ทอย (48)

กระทู้สนทนา
“มันเป็นตัวอะไรกัน”

    เกรทร้องถามในขณะที่พยายามวิ่งติดตามพี่ชายไปให้ทัน มือข้างหนึ่งของเธอจับกับมืออีกข้างของเพื่อนใหม่เอาไว้แน่น ถึงแม้ว่ามันจะเย็นชืดชวนขนลุกอยู่บ้างก็ตาม ร่างที่ถูกดึงให้ติดตามมาด้วยนั้นให้ความรู้สึกเบาจนคาดไม่ถึง

    “พี่ก็ไม่รู้” ฮานร้องตอบเพียงสั้นๆ โดยไม่ได้หันกลับไป ตะเกียงในมือถูกยกชูขึ้นสูงเพื่อให้แสงสว่างกระจายออกไปกว้างที่สุด เส้นทางจากท่าข้ามที่ตัดไปสู่ลานกว้างนั้นค่อนข้างคดเคี้ยว แต่ก็เป็นเส้นทางที่สองพี่น้องคุ้นเคยจนแทบจะหลับตาวิ่งได้เลยทีเดียว

    สัตว์ประหลาดตัวเมื่อครู่นั้นเมื่อตะกายขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ มันก็เริ่มทำท่าทางที่เขาเคยเห็นเป็นประจำ เหมือนกับที่ เจ้าเขี้ยวเงิน สุนัขล่าสัตว์ตัวโปรดของครอบครัวเพื่อนสนิททำทุกครั้งหลังจากกลับขึ้นมาจากการลงไปแหวกว่ายในแม่น้ำ มันคือการสะบัดขนที่จะทำให้ใครก็ตามที่เผลอไปยืนอยู่ใกล้ๆ ต้องเปียกปอนไปทั้งตัว และเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเป็นประจำ

    ชีวิตเรียบง่าย รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ที่อาจไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมหากว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในค่ำคืนนี้

    สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ใช่พรายน้ำ และมันมีท่าทางคล้ายกับสุนัขตัวโต โตที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมาในชีวิต หลังจากที่มันสะบัดขนอยู่ครู่หนึ่ง มันก็เริ่มยืนขึ้นด้วยสองขาหลัง พร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆ ในช่วงจังหวะที่ดวงตาซึ่งเป็นประกายสีแดงแบบสัตว์นักล่าในยามค่ำคืนนั้นกวาดมองมา เขาถึงกับเผลอกลั้นลมหายใจอย่างลืมตัว เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องทำแบบนั้น บางทีจิตใต้สำนึกของเขาอาจคิดว่าการหายใจที่แรงเกินจะไปกระตุ้นให้มันตัดสินใจว่าเขากำลังคุกคามมันอยู่ก็เป็นได้ และเกรทเองก็ทำอย่างเดียวกันโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิด

    เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด และก็ฟังดูคล้ายกับเป็นเสียงหอนอันโหยหวนที่เขาเคยได้ยินในบางค่ำคืนก็พลันดังขึ้น เสียงที่พรานเฒ่าของหมู่บ้านเคยบอกเล่าว่าเป็นเสียงเห่าหอนของฝูงหมาป่าที่อาศัยอยู่เลยขึ้นไปทางตอนเหนือ และนานๆ ครั้งที่พวกมันจะลงมาไล่ล่าหาอาหารถึงในดินแดนแถบนี้ แต่ผู้ใหญ่อีกหลายคนกลับคุยกันลับหลังพรานเฒ่าว่าที่จริงแล้วพวกมันเป็นเพียงสุนัขเร่ร่อนเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง

    หูที่ตั้งชันทั้งคู่ของสัตว์ประหลาดพลันกระดิกส่ายไปมาเพื่อค้นหาทิศทางที่มา และระยะห่างของเสียงที่ได้ยิน แววตาสีแดงคู่นั้นพลันลุกโพลงขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ที่อาจมีความกังวลเจือปนอยู่ในนั้น รวมถึงความเศร้า แต่โดยทั่วไปแล้วก็คือความโกรธที่มากพอที่จะบดบังทุกสิ่งไปได้ชั่วคราว

    '...วู...ฟ...'

    มันแหงนหน้าขึ้นหอนด้วยเสียงที่โหยหวนไม่แพ้กัน ก่อนที่จะพุ่งร่างหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพียงเสียงเห่าหอนธรรมดา หรือว่าเป็นการร้องเรียกชื่อของใครบางคน บางทีอาจเป็นทั้งสองอย่าง และมันก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้

    เขาคาดว่ามันคงจะมุ่งหน้าไปยังลานกว้าง ที่ที่เสียงกรีดร้อง หรือเสียงหอนครั้งแรกนั้นดังแว่วมา รวมทั้งชาวบ้าน โจรสี่สิบ และที่สำคัญ ปู่เฮฟ กับมารดาของพวกเขา และการตัดสินอนาคตของหมู่บ้านแห่งนี้ต่างรวมอยู่ในที่นั้น 'เกิดอะไรขึ้นกันแน่' และเขาจะต้องรู้ให้ได้

    ทอยรู้สึกได้ถึงคมดาบของอาลีที่ฟันผ่านศีรษะของเขาลงมาจนเกือบจะถึงช่องท้อง เคียวด้ามยาวเก่าๆ ที่เป็นอาวุธซึ่งถือค้างอยู่ในมือนี้ไม่อาจช่วยปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ได้ และถึงแม้ว่าเขาจะใช้มันขวางดาบนี้เอาไว้ได้ทัน เหล็กเก่าที่ผุกร่อนของมันก็คงช่วยเปลี่ยนแปลงผลอะไรได้ไม่มากนัก
    นับเป็นโชคดีสำหรับทอยที่เหตุการณ์ที่ว่านี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง

    อาลีไม่ได้พยายามที่จะเหนี่ยวรั้ง หรือดึงดาบกลับไป ซึ่งยิ่งแสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจในเชิงดาบที่มี เขาเบี่ยงกาย ปรับเปลี่ยนมุม เพื่อส่งให้วิถีโค้งของดาบพุ่งผ่านข้างตัวทอยก่อนย้อนกลับไปด้านหลังของตน ซึ่งหากเขายังคงยืนยันที่จะฟันมันลงบนร่างของทอยตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก เขาก็จะถูกมนุษย์หมาป่าร่างสูงใหญ่ที่กระโจนเข้ามาจากที่ใดก็ไม่รู้จู่โจมเข้าใส่ทันที แต่เพลงดาบนางแอ่นหวนคืนนี้ก็ไม่อาจทำอันตรายกับมนุษย์หมาป่าที่สามารถหลบรอดไปได้อย่างคล่องแคล่ว

    แน่นอนที่มนุษย์หมาป่าตนนี้ย่อมไม่ใช่คุณนายวิกเซ่น เพราะนางยังคงนอนอยู่บนพื้นพร้อมบาดแผลกว้าง และทอยก็รู้ว่าผู้ที่มาใหม่นั้นเป็นผู้ชายด้วยประจักษ์พยานบางอย่างที่น่าเชื่อถือ

    เมื่อมีอสุรกายโผล่ออกมา แม้แต่มนต์ขลังของการเต้นรำเฉลิมฉลองก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้อีก หรือบางทีการเต้นรำอาจจะสิ้นสุดลงพอดี ทั้งนักเต้น และชาวบ้านต่างวิ่งหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศ แต่ก็ไม่ทั้งหมด ยังคงมีชาวบ้านบางส่วนที่เกาะกลุ่มกัน พร้อมกับหาอาวุธใกล้มือ ซึ่งก็คือท่อนฟืนที่ลุกติดไฟจากกองไฟขนาดใหญ่ตรงกลางลานมาถือไว้

    “วูฟ” ครั้งนี้มันเป็นเสียงพูดที่ฟังชัดเจนซึ่งดังออกมาจากปากซึ่งเต็มไปด้วยเขี้ยวขาวของมนุษย์หมาป่า

    “...จี คุณมาทำอะไรที่นี่” แม้จะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คุณนายวิกเซ่นก็พยายามเงยหน้าขึ้นกล่าววาจา ทั้งที่บนแผ่นหลังนั้นรู้สึกปวดร้อนราวกับถูกนาบด้วยเหล็กเผาไฟ และที่สำคัญ นางกำลังยิ้ม แม้จะเพียงแค่มุมปากก็ตาม

    'บ้าจริง ฉันกำลังยิ้มให้ผู้ชายบ้าๆ คนนั้น'

    “ผมเห็นนะสาว...” พี เอส กู๊ดแมน หรือที่พึ่งถูกเรียกว่า จี นักเขียนนิยายที่เป็นมนุษย์หมาป่า ผู้ถูกสายน้ำพัดพาให้แยกจากกลุ่มของสารวัตรโฮม กับวสันต์ภายในถ้ำลึกลับ และไม่รู้ว่าตนเองมาโผล่ขึ้นในแม่น้ำเชี่ยวกรากนั้นได้อย่างไร ในท่ามกลางกลิ่นต่างๆ มากมายที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาได้พบเห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่ง กับผีดูดเลือดที่ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกัน ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนผีดูดเลือดตัวน้อยจะพยายามปกป้องเด็กทั้งสองจากตัวเขา และมันไม่เหมือนกับเป็นการหวงเหยื่อที่ตนล่าหามาได้ด้วย

    แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของคุณนายวิกเซ่น เสียงหอนของนางที่เขาพึ่งรู้ว่าตนเองยังคงไม่เคยลืมเลือน ถึงแม้ว่าน้ำจำนวนมากมายนั้นจะได้ดึงเอาพลังหมาป่าของเขาออกไปจากร่างจนเกือบหมดสิ้น แต่ความโกรธที่ถูกจุดให้ลุกโชนขึ้น ก็ได้ฉุดดึงร่างของเขาให้พุ่งติดตามไป

    “...น้อย ว่าคุณยิ้มให้ผม” กู๊ดแมนพูดต่อให้จบ หลังจากกระโดดหลบรอดจากดาบของอาลีได้อย่างหวุดหวิด ทอยรู้สึกทึ่งกับจอมโจรผู้นี้ ผู้ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับสิ่งใดทั้งสิ้น เขาใช้ดาบในมือฟาดฟันเข้าใส่ทุกสิ่ง แม้แต่สัตว์ประหลาดที่ตนเองไม่รู้จัก หากว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นศัตรูที่เข้ามาขวางเส้นทางของเขา

    คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายกลับมายืนจดจ้องกันอีกครั้ง หลังจากที่ประเมินฝีมือกันแล้วว่าคงไม่อาจล้มฝ่ายตรงข้ามได้โดยง่าย อาลีเปลี่ยนมาใช้สองมือจับดาบอยู่ในระดับเอวพร้อมกับชี้ปลายแหลมคมไปที่หว่างคิ้วของคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็นท่วงท่าที่เหมาะกับการต่อสู้อย่างยืดเยื้อ กู๊ดแมนเองก็ยกสองมือขึ้นคล้ายกับตั้งการ์ดในการชกมวย พร้อมทั้งขยับร่างไปมาพยายามที่จะดึงให้การต่อสู้เคลื่อนห่างออกไปจากกลุ่มของผู้ที่ได้บาดเจ็บ แต่อาลีกลับพยายามที่จะดึงการต่อสู้เอาไว้ เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากผู้บาดเจ็บเหล่านี้หากว่าตนเองพลาดพลั้งลงไป

    มือข้างหนึ่งของคุณนายวิกเซ่นดึงให้ใบหน้าของทอยเข้ามาใกล้ๆ เมื่อเขานั่งคุกเข่าลงที่ด้านข้างเพื่อดูอาการบาดเจ็บของนาง

    “...คุณต้องช่วยจี” นางพยายามพูดให้เบาที่สุด “ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่เขาแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว โชคดีที่เจ้าโจรนั่นยังดูไม่ออก”

    ดูเหมือนว่าคุณนายวิกเซ่นจะรู้จักกับมนุษย์หมาป่าผู้นี้อย่างลึกซึ้ง และเรียกเขาอย่างสนิทสนม เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้ก็คือคนที่คุณนายวิกเซ่นไม่อยากนึกถึงมาตลอดนั่นเอง แต่ฟังแล้วก็แสดงว่าถึงแม้จะมีผู้ช่วยมาเพิ่ม สถานการณ์ทางฝั่งของพวกเขาก็ยังไม่ดีขึ้นกว่าเดิม

    “ผมก็สู้เจ้าโจรนั่นไม่ได้เหมือนกัน”

    “คุณทอย คุณเป็น...มือสังหาร และ...ฉันหมายถึง...” นางพยายามที่จะหาคำมาอธิบาย

    “ใช่ ผมเป็นมือสังหาร” เขายอมรับแล้วเพราะว่ามันเป็นความจริง นางอาจคิดว่าเขายังคงมีความสับสน ยังคงลังเลที่จะใช้พลังที่มีอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้นางเป็นฝ่ายเข้าใจผิด

    “...คุณก็รู้ตัวแล้ว แล้วทำไม...” นางพูดพร้อมกับมองดูท่าทางอึดอัดของเขาอย่างไม่เข้าใจ

    “ผมเป็นมือสังหาร ไม่ใช่นักสู้ เมื่อครู่นี้ผมเกือบจะจัดการเขาได้แล้ว แต่เขาก็รู้ตัวเสียก่อน ไม่ว่าอย่างไร เขาก็นับเป็นนักดาบที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง” เขาเก็บคำพูดส่วนที่เหลือนี้ไว้ในใจ 'แม้แต่ปู่แจ็คจอมเสียบเองก็อาจจะทำอะไรเขาไม่ได้เหมือนกัน' เพราะมันจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือในธุรกิจของครอบครัวไปมากกว่านี้

    “ถ้าให้สู้กันตรงๆ แบบนี้ ผมไม่ไหวแน่”

    “ถ้าอย่างนั้น...” นางกัดฟันฝืนพยายามที่จะขยับลุกขึ้น

    “วูฟ เธอจะทำบ้าอะไร เดี๋ยวปากแผลก็ได้เปิดออกหรอก ถึงแม้ว่าเธอจะมีพลังในการฟื้นตัวสูงแค่ไหน แต่ก็ไม่ใด้เป็นอมตะหรอกนะ” สโนวโวยวายออกไปมากกว่าที่เธอต้องการ เธอไม่ได้เป็นห่วง เธอไม่ควรจะห่วงเพื่อนแสบที่มีอดีตไม่ค่อยดีร่วมกันมาคนนี้ แต่น้ำตาของเธอก็รินไหลลงมาอาบเต็มสองแก้ม

    “ฉันต้องทำเซฟ ถ้ารอจนจีถูกจัดการ พวกเราก็คงไม่รอดเหมือนกัน”

    'ไม่มีเซฟ ไม่มีเซเว่นอีกต่อไปแล้ว' การที่สโนวได้รู้ว่าคนแคระทั้งเจ็ดนั้นที่แท้แล้วก็เป็นตัวเธอเอง การที่จะไม่ได้ยินเสียงของพวกนั้นภายในหัวอีกต่อไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีอย่างที่เธอเคยคิดเสมอมา แต่เธอยังคงจดจำคำพูดของเหล่าคนแคระทั้งเจ็ดนั้นได้

    'จงเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่ว่าจะดีหรือชั่ว หากเธอรู้จักตัวเองอย่างที่เป็น เธอก็จะค้นพบทางออกได้เสมอ'

    มันเป็นคำพูดให้กำลังใจที่ดี แต่เธอก็รู้ว่าที่จริงแล้วมันก็เป็นคำพูด เป็นความคิดของเธอเองทั้งสิ้น ในสถานการณ์นี้จะยังมีทางออกอะไรเหลืออยู่อีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่