ทอย (36)

กระทู้สนทนา
ทั้งสโนว และทอยต่างเดินขยับเข้ามาใกล้คุณนายวิกเซ่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    “ข้างหน้านี้เป็นเมืองอย่างนั้นหรือ” เธอถามเพื่อพยายามเปลี่ยนเรื่อง

    “ขอเรียกเป็นหมู่บ้านน่าจะใกล้เคียงกว่า” ในน้ำเสียงของนางยังคงมีความสงสัยบางอย่างซ่อนอยู่ นางประเมินข้อมูลจากรูปแบบของกลิ่น ปริมาณ และอีกหลายอย่างที่ผสมปนเปกันล่องลอยอยู่ในอากาศ 'แต่เจ้ากลิ่นนี้มันอะไรกัน' มันมีกลิ่นบางอย่างที่เข้มข้นซึ่งนางควรจะรู้จักเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับนึกไม่ออก คล้ายกับกลิ่นที่ว่านี้กำลังพยายามเล่นซ่อนหากับระบบประสาทของนาง

    “มันอาจเป็นความคิดไม่ค่อยดีนักที่จะเข้าไปในชุมชน จำได้ไหมที่ฉันบอกว่าเราไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตามในความฝันนี้” เธอยังคงตอกย้ำความคิดเดิมของตน

    “แต่กลิ่นที่ฉันตามมา มันก็มาจากที่นั่น” หญิงสาวทั้งสองหันมาจ้องหน้ากัน 'เธอมั่นใจ' เธอไม่ได้ถาม 'ฉันมั่นใจ' นางก็ไม่ได้ตอบ แต่คำพูดเหล่านั้นต่างสะท้อนตอบโต้กันอยู่ในแววตาของหญิงสาว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ทั้งสองเคยมีระหว่างกัน ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้สึกที่เข้มข้นแบบใด ความรัก หรือความแค้น มันก็ได้ผูกโยงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้น

    “ถ้าอย่างนั้นเราก็คงจะเลี่ยงไม่ได้” น้ำเสียงของเธออ่อนลง

    “เอ่อ ว่าแต่สุสานพวกนี้มันมีบางอย่างที่ไม่ค่อยปกตินะครับ” เขายังคงติดนิสัยที่จะต้องคอยสำรวจสภาพรอบตัวทุกครั้งเมื่อเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้

    หลุมศพหลายหลุมมีร่องรอยคล้ายถูกขุดทำลาย คุณนายวิกเซ่นเป็นเพียงคนเดียวที่เดินเข้าไปสำรวจดูพวกมันอย่างใกล้ชิด และนางก็พอจะรู้คำตอบว่ามันน่าจะเกิดอะไรขึ้น

    “หมู่บ้านแห่งนี้อาจถูกรบกวนจากผีดูดเลือด” นางสรุปจากสิ่งที่ได้พบเห็น

    หมุดไม้ที่ถูกตอกเพื่อตรึงร่างของผู้ตายเอาไว้กับผืนแผ่นดิน ขาท่อนล่างที่ถูกหักออกก่อนนำมาวางไขว้กันไว้เป็นเครื่องหมายกากบาทที่บริเวณหน้าอกเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตายลุกขึ้นเดินไปมา และในบางครั้งก็เป็นการตัดส่วนศีรษะของศพออกแล้วนำไปวางไว้ที่ปลายเท้าเพื่อไม่ให้ศพที่พยายามจะลุกขึ้นมาหามันเจอ

    เมื่อเกิดโรคระบาด ปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้ล้มตายลงโดยไม่รู้สาเหตุ หรือเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นภายในหมู่บ้าน ใครบางคนอาจเริ่มสงสัยในสิ่งชั่วร้าย หลุมศพต้องสงสัยจะถูกขุด และในบางครั้ง ศพบางศพอาจเน่าเปื่อยช้ากว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อเนื้อเยื่อต่างๆ หดตัวลงตามขบวนการเน่าเปื่อยในธรรมชาติ ผม หนวดเครา เล็บ หรือแม้แต่ฟัน โดยเฉพาะเขี้ยวอาจดูเหมือนงอกยาวขึ้นได้อย่างน่ากลัว

    เรื่องราวของสิ่งชั่วร้ายที่เข้ารบกวนหมู่บ้าน เรื่องของศพเดินได้จึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมไปกับพิธีกรรมต่างๆ เพื่อใช้ในการทำลายพวกมัน

    “...ช่วย...ด้วย...” เสียงที่เยียบเย็นลอยแว่วมาในสายลม ซึ่งทอยลงความเห็นในทันทีว่ามันมีความผิดปกติบางอย่าง

    “...เธอเป็นใคร...” นั่นเป็นเสียงของเด็กที่อยู่ในช่วงวัยที่ยังไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงกันแน่

    “...อย่ายุ่งกับเธอ...” นั่นเป็นเสียงของเด็กผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย และที่ดังติดตามมาคือเสียงร้องด้วยความตกใจ

    “อย่าไป...” สโนวพยายามจะห้าม แต่ทั้งสองคนกลับรีบพุ่งตัวออกไปตามทิศทางของเสียงเหล่านั้นทันที เธอได้แต่บ่นกับตัวเองในขณะที่ต้องติดตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

    เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกร่างที่ดูคล้ายกับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งจับแขนข้างซ้ายเพื่อดึงเธอให้เข้าไปภายสู่แนวต้นไม้ชายป่า ในขณะที่เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังพยายามยื้อยุดด้วยการดึงแขนขวาของเด็กหญิงเอาไว้อย่างสุดกำลัง

    เด็กชายตัดสินใจปล่อยมือของเขาข้างหนึ่งเพื่อล้วงหยิบบางสิ่งออกมา “ในนามแห่งโซว ผู้เฝ้ามอง ผู้ส่องสว่าง และ และ...ข้าขอสั่งให้แกปลดปล่อยน้องของข้าเดี๋ยวนี้” เสียงของเขาสั่น มันอาจเป็นเพราะความตกใจ ความกลัว ความโกรธ หรือทั้งหมดนั้นรวมเข้าด้วยกันก็เป็นได้

    สิ่งที่เขาพยายามทำดูเหมือนจะไม่ส่งผลใดๆ นอกจากทำให้แรงที่ใช้ดึงร่างของเด็กหญิงเอาไว้ลดลง และหลุดมือไปในที่สุด

    “พี่จ๋า” เด็กหญิงกรีดร้อง

    “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่” เด็กชายที่เสียหลักล้มลงไป รีบลุกขึ้นเพื่อวิ่งตามไปพร้อมกับยกชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นสู่ท้องฟ้าจนสุดแขน บางทีอาจดีกว่านั้นถ้าเขาพยายามวิ่งไปในท่วงท่าปกติ

    คนที่ลงมือได้รวดเร็วที่สุดยังคงเป็นคุณนายวิกเซ่นอยู่เช่นเดิม และครั้งนี้นางก็ลงมืออย่างเต็มที่เพราะนางรู้ว่าร่างที่คล้ายกับเด็กหญิงนั้นไม่ใช่อย่างที่เห็น นางได้กลิ่นที่มืดหม่นอย่างชัดเจน กลิ่นที่คอยรบกวนประสาทการดมกลิ่นของนางตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาสู่โลกความฝันนี้

    มันคือกลิ่นของผีดูดเลือด แต่ก็มีบางอย่างที่ต่างออกไปด้วยเช่นกัน 'บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่เป็นอีกความฝันหนึ่ง' นางบอกกับตัวเองอย่างนั้น

    นางเตะเข้าไปที่ศีรษะเล็กๆ นั้นเต็มแรง ซึ่งหันมาจ้องมองดูนางตั้งแต่แรกแล้ว แต่ร่างนั้นกลับไม่ยอมหลบ ราวกับไม่คิดว่าการโจมตีนี้จะทำอะไรได้ และดูเหมือนร่างนั้นจะคิดผิด เพราะมันไม่ใช่การจู่โจมธรรมดา แต่เป็นการจู่โจมของมนุษย์หมาป่า การจู่โจมของคนเก่าแก่ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกัน

    “ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้เจ้าผีดูดเลือด”

    ร่างของเด็กหญิงที่เนื้อตัวมอมแมมซึ่งปกคลุมด้วยความมืดแปลกๆ กระเด็นออกไปตามแรงเตะ แต่ก็คล้ายลอยออกไปอย่างจงใจ ก่อนจะหายเข้าไปในแนวป่าพร้อมด้วยดวงตาที่แสดงความเศร้าออกมาอย่างไม่ปิดบัง ในขณะที่เด็กชายก็รีบวิ่งเข้าไปกอดร่างของน้องสาวเอาไว้แน่นราวกับจะชดเชยความผิดของตนเมื่อครู่ที่ปล่อยให้น้องหลุดมือไป

    ในตอนนั้นเองที่มีผู้ชายอีกสามคนโผล่เข้ามาในท่ามกลางความวุ่นวาย พวกเขาต่างมีอาวุธ อันได้แก่ คราด และเคียวที่ติดอยู่กับด้ามไม้ยาวซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตร ทั้งหมดต่างแต่งกายราวกับหลุดออกมาจากหนังสือประวัติศาสตร์เช่นเดียวกันกับสองคนแรกที่ได้พบ

    “ปล่อยเด็ก อย่ายุ่งกับพวกเขา” คนหนึ่งตะโกนบอก พร้อมกับจี้ส่วนคมของอาวุธไปที่ร่างของสโนว ในขณะที่อีกคนก็จี้ไปที่ทอย

    “อย่าทำร้ายพวกเขา” สโนวรีบร้องบอก ทั้งสามคนต่างเข้าใจไปว่าเป็นการขอข้องพวกเขา ซึ่งทำให้คุณนายวิกเซ่นยังคงไม่เคลื่อนไหวอะไร

    “ทิ้งอาวุธ” อีกคนหนึ่งร้องบอก และเมื่อเห็นทอยยังคงยืนนิ่งก็รีบบอกซ้ำอีก “แก ทิ้งอาวุธเดี๋ยวนี้” เขาจึงพึ่งนึกออกว่าตนเองยังคงมีดาบที่ยึดมาทั้งสองเล่มนั้นอยู่กับตัว จึงค่อยๆ วางพวกมันลงบนพื้นอย่างช้าๆ และดึงสายตาของทั้งสามให้มองมาที่พวกมัน คุณนายวิกเซ่นคิดว่ามีโอกาสที่จะลงมือได้อีกครั้ง แต่ก็เห็นสายตาห้ามปรามของสโนว

    “มันเป็นพวกโจรสี่สิบ” คนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อได้เห็นดาบสีดำ พร้อมกับแสดงความหวาดกลัวอย่างไม่ปิดบัง “รีบปล่อยพวกมันไปดีกว่า” เขาเสนอ

    “ไม่ จำที่นายอำเภอบอกไม่ได้หรือไง ครั้งนี้เราจะสู้กับพวกมัน” คนที่หนุ่มแน่นมีร่างกายกำยำจากการทำงานหนักพูดอย่างไม่กลัวเกรง
    “พวกมันทำร้ายได้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ขี้ขลาดสิ้นดี” อีกคนว่าพร้อมกับถ่มน้ำลายลงพื้น

    “พวกเจ้าเป็นอะไรกันหรือเปล่า” คนหนุ่มที่ดูเป็นผู้นำเอ่ยถาม “แล้วออกมาทำอะไรกันแถวนี้ แม่ของพวกเจ้าไม่ได้สั่งห้ามหรืออย่างไร”

    “พวกเขาไม่ได้ทำ แต่มันมี...” เด็กหญิงพยายามอธิบาย แต่พี่ชายกลับรีบบอกให้เธอเงียบ

    “ที่จริงแล้วพวกข้า ออกมาหาเก็บผักป่า ก่อน ก่อนจะถูกพวกมันหลอกล่อให้มาแถวนี้” น้องสาวมองดูพี่ชายของตนด้วยดวงตาเบิกโต

    ทั้งสามคนนั้นต่างไม่ได้สงสัย หรือคิดจะซักถามให้กระจ่างเลยว่าพวกเด็กๆ ถูกหลอกล่อมาด้วยวิธีการเช่นใด

    “เราจะคุมตัวพวกมันไปให้นายอำเภอเป็นคนตัดสิน”

    ชายหนุ่มตัดสินใจในที่สุด พวกเขามีเชือกเส้นยาวติดตัวมาด้วย และทั้งหมดต่างก็ถูกผูกโยงติดกันที่ข้อมือทั้งสองซึ่งถูกไขว้เอาไว้ทางด้านหลัง คุณนายวิกเซ่นพยายามเก็บความโกรธของตนเอาไว้อย่างเต็มที่ การถูกผูกด้วยเชือกเช่นนี้นับเป็นสิ่งที่นางเกลียดเป็นที่สุด เพราะมันเชื่อมโยงกลับไปถึงความทรงจำที่โหดร้ายในอดีต อันประกอบไปด้วย สุนัขล่าสัตว์ นายพราน กองไฟ เลือด น้ำตา กลิ่นของเนื้อที่กำลังถูกย่าง กับเสียงหัวเราะอันน่าสะอิดสะเอียนพวกนั้น

    “ใจเย็นไว้ วูฟ” สโนวกระซิบอย่างเข้าใจ

    “เซพ เธอจะต้องชดใช้” นางตอบด้วยเสียงลอดไรฟัน ราวกับเป็นเสียงขู่ของสัตว์ป่า

    “เดินไปเงียบๆ อย่าคุยกัน” ด้ามไม้ของคราดถูกเหวี่ยงมาใส่นางที่ช่วงลำตัว แต่นางก็ยังสามารถหมุนตัวพร้อมกับคว้ามันไว้ได้อย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าแขนทั้งสองจะถูกมัดไขว้กันไว้ด้านหลังก็ตาม สายตาของนางทำให้เจ้าของคราดนั้นรู้สึกว่าขนที่หลังคอของตนลุกตั้งชันขึ้น ก่อนที่นางจะยอมปล่อยมือพร้อมกับละสายตาไปทางอื่น

    เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบลงในแอ่งน้ำเล็กๆ และนางก็เห็นวงคลื่นกับน้ำที่กระเด็นไปรอบๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน

    ทอยถูกความสนใจของเด็กชายดึงดูดเอาไว้ มันแสดงความแค้นเคืองออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาไม่ได้เป็นคนแปลกหน้ากับสายตาแบบนั้น แต่เขาไม่เคยไปทำอะไรให้เด็กคนนี้มาก่อน เขาจึงรู้สึกสงสัยเหลือเกินว่าเป็นเพราะอะไร

    “พ่อของเจ้านั่นโดนพวกของเจ้าฆ่าตายในการปล้นครั้งที่แล้ว” ชายหนุ่มกำยำซึ่งเป็นคนเดินปิดท้ายขบวนบอกพร้อมกับดึงมีดสั้นที่มีด้ามพันไว้ด้วยหนังสัตว์ออกมาให้เขาเห็นบางส่วน “ถ้าข้าให้มีดเล่มนี้กับเขา แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เจ้าอยากรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มพูด

    “แต่ข้าจะไม่ทำ” ชายหนุ่มซุกมีดเก็บไว้ตามเดิม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่