คุณนายวิกเซ่นสลัดความคิดทุกอย่างทิ้งไป ก่อนตัดสินใจลงมือจู่โจมอย่างรวดเร็วด้วยการขยับหลอกล่อสองสามครั้งก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ลำคอ ตรงตำแหน่งที่ผิวหนังกำลังเต้นตุบตับ หรือที่ถูกต้องกว่าก็คือเส้นเลือดสำคัญที่อยู่ข้างใต้นั้น นางทุ่มเทพละกำลังที่มีทั้งหมดลงไป
'กัดทีเดียวให้จมเขี้ยว' นางรู้ว่านี่ไม่ใช่การล่า แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
ที่กำลังอยู่ต่อหน้านางในตอนนี้เป็นสัตว์ร้ายที่ยืนด้วยสองขา มีสองแขนไว้ใช้ควบคุมสิ่งยาวแหลมคมที่เรียกว่าดาบ อาวุธซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด ความต้องการ จากความรู้ที่สั่งสมตกทอดสืบต่อกันมา พร้อมด้วยวิธีการเคลื่อนไหวที่ต้องฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยโครงสร้างของร่างกาย แต่ขยายออกไปจนถึงจิตที่เหนือขีดจำกัด จิตอันแปลกประหลาดที่ประกอบขึ้นจากข่ายใยของความสงสัยในทุกสิ่ง ความคิดมากมายซับซ้อนสับสน มากเกินกว่าแค่ความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นใด
ดาบของอาลีถูกฟันออกมาตรงๆ มันไม่มีความสับสนจากภายใน ไม่มีความลังเลเจือปนอยู่แม้แต่น้อย มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย ใช้กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และน้ำหนักของตัวดาบมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความรวดเร็ว เฉียบขาด และถึงตาย นางต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่เพิ่มขนาดขึ้น รวมกับการตอบสนองของระบบประสาทที่รวดเร็วกว่าเดิม จึงสามารถพลิกตัวหลบรอดดาบนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากหนึ่งดาบที่รวดเร็วนี้สิ้นสุดลง ดูเหมือนอาลีจะรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว และยากคาดเดาซึ่งไม่เคยพบเห็นของคุณนายวิกเซ่น ตอนนี้นางยืนอยู่ในลักษณะเหมือนย่อตัว มือทั้งสองแตะพื้น พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เคลือบไว้ด้วยประกายสีแดงแปลกประหลาด เขาต้องพยายามมองข้ามส่วนที่ดึงดูดสายตาของนางไปให้ความสนใจกับสัดส่วนความยาวระหว่างแขนขาที่มีบางอย่างต่างไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งบางทีอาจรวมถึงข้อต่อภายใต้สะโพกที่กลมกลึงนั้นด้วย นางเหมือนยืนอยู่ด้วยแขนขาทั้งสี่ และมันดูสมดุลอย่างประหลาด เขายังมั่นใจว่าได้เห็นนางแยกเขี้ยวที่ดูใหญ่โตผิดปกติเพื่อขู่เขาเมื่อครู่นี้ด้วย
“เจ้า...เป็นตัวอะไรกันแน่” แต่ไม่มีคำตอบจากนาง บางทีอาจเป็นเพราะนางคงไม่สามารถพูดจาตอบได้ในขณะที่อยู่ในสภาพครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ การเปลี่ยนร่างของนางใกล้จะไปถึงขีดสุด และตอนนี้นางก็ไม่คิดที่จะเหนี่ยวรั้งมันไว้อีก นางยอบรับว่าตนเองต้องการพลังทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะล้มคู่ต่อสู้ผู้นี้
เฒ่าเฮฟต้องแปลกใจเมื่อโจรผู้หนึ่งซึ่งจู่โจมเข้าใส่เขาล้มลงไปไม่เป็นท่า เขาเคยคิดอยู่เสมอว่าฝีมือดาบเมื่อสมัยยังหนุ่มของตนนั้นก็ไม่เป็นรองผู้ใด และถึงแม้ขาข้างหนึ่งจะไม่ดีเหมือนก่อน อายุก็มากขึ้น แต่ร่างกายที่ถูกใช้ทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอ รวมกับการแอบฝึกฝนดาบในยามค่ำคืนเรื่อยมาก็ทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งได้มาพบเห็นฝีมือของจอมโจรอาลีในค่ำคืนนี้ ที่ทำให้เขาได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง ผู้ใช้ดาบ กับ นักดาบ ซึ่งหนึ่งในอาจารย์ของเขาเคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีความเชื่อมั่นหลงเหลืออยู่ ว่าจะสามารถรับมือโจรกับคนอื่นๆ ได้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ชั่วขณะหนึ่งเขาถึงกับคิดไปว่าโจรคนดังกล่าวสะดุดล้มลงไปเองด้วยซ้ำ แต่โจรผู้นั้นก็นอนแน่นิ่งโดยไม่ลุกขึ้นอีกเลย
“เข้ามาเลย เข้ามา” เขาชูดาบขึ้นพร้อมกับร้องท้าทายอย่างฮึกเหิมทั้งๆ ที่รู้สึกปวดขาอย่างที่ไม่เคยเป็น ก่อนที่โจรอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักจะส่ายร่างโงนเงนพร้อมกับล้มลงไปกองกับพื้น ซึ่งครั้งนี้เฒ่าเฮฟมั่นใจว่าไม่ได้เป็นฝีมือของเขาแน่นอน
'เกิดอะไรขึ้น'
การต่อสู้ที่พึ่งจะเริ่มต้นหยุดชะงักลงชั่วคราว แต่เสียงดนตรีและการเต้นรำก็ยังคงดำเนินต่อไป ในท่ามกลางความสงสัยของทุกคนในลานกว้างแห่งนี้ โจรอีกหลายคนต่างค่อยๆ ทยอยล้มลงไปเอง ส่วนที่ยังพอยืนอยู่ได้ก็มีอาการมึนงงไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัด
“...โอเพเน เซซามี โอเพเน เซซามี...”
เสียงสวดเบาๆ แต่มีพลังอย่างประหลาดจนสามารถเบียดแทรกเสียงดนตรีดังขึ้น พร้อมกับการมาปรากฎกายของผู้หญิงนางหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมที่ยิ่งทำให้ดูลี้ลับ เธอก้าวเดินช้าๆ เยื้องย่างเข้ากับเสียงดนตรี และการเต้นรำได้อย่างประหลาด พร้อมกับการสวดร่ายมนต์ตราซ้ำไปซ้ำมาชวนขนลุก
แสงไฟที่ไหวเต้นจากเปลวเพลิง รวมเข้ากับอาการประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นกับเหล่าโจรทำให้ชาวบ้านต่างขนลุกด้วยความหวาดกลัว ร่างลึกลับนั้นยกมือชี้ไปที่โจรซึ่งกำลังยืนส่ายโงนเงนคนหนึ่ง และโจรผู้นั้นก็ล้มพับลงกับพื้นในทันใด ผู้ติดตามของทอมที่ถึงแม้จะหวาดกลัวต่างก็รีบฉวยโอกาสนี้ลากตัวทอมที่ไม่อาจจะลุกขึ้นยืนเองได้ให้หลบออกมาทางด้านข้าง
“...แม่มด...”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม เสียงพึมพำเบาเบานี้ดังจากปากของขาวบ้านคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ก่อนเคลื่อนตัวไปจนทั่วทั้งลานกว้าง คืนนี้นับเป็นค่ำคืนที่มีพลัง และดูเหมือนในปีนี้พลังของมันจะมากเกินไป มากจนดึงดูดให้บรรดาสิ่งแปลกประหลาดทั้งหลายมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงดนตรีที่เคยดื้อรั้นนั้นค่อยๆ เงียบหายไปในที่สุด แต่การเต้นรำก็ยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าใบหน้าของนักเต้นบางคนจะซีดขาว ถึงแม้หลายคนจะกลัวจนแข้งขาสั่น แต่มันก็คล้ายกับมีพลังงานบางอย่างคอยผลักดันให้ร่างของพวกเขาต้องเคลื่อนต่อ สิบสองคน หมุนเวียนสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
คุณนายวิกเซ่นกลับมายืนสองขาตามปกติตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่มีใครรู้ เพราะความสนใจทั้งหมดต่างถูกร่างลึกลับนั้นดึงดูดไว้ สัดส่วนระหว่าง แขน ขา และลำตัวของนางกลับคืนเป็นปกติอีกครั้ง รวมทั้งเขี้ยวในปาก แต่ดวงตาของนางยังคงสะท้อนเป็นสีแดง และดูเหมือนจะเข้มขึ้นกว่าเดิมด้วย นางเงยหน้าเชิดจมูกขึ้น คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าแม่มดลึกลับผู้นี้เป็นใคร
นอกจากจอมโจรอาลีบาบาแล้ว สมาชิกกองโจรสี่สิบทั้งสิบสองคนต่างล้มลงนอนกองอยู่กับพื้น ร่างลึกลับภายใต้ผ้าคลุมนั้นจึงลดมือลง
“...ดูเหมือนว่ามนต์ตราของเจ้าจะใช้กับข้าไม่ได้ผล” อาลียังคงมีทีท่าสงบนิ่งไม่แตกตื่น แต่ใครจะรู้ว่าภายในจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งเหมือนดั่งที่แสดงออกมาให้เห็นด้วยหรือไม่
ในที่สุดร่างลึกลับนั้นก็ดึงผ้าคลุมออกเพื่อเปิดเผยให้เห็นตัวตน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะเธอเป็นหญิงสาวที่งดงามจนเกินกว่าที่จะเป็นแม่มด หรือที่จริงแล้วจะเหมาะสมกับการเป็นแม่มดก็คงแล้วแต่มุมมอง แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่อาลีก็มองเห็นอาการลังเลบางอย่างของเธอผู้นี้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่มนต์ตราของเธอใช้กับเขาไม่ได้ผลก็เป็นได้
“จงยอมแพ้แต่โดยดี...” สโนวที่พึ่งทิ้งผ้าคลุมลงพื้นพูดได้เพียงแค่นั้น อาลีก็ชิงลงมือแล้ว
#####
“ปล่อยนะ”
ฮานทั้งชก เตะ ถีบ และแม้แต่พยายามที่จะกัด เขาใช้ทุกอย่างเท่าที่เด็กอย่างเขามี และมันยังคงไม่ดีพอ ที่นี่ไม่ใช่โลกของเขา ไม่ใช่เมื่อเขาถูกดึงลากไปเหมือนกับเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งไม่มีคุณค่าความหมาย ร่างของเขาถูกเหวี่ยงทิ้งออกไปราวกับเป็นเพียงเศษขยะ เขาพยายามตะเกียกตะกายจนลุกขึ้นได้ กรีดร้อง และพุ่งเข้าใส่ร่างเล็กๆ ของผีดูดเลือดนั้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาต้องทำ สิ่งเดียวบนโลกสำหรับตอนนี้
“อย่าพี่ฮาน” เป็นเกรทน้องสาวของเขาเองที่เข้ามาขวางเอาไว้ด้วยการโผเข้ากอด และเขาผลักเธอออกไป ผลักร่างของน้องสาวที่เขารักด้วยสองมือของเขาเอง เขาผลักไปแล้ว เขาพุ่งตัวออกไปอีกสองสามก้าว และเขาพึ่งรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป เขาหันกลับไปมองร่างของน้องสาวที่นั่งอยู่บนพื้น ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความตกใจ และเขาก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตาคู่นั้น
เขาผลักน้องสาวที่เขาสาบานว่าจะปกป้องด้วยชีวิต ไม่ว่ามันจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันก็ต้องเป็นเหตุผลที่เฮงซวยที่สุดที่เขาทำแบบนี้ลงไป
“...พี่ขอโทษ” เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
“เธอพยายามที่จะช่วยพวกเรา” เธอพูดช้าๆ และเขาไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร “เธอลากพวกเราทั้งสองคนขึ้นมาจากน้ำ”
โลกรอบตัวของเขาพลันเปิดออก เขาพึ่งรู้ว่าตัวเองถูกลากมาอยู่ที่ไหน พื้นที่ว่างริมฝั่งน้ำเมื่อครู่หายไปแล้ว เหลือเพียงสายน้ำเชี่ยวกรากที่ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดระดับลงอย่างช้าๆ หากพวกเขายังยืนอยู่ในที่ที่เคยอยู่ ตอนนี้ก็คงจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกลแล้ว และถึงแม้ว่าทั้งคู่จะว่ายน้ำเป็นแต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรอดชีวิตจากกระแสน้ำเชี่ยวแบบนี้ได้
ทั้งสองหันไปมอง และผีดูดเลือดในร่างของเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นกำลังยืนก้มหน้า และมีท่าทางหวาดๆ ไม่ต่างจากสองพี่น้องเท่าไรนัก
“...ฉัน...ฉัน ขอโทษ” ผีดูดเลือดน้อยพึมพำเบาๆ
ดูเหมือนว่ามารดาของเธอจะเข้าใจผิด เด็กมนุษย์พวกนี้ไม่ได้ชอบการวางแผนอย่างที่นางเชื่อเลย ด้วยช่วงเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวันนับตั้งแต่ที่พวกนางได้เหยียบย่างเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ ทั้งคู่ได้แอบเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้คน ฟังคำสนทนา และนางก็ตื่นเต้นไปกับความสลับซับซ้อนในความคิดของมนุษย์เหล่านี้ ซึ่งดึงดูดให้นางหลงไหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
'ลูกรัก มันช่างน่าสนุกเหลือเกิน เมื่อเราสามารถที่จะได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการ ด้วยการแทรกแซงเข้าไปในความคิดของผู้คน' นางยิ้มอย่างอ่อนหวาน 'ไม่ใช่ด้วยพลัง หรือด้วยกำลัง แต่ด้วยคำพูด ด้วยสิ่งที่ไม่ได้พูด ด้วยท่าทางที่แสดงออกมา หรือที่ซ่อนเอาไว้ ด้วยการเล่นกับความปรารถนา ดึงเมื่อต้องดึง ผ่อนเมื่อต้องผ่อน ทำให้พวกเขาคิด ทำ อย่างที่เราต้องการโดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม มันช่างน่าเหลือเชื่อ' ตอนที่พูดนั้นดวงตาของมารดาก็เป็นประกายงดงาม
เธอได้เฝ้าติดตามการกระทำของเกรท เธอรู้เรื่องแอปเปิ้ล กับสิ่งแปลกๆ ที่เกรททำกับมันก่อนที่จะขนไปให้กับคนเดินทางที่มีท่าทางน่ากลัวพวกนั้น 'บางทีอาจเป็นอย่างที่แม่ว่า บางทีพวกมนุษย์อาจชอบเล่นอะไรแบบนี้' เธอจึงลองคิดวางแผนที่จะนำทั้งสองคนให้ออกมาหาดูบ้าง
“เธอล่อให้พวกเรามาที่นี่ เธอ...รู้เรื่องแอปเปิ้ลพวกนั้นด้วย” เกรทพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะรู้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลที่ผีดูดเลือดมีเป็นอย่างดี ผีดูดเลือดยังคงยืนก้มหน้า แต่ก็พยักหน้ายอมรับช้าๆ
“เธอจะให้พวกเราจมน้ำ แล้วมาช่วยไว้ทำไมกัน” เกรทถามอีก แต่คราวนี้ผีดูดเลือดรีบส่ายหน้าทันที “ฉันไม่รู้เรื่องน้ำท่วมนั่น ฉันแค่ แค่อยากเจอพวกเธอตามลำพังเท่านั้น”
“เธอต้องการอะไร” เกรทขยับเข้าไปใกล้อีกนิดโดยไม่สนใจท่าทีห้ามปรามของพี่ชาย
“...เพื่อ...” ผีดูดเลือดตอบเสียงเบา พร้อมกับยิ่งก้มหน้าลงมากกว่าเดิม
“เพื่ออะไรล่ะ” เกรทขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ผีดูดเลือดส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งทำให้เกรทหยุดยืนนิ่ง และฮานต้องขยับเข้ามาใกล้น้องสาวแต่ก็ยังไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น
ผีดูดเลือดพยายามที่จะยิ้ม และมันดูแปลกอย่างไม่น่าเชื่อ “ฉันอยากขอโทษที่ทำให้พวกเธอต้องตกใจกันที่สุสาน และฉันก็แค่อยากจะเป็น เป็น...เพื่อน กับพวกเธอได้ไหม”
ทอย (45)
'กัดทีเดียวให้จมเขี้ยว' นางรู้ว่านี่ไม่ใช่การล่า แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
ที่กำลังอยู่ต่อหน้านางในตอนนี้เป็นสัตว์ร้ายที่ยืนด้วยสองขา มีสองแขนไว้ใช้ควบคุมสิ่งยาวแหลมคมที่เรียกว่าดาบ อาวุธซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด ความต้องการ จากความรู้ที่สั่งสมตกทอดสืบต่อกันมา พร้อมด้วยวิธีการเคลื่อนไหวที่ต้องฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยโครงสร้างของร่างกาย แต่ขยายออกไปจนถึงจิตที่เหนือขีดจำกัด จิตอันแปลกประหลาดที่ประกอบขึ้นจากข่ายใยของความสงสัยในทุกสิ่ง ความคิดมากมายซับซ้อนสับสน มากเกินกว่าแค่ความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นใด
ดาบของอาลีถูกฟันออกมาตรงๆ มันไม่มีความสับสนจากภายใน ไม่มีความลังเลเจือปนอยู่แม้แต่น้อย มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย ใช้กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และน้ำหนักของตัวดาบมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความรวดเร็ว เฉียบขาด และถึงตาย นางต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่เพิ่มขนาดขึ้น รวมกับการตอบสนองของระบบประสาทที่รวดเร็วกว่าเดิม จึงสามารถพลิกตัวหลบรอดดาบนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากหนึ่งดาบที่รวดเร็วนี้สิ้นสุดลง ดูเหมือนอาลีจะรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว และยากคาดเดาซึ่งไม่เคยพบเห็นของคุณนายวิกเซ่น ตอนนี้นางยืนอยู่ในลักษณะเหมือนย่อตัว มือทั้งสองแตะพื้น พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เคลือบไว้ด้วยประกายสีแดงแปลกประหลาด เขาต้องพยายามมองข้ามส่วนที่ดึงดูดสายตาของนางไปให้ความสนใจกับสัดส่วนความยาวระหว่างแขนขาที่มีบางอย่างต่างไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งบางทีอาจรวมถึงข้อต่อภายใต้สะโพกที่กลมกลึงนั้นด้วย นางเหมือนยืนอยู่ด้วยแขนขาทั้งสี่ และมันดูสมดุลอย่างประหลาด เขายังมั่นใจว่าได้เห็นนางแยกเขี้ยวที่ดูใหญ่โตผิดปกติเพื่อขู่เขาเมื่อครู่นี้ด้วย
“เจ้า...เป็นตัวอะไรกันแน่” แต่ไม่มีคำตอบจากนาง บางทีอาจเป็นเพราะนางคงไม่สามารถพูดจาตอบได้ในขณะที่อยู่ในสภาพครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ การเปลี่ยนร่างของนางใกล้จะไปถึงขีดสุด และตอนนี้นางก็ไม่คิดที่จะเหนี่ยวรั้งมันไว้อีก นางยอบรับว่าตนเองต้องการพลังทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะล้มคู่ต่อสู้ผู้นี้
เฒ่าเฮฟต้องแปลกใจเมื่อโจรผู้หนึ่งซึ่งจู่โจมเข้าใส่เขาล้มลงไปไม่เป็นท่า เขาเคยคิดอยู่เสมอว่าฝีมือดาบเมื่อสมัยยังหนุ่มของตนนั้นก็ไม่เป็นรองผู้ใด และถึงแม้ขาข้างหนึ่งจะไม่ดีเหมือนก่อน อายุก็มากขึ้น แต่ร่างกายที่ถูกใช้ทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอ รวมกับการแอบฝึกฝนดาบในยามค่ำคืนเรื่อยมาก็ทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งได้มาพบเห็นฝีมือของจอมโจรอาลีในค่ำคืนนี้ ที่ทำให้เขาได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง ผู้ใช้ดาบ กับ นักดาบ ซึ่งหนึ่งในอาจารย์ของเขาเคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีความเชื่อมั่นหลงเหลืออยู่ ว่าจะสามารถรับมือโจรกับคนอื่นๆ ได้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ชั่วขณะหนึ่งเขาถึงกับคิดไปว่าโจรคนดังกล่าวสะดุดล้มลงไปเองด้วยซ้ำ แต่โจรผู้นั้นก็นอนแน่นิ่งโดยไม่ลุกขึ้นอีกเลย
“เข้ามาเลย เข้ามา” เขาชูดาบขึ้นพร้อมกับร้องท้าทายอย่างฮึกเหิมทั้งๆ ที่รู้สึกปวดขาอย่างที่ไม่เคยเป็น ก่อนที่โจรอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักจะส่ายร่างโงนเงนพร้อมกับล้มลงไปกองกับพื้น ซึ่งครั้งนี้เฒ่าเฮฟมั่นใจว่าไม่ได้เป็นฝีมือของเขาแน่นอน
'เกิดอะไรขึ้น'
การต่อสู้ที่พึ่งจะเริ่มต้นหยุดชะงักลงชั่วคราว แต่เสียงดนตรีและการเต้นรำก็ยังคงดำเนินต่อไป ในท่ามกลางความสงสัยของทุกคนในลานกว้างแห่งนี้ โจรอีกหลายคนต่างค่อยๆ ทยอยล้มลงไปเอง ส่วนที่ยังพอยืนอยู่ได้ก็มีอาการมึนงงไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัด
“...โอเพเน เซซามี โอเพเน เซซามี...”
เสียงสวดเบาๆ แต่มีพลังอย่างประหลาดจนสามารถเบียดแทรกเสียงดนตรีดังขึ้น พร้อมกับการมาปรากฎกายของผู้หญิงนางหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมที่ยิ่งทำให้ดูลี้ลับ เธอก้าวเดินช้าๆ เยื้องย่างเข้ากับเสียงดนตรี และการเต้นรำได้อย่างประหลาด พร้อมกับการสวดร่ายมนต์ตราซ้ำไปซ้ำมาชวนขนลุก
แสงไฟที่ไหวเต้นจากเปลวเพลิง รวมเข้ากับอาการประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นกับเหล่าโจรทำให้ชาวบ้านต่างขนลุกด้วยความหวาดกลัว ร่างลึกลับนั้นยกมือชี้ไปที่โจรซึ่งกำลังยืนส่ายโงนเงนคนหนึ่ง และโจรผู้นั้นก็ล้มพับลงกับพื้นในทันใด ผู้ติดตามของทอมที่ถึงแม้จะหวาดกลัวต่างก็รีบฉวยโอกาสนี้ลากตัวทอมที่ไม่อาจจะลุกขึ้นยืนเองได้ให้หลบออกมาทางด้านข้าง
“...แม่มด...”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม เสียงพึมพำเบาเบานี้ดังจากปากของขาวบ้านคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ก่อนเคลื่อนตัวไปจนทั่วทั้งลานกว้าง คืนนี้นับเป็นค่ำคืนที่มีพลัง และดูเหมือนในปีนี้พลังของมันจะมากเกินไป มากจนดึงดูดให้บรรดาสิ่งแปลกประหลาดทั้งหลายมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงดนตรีที่เคยดื้อรั้นนั้นค่อยๆ เงียบหายไปในที่สุด แต่การเต้นรำก็ยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าใบหน้าของนักเต้นบางคนจะซีดขาว ถึงแม้หลายคนจะกลัวจนแข้งขาสั่น แต่มันก็คล้ายกับมีพลังงานบางอย่างคอยผลักดันให้ร่างของพวกเขาต้องเคลื่อนต่อ สิบสองคน หมุนเวียนสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
คุณนายวิกเซ่นกลับมายืนสองขาตามปกติตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่มีใครรู้ เพราะความสนใจทั้งหมดต่างถูกร่างลึกลับนั้นดึงดูดไว้ สัดส่วนระหว่าง แขน ขา และลำตัวของนางกลับคืนเป็นปกติอีกครั้ง รวมทั้งเขี้ยวในปาก แต่ดวงตาของนางยังคงสะท้อนเป็นสีแดง และดูเหมือนจะเข้มขึ้นกว่าเดิมด้วย นางเงยหน้าเชิดจมูกขึ้น คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าแม่มดลึกลับผู้นี้เป็นใคร
นอกจากจอมโจรอาลีบาบาแล้ว สมาชิกกองโจรสี่สิบทั้งสิบสองคนต่างล้มลงนอนกองอยู่กับพื้น ร่างลึกลับภายใต้ผ้าคลุมนั้นจึงลดมือลง
“...ดูเหมือนว่ามนต์ตราของเจ้าจะใช้กับข้าไม่ได้ผล” อาลียังคงมีทีท่าสงบนิ่งไม่แตกตื่น แต่ใครจะรู้ว่าภายในจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งเหมือนดั่งที่แสดงออกมาให้เห็นด้วยหรือไม่
ในที่สุดร่างลึกลับนั้นก็ดึงผ้าคลุมออกเพื่อเปิดเผยให้เห็นตัวตน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะเธอเป็นหญิงสาวที่งดงามจนเกินกว่าที่จะเป็นแม่มด หรือที่จริงแล้วจะเหมาะสมกับการเป็นแม่มดก็คงแล้วแต่มุมมอง แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่อาลีก็มองเห็นอาการลังเลบางอย่างของเธอผู้นี้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่มนต์ตราของเธอใช้กับเขาไม่ได้ผลก็เป็นได้
“จงยอมแพ้แต่โดยดี...” สโนวที่พึ่งทิ้งผ้าคลุมลงพื้นพูดได้เพียงแค่นั้น อาลีก็ชิงลงมือแล้ว
#####
“ปล่อยนะ”
ฮานทั้งชก เตะ ถีบ และแม้แต่พยายามที่จะกัด เขาใช้ทุกอย่างเท่าที่เด็กอย่างเขามี และมันยังคงไม่ดีพอ ที่นี่ไม่ใช่โลกของเขา ไม่ใช่เมื่อเขาถูกดึงลากไปเหมือนกับเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งไม่มีคุณค่าความหมาย ร่างของเขาถูกเหวี่ยงทิ้งออกไปราวกับเป็นเพียงเศษขยะ เขาพยายามตะเกียกตะกายจนลุกขึ้นได้ กรีดร้อง และพุ่งเข้าใส่ร่างเล็กๆ ของผีดูดเลือดนั้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาต้องทำ สิ่งเดียวบนโลกสำหรับตอนนี้
“อย่าพี่ฮาน” เป็นเกรทน้องสาวของเขาเองที่เข้ามาขวางเอาไว้ด้วยการโผเข้ากอด และเขาผลักเธอออกไป ผลักร่างของน้องสาวที่เขารักด้วยสองมือของเขาเอง เขาผลักไปแล้ว เขาพุ่งตัวออกไปอีกสองสามก้าว และเขาพึ่งรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป เขาหันกลับไปมองร่างของน้องสาวที่นั่งอยู่บนพื้น ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความตกใจ และเขาก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตาคู่นั้น
เขาผลักน้องสาวที่เขาสาบานว่าจะปกป้องด้วยชีวิต ไม่ว่ามันจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันก็ต้องเป็นเหตุผลที่เฮงซวยที่สุดที่เขาทำแบบนี้ลงไป
“...พี่ขอโทษ” เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
“เธอพยายามที่จะช่วยพวกเรา” เธอพูดช้าๆ และเขาไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร “เธอลากพวกเราทั้งสองคนขึ้นมาจากน้ำ”
โลกรอบตัวของเขาพลันเปิดออก เขาพึ่งรู้ว่าตัวเองถูกลากมาอยู่ที่ไหน พื้นที่ว่างริมฝั่งน้ำเมื่อครู่หายไปแล้ว เหลือเพียงสายน้ำเชี่ยวกรากที่ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดระดับลงอย่างช้าๆ หากพวกเขายังยืนอยู่ในที่ที่เคยอยู่ ตอนนี้ก็คงจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกลแล้ว และถึงแม้ว่าทั้งคู่จะว่ายน้ำเป็นแต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรอดชีวิตจากกระแสน้ำเชี่ยวแบบนี้ได้
ทั้งสองหันไปมอง และผีดูดเลือดในร่างของเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นกำลังยืนก้มหน้า และมีท่าทางหวาดๆ ไม่ต่างจากสองพี่น้องเท่าไรนัก
“...ฉัน...ฉัน ขอโทษ” ผีดูดเลือดน้อยพึมพำเบาๆ
ดูเหมือนว่ามารดาของเธอจะเข้าใจผิด เด็กมนุษย์พวกนี้ไม่ได้ชอบการวางแผนอย่างที่นางเชื่อเลย ด้วยช่วงเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวันนับตั้งแต่ที่พวกนางได้เหยียบย่างเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ ทั้งคู่ได้แอบเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้คน ฟังคำสนทนา และนางก็ตื่นเต้นไปกับความสลับซับซ้อนในความคิดของมนุษย์เหล่านี้ ซึ่งดึงดูดให้นางหลงไหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
'ลูกรัก มันช่างน่าสนุกเหลือเกิน เมื่อเราสามารถที่จะได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการ ด้วยการแทรกแซงเข้าไปในความคิดของผู้คน' นางยิ้มอย่างอ่อนหวาน 'ไม่ใช่ด้วยพลัง หรือด้วยกำลัง แต่ด้วยคำพูด ด้วยสิ่งที่ไม่ได้พูด ด้วยท่าทางที่แสดงออกมา หรือที่ซ่อนเอาไว้ ด้วยการเล่นกับความปรารถนา ดึงเมื่อต้องดึง ผ่อนเมื่อต้องผ่อน ทำให้พวกเขาคิด ทำ อย่างที่เราต้องการโดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม มันช่างน่าเหลือเชื่อ' ตอนที่พูดนั้นดวงตาของมารดาก็เป็นประกายงดงาม
เธอได้เฝ้าติดตามการกระทำของเกรท เธอรู้เรื่องแอปเปิ้ล กับสิ่งแปลกๆ ที่เกรททำกับมันก่อนที่จะขนไปให้กับคนเดินทางที่มีท่าทางน่ากลัวพวกนั้น 'บางทีอาจเป็นอย่างที่แม่ว่า บางทีพวกมนุษย์อาจชอบเล่นอะไรแบบนี้' เธอจึงลองคิดวางแผนที่จะนำทั้งสองคนให้ออกมาหาดูบ้าง
“เธอล่อให้พวกเรามาที่นี่ เธอ...รู้เรื่องแอปเปิ้ลพวกนั้นด้วย” เกรทพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะรู้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลที่ผีดูดเลือดมีเป็นอย่างดี ผีดูดเลือดยังคงยืนก้มหน้า แต่ก็พยักหน้ายอมรับช้าๆ
“เธอจะให้พวกเราจมน้ำ แล้วมาช่วยไว้ทำไมกัน” เกรทถามอีก แต่คราวนี้ผีดูดเลือดรีบส่ายหน้าทันที “ฉันไม่รู้เรื่องน้ำท่วมนั่น ฉันแค่ แค่อยากเจอพวกเธอตามลำพังเท่านั้น”
“เธอต้องการอะไร” เกรทขยับเข้าไปใกล้อีกนิดโดยไม่สนใจท่าทีห้ามปรามของพี่ชาย
“...เพื่อ...” ผีดูดเลือดตอบเสียงเบา พร้อมกับยิ่งก้มหน้าลงมากกว่าเดิม
“เพื่ออะไรล่ะ” เกรทขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ผีดูดเลือดส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งทำให้เกรทหยุดยืนนิ่ง และฮานต้องขยับเข้ามาใกล้น้องสาวแต่ก็ยังไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น
ผีดูดเลือดพยายามที่จะยิ้ม และมันดูแปลกอย่างไม่น่าเชื่อ “ฉันอยากขอโทษที่ทำให้พวกเธอต้องตกใจกันที่สุสาน และฉันก็แค่อยากจะเป็น เป็น...เพื่อน กับพวกเธอได้ไหม”