาง่วงเกินกว่าจะเปิดตาอยู่ได้ เขาหาวฟอดใหญ่ก่อนที่จะเคลิบหลับท่องในโลกแห่งความฝันเหมือนทุกค่ำคืน
    จากนาทีเป็นชั่วโมง เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ชายหนุ่มตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอันยาวนาน คืนนั้นเขาไม่ได้ฝันดีอย่างที่เคย เขาฝันร้ายมากที่สุดที่มนุษย์จะฝันได้ อย่างไรก็ดี เขารู้สึกโชคดีที่ตื่นขึ้นมาจากภวังค์นั้น เขาบิดขี้เกียจและมองไปรอบข้าง แต่เขากลับต้องประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าเขาไม่ดื่นมาในห้องพักแคบๆของคณะแพทย์ แต่นอนอยู่บนเตียงกลางห้องโล่งกว้างที่ทั้งพื้น ผนังและเพดานล้วนเป็นสีขาว เขาไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เขาอาจจะยังไม่ตื่น แต่เขารู้สึกเจ็บเมื่อถูกหยิก หรือเขาอาจจะถูกลักพาตัว! เขาลุกขึ้นจากเตียงและเดินดูรอบๆห้อง เขาไม่พบสิ่งอื่นใดนอกจากชายสูงวัยในชุดทักซิโดสีดำยืนอยู่หน้าจอเงินที่ฉายภาพยนตร์ที่เขายังไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นอาจเป็นคนร้ายที่ลักพาตวเขามา แต่เขาดูอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นคนร้าย เขาอาจจะเป็นเหยื่อก็ได้
    “ลุงครับ” กรเรียกอย่างตื่นเต้น แต่ชายชราไม่ตอบกลับ เขาพยายามร้องเรียกชายชราหลายครั้งจนกระทั่งชายชราหันตวมาหาเขาช้าๆ
    “ชีวิตของเรานั้นมันไม่เที่ยง” ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่มีอะไรในโลกนี้ยั่งยืน”
    กรขยับแว่น เขาไม่เข้าใจในคำพูดแปลๆของชายชรา บางทีอาจเป็นโรคในสมองเหมือนที่เขาเคยเรียนมาก็ได้ “ขอโทษครับ คุณลุงชื่ออะไรหรือครับ”
    “ชื่อก็เป็นเพียงแต่สิ่งที่คนเราสมมติขึ้น ไม่จีรังยั่งยืน” ชายชราพูดอย่างมีปรัชญา “เรียกว่าคุณลุงก็ได้”
    “ครับคุณลุง” กรตอบ “ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรือครับ”
    “เราทั้งสองกำลังยืนอยู่กลางที่แห่งเดียวที่จีรังยั่งยืน เป็นที่ที่กระแสน้ำแห่งชีวิตไหลมาบรรจบที่นี่ ที่ที่ทุกคนไม่ว่าจะจนหรือรวยมาพบกันทั้งที่เต็มใจและไม่ได้เต็มใจ” ชายชราเอื้อนเอ่ยหลักธรรมขึ้น “พ่อหนุ่มเรียนแพทย์ใช่ไหม”
    “ครับ” กรพยักหน้า
    “สุดท้ายแล้วเลือดทุกส่วนจะไหลไปบรรจบกันเพื่อรอการไหลเวียนใหมี่ไหน” ชายชราถาม
    “หัวใจครับ” กรตอบทั้งที่ใจยังสงสัย ทำไมชายสูงวัยจึงสนใจถามเรื่องนี้
    “ที่นีคือหัวใจของโลกนี้ หัวใจของภพชาติ. ชายชรามองไปยังจอเงิน “ชีวิตที่ถูกใช้มาแล้วต่างมารวมกันที่นี่เพื่อรอการฟื้นฟูไปใช้ใหม่ เหมือนเลือดที่มาหัวใจเพื่อรอการฟอกที่ปอด”
    กรประหลาดใจมากเมื่อเขาสามารถถอดความนัยได้ “นี่ลุงคงไม่ได้หมายความว่า”
    “เสียใจด้วยนะพ่อหนุ่ม ชีวิตเธอได้จากโลกไปแล้ว”
    กรไม่ค่อยเชื่อคำพูดของชายชราเท่าไหร่นัก เขาคิดว่าชายสูงวัยอาจป็นเพีงยคนไข้จิตเภทที่หลุดมาเท่านั้น เขาหยิบมือถือยี่ห้อยอดนิยมขึ้นเพื่อโทรแจ้งโรงพยาบาลประสาท แต่ราวกับว่าชายผู้นั้นสามารถอ่านความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจับแขรนของกรเอาไว้และพูดขึ้น
    “เธออาจจะไม่เชื่อและคิดว่าฉันบ้า” ชายชราพูด “เธอจงมองที่จอเงินนี้”
    ทันใดจอเงินก็แสดงภาพขึ้นมาเหมือนโรงภาพยนตร์ย่านสยามที่เขาเคยดู ภาพในจอเป็นรูปบุรุษพยาบาลร่างกำยำกำลังเข็นเตียงที่มีชายหนุ่มที่สวมหน้ากากหายใจอยู่ อีกคนหนึ่งนั่งคร่อมตัวชายเคราะห์ร้ายพยายามปั๊มหัวใจให้เขาตื่นมา แต่กรซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ทราบดีว่ามันไม่มีผล ร่างของชายผู้นั้นไม่ตอบสนองเลย
    “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลเมื่อคืน”ชายชราพูด ภาพตัดไปที่เสียงร่ำไห้ของญาติมิตรข้างร่างของชายผู้นั้น สายยางหลายเส้นเจาะตัวของเขา เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างเต็มที่ กรพยายามมองคนเหล่านั้น เขาเห็นอาจารย์ของเขาพูดถึงภาวะเจ้าชายนิทรา เห็นพ่อแม่ยืนร้องไห้อยู่กับแสตมป์ กรแปลกใจที่เห็นพวกเขาอยู่กับชายเคราะห์ร้ายที่เขาไม่รู้จัก เขาพยายามมองผ่านหน้ากากและสายยังที่บดบังใบหน้าของชายที่นอนหายใจระริน ใบหน้าของเขานั้นดูคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน เมื่อกรนึกออก เขาก็ทรุดตัวลงกับพื้น แทบจะสิ้นสติลงเพราะชายคนนั้นก็คือตัวเขานั่นเอง!
    กรทรุดตัวร้องไห้ น้ำตาของเขาหยดลงบนพื้นเหมือนสายฝนตกลงมาจากฟากฟ้าอันดำมืดหยดแล้วหยดเล่า มันเร็วเกินไปสำหรับแพทย์หนุ่มมีอนาคตอย่างเขาจนไม่อาจทำใจได้ เขาปาดน้ำตาแล้เงยหน้ามองชายชราคนนั้น
    “นี่ผมตายแล้วเหรอ” เขาถามทั้งที่น้ำเสียงสั่นเครือ .นี่ผมอยู่ในนรกใช่ใหม”
    “ไม่เชิงหรอก” ชายชราพูดขึ้น “เธอยังไม่ตายไปเสียทีเดียว เธอกำลังฝันอยู่”
    “ฝัน?” กรรู้สึกฉงนใจ “แต่ลุงเพิ่งบอกผมว่าผมตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
    “คนเราจะตายไม่ได้ตายไปทันที่หรอก” ชายชราพูดขณะที่ขาของเขาก้าวไปทางประตูไม้สักสีน้ำตาลอย่างช้าๆ “วิญญานจะต้องไปยังดินแดนแห่งฝันก่อน วิญญาณที่ยังมีชีวิตอยู่มาที่นี่แล้วก็กลับไป แต่เธอมาที่นี่เพื่อรอคอยการเดินทางต่อไป”
    “นี่คุณลุงจะไปไหนครบ”
    “ไม่ได้ไปใหนหรอก ลุงจะไปเปิดประตูให้ไนของท่านผู้นั้นอยู่ เธอรอพบพ่อหนุ่มมานานแล้ว”
    ชายชราเดินไปถึงประตูไม้ มือของเขาค้อยบิดลูกกลอนสีเงินช้าๆก่อนที่เสีงยฝีเท้าเล็กๆจะมุ่งหน้าจากภายนอก กรเห็นสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งเดินมา เธอสวมชุดผ้าซิ่นเสื้อโปร่งสวมสร้อยใข่มุกและที่คาดผมอย่างกุลสตรีชั้นสูงสมัยรัชกาลที่หก ใบหน้าของเธอนั้นกรรู้สึกคลับคล้ายคลับคลามาก จนในที่สุดเขาก็นึกออกว่สตรีผู้สูงศักดิ์คนนั้นเป็นใคร
    “ยินดีต้อนรับสู่ห้วงแห่งความฝันจ้ะ หลานกร” สตรีผู้นั้นทักทายกรอย่างเป็นมิตร เธอก็คือย่าของกรนั่นเอง
    กรไม่เคยเห็นใบหน้าของย่ามาก่อน เขาเคยเห็นแต่เพียงรูปถ่ายและคำบอกเล่าของพ่อเท่านั้น พ่อเล่าให้เขาฟังตอนเด็ๆว่าตระกูลของเขาสืบเชื้อสายมาจากขุนนางสมัยรัชกาลที่หก ย่าของเขาก็คือคุณท้าววรจันทร์ คอยสนองพระเดชพระคุณในวัง คุณย่ามีผิวสีนวลเหมือนพระจันทร์ แต่หลังจากกรเกิดมาไม่นาน ย่าก็หายสาบสูญไปทิ้งคุณพ่อและคุณปู่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ไว้ข้างหลัง กรตื่นเต้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วย่าของเขาไม่ได้มีหน้าตาเหมือนในรูป แต่ท่านสวยกว่าเยอะ
    “พร้อมจะไปรึยัง หลานกร” เธอถาม “ย่าจะไปส่ง”
    “ผมยังไปไม่ได้ครับ” กรตอบ “ผมยังมีภาระอยู่ข้างหลังอยู่ ผู่ป่วยกำลังรอการรักษาอยู่”
    “กร ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนหรอก กรรมได้ลิขิตผู้คนไว้แล้ว” ย่าตอบพลางจับแก้มของหลานรักอย่างละมุน “ถ้าหากหลานยังไม่อยากจะไป หลานยังอยู่ที่นี่สักพักก็ได้”
    ชายชราซึ่งยืนเงียบอยู่ด้านหลังทำสีหน้าเลิกลักอย่างกับย่าของกรจะพูดอะไรผิดไป “แต่คุณท้าวขอรับ ท่านกำลังจะทำผิดกฎของวัฏจักรอยู่นะครับ มันอาจจะ...”
    “อย่ากังวลไปเลย ผู้เฒ่าเฝ้าห้องแห่งการตื่น ท่านผู้นั้นคงไม่ได้ว่าอะไรหรอก” คุณท้าววรจันทร์ตอบชายชราด้วยน้ำเสียงขุ่นก่อนจะจูงมือหลานของเธอผ่านประตูไม้ออกไป ทิ้งให้ชายชราอยู่เพียงลำพังรอตอนรับผู้มาเยือนคนใหม่อีกครั้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่