ถูกขโมยเงินด้วยการปลอมลายเซ็นที่ธนาคารกสิกรไทย แต่ธนาคารพยายามบ่ายเบี่ยงและยืดเวลา

สวัสดีค่ะ ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ทางกฏหมายหรือที่เกี่ยวข้อง เพราะไม่พอใจและไม่สบายใจกับการทำงานของธนาคารกสิกร

เหตุการณ์ขอเล่าโดยสรุปสั้นๆ นะคะ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่น รวมถึงอาจจะขอคำปรึกษาในแง่ที่เป็นประโยชน์กับคดีด้วยค่ะ

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คุณแม่ของดิฉันตั้งใจจะไปเบิกเงินจากธนาคารกสิกร สาขาหัวหมากด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่ใช้บัตรเอทีเอ็ม ปกติเวลาไปเบิกก็จะให้ดิฉันหรือแม่บ้านที่ทำงานด้วยกันมากว่า 20 ปีเป็นคนทำธุรกรรมทางการเงินให้ เนื่องจากคุณแม่ไม่สบาย ผ่าตัดเนื้องอกที่สมองทำให้ดวงตามองไม่เห็น จึงต้องใช้วิธีมอบอำนาจให้คนอื่นไปทำธุรกรรมทางการเงินให้แทบทุกครั้ง ก่อนหน้าที่จะไปในครั้งนี้ก็ทราบกันดีว่ามีเงินเหลือในธนาคารจำนวน XXX,XXX บาท แต่พอจะไปเบิกจริง คุณแม่ถึงกับตกใจค่ะ เพราะเหลือเงินในบัญชีเพียง 976 บาท ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปเบิกเงินเลย จึงได้สอบถามกับทางธนาคาร ทางธนาคารได้ตรวจสอบและพบว่ามีการมอบอำนาจมาเบิกเงินในบัญชีดังกล่าวตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม เป็นจำนวน 6 ครั้งด้วยกัน ซึ่งก็พอจะรู้ว่าใครเป็นคนขโมย และภายหลังจากที่คุยกับบุคคลต้องสงสัยแล้ว เขาก็สารภาพว่าเป็นคนทำ ทางดิฉันจึงได้ไปแจ้งความแทนคุณแม่ที่สถานีตำรวจ และนำใบแจ้งความมายื่นกับธนาคารในวันที่ 13 มิถุนายน ธนาคารจึงได้แสดงหลักฐานการปลอมลายเซ็น (ใบเบิกเงินที่มีการปลอมลายเซ็น) ก็ตกใจและเสียความรู้สึกมาก เพราะลายเซ็นของคุณแม่กับลายเซ็นที่ถูกปลอมนั้น

"มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดชนิดที่เด็ก ป.6 ก็น่าจะมองออก"

นอกจากนี้ธนาคารยังได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ดู ทำให้เห็นว่าผู้ที่ปลอมลายเซ็นนั้นเป็นใคร เพราะในบันทึกของกล้องวงจรปิดได้บันทึกวันและเวลาไว้ จึงถือว่ามีหลักฐานครบ แต่ทางธนาคารได้บอกเพียงว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปยื่นตามขั้นตอน โดยไม่ได้กำหนดเวลาอะไรให้ดิฉันทราบเลย ทั้งๆ ที่เคยทราบจากทนายและผู้ที่เคยเจอกรณีแบบเดียวกันนี้บอกมาว่า ในกรณีนี้ถือว่าทางธนาคารเป็นผู้เสียหาย เพราะเงินที่ถูกถอนไปด้วยวิธีปลอมลายเซ็นนี้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ของธนาคาร ธนาคารยังเป็นเจ้าของเงินอยู่ จึงถือเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่เจ้าของบัญชี อีกทั้งเป็นความสะเพร่าของธนาคารที่ไม่ทำการตรวจสอบให้ดี ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องคืนเงินให้เจ้าของบัญชี แล้วจึงไปดำเนินการทางกฏหมายกับขโมยหรือผู้ที่ปลอมลายเซ๋็นเอง แต่ในเมื่อธนาคารแจ้งเพียงว่าขอทำการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมก่อน ดิฉันก็ให้โอกาส เพราะที่บ้านใช้บริการธนาคารกสิกร สาขาหัวหมากมาเป็นเวลาหลายปี พนักงานหลายคนก็รู้จักดิฉันและจำหน้าได้ ให้การต้อนรับประทับใจ (ในระดับหนึ่ง)

อย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามโทรศัพท์ไปสอบถามกับทางผู้รับผิดชอบเรื่องคดีของธนาคาร และโทรไปหาผู้จัดการสาขาด้วย โดยระยะความถี่ก็โทรไปเพียงแค่อาทิตย์ละครั้งเพื่อสอบถามว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว โดยใช้ถ้อยคำสุภาพและเป็นกันเอง ซึ่งปรากฏว่าทุกครั้งที่ติดต่อไป ก็จะได้รับคำตอบเหมือนกันทุกครั้งว่ากำลังทำเรื่องอยู่ ส่งเรื่องไปให้ทางสำนักงานใหญ่พิจารณา อีกทั้งผู้จัดการสาขาที่ชื่อคุณโสภณก็ยังมาทำเป็นอธิบายในลักษณะที่เหมือนต่อว่าดิฉัน ว่าไม่เข้าใจขั้นตอนของการดำเนินการ เพียงแค่ดิฉันถามสั้นๆ ว่าเรื่องเป็นอย่างไร ถึงไหนแล้ว ด้วยถ้อยคำสุภาพ อีกทั้งดิฉันได้ปรึกษาและตรวจสอบกับทนายแล้วว่าเหตุการณ์เป็นแบบนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือไม่ควรทำอะไร และการที่สอบถามความเคลื่อนไหวไปสัปดาห์ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าเหตุแต่อย่างใด เพราะเป็นการรักษาสิทธิ์ของผู้บริโภค สรุปว่าตั้งแต่เกิดเรื่อง ดิฉันโทรไปธนาคารจำนวน 4 ครั้ง     "พบว่าคำตอบที่ได้เหมือนกันทุกครั้ง"      เลยเกิดความสงสัยว่าเป็นไปได้หรือว่าตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม รวมแล้วเป็นเวลาเกือบเดือนที่ธนาคารเอาแต่บอกว่ากำลังยื่นเรื่อง แต่ดิฉันไม่พบว่าเกิดความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งๆ ที่คดีนี้ถือเป็นคดีอาญา ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยกับธนาคาร และเงินที่ถูกยักยอกไปก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อย แต่ธนาคารกลับมีพฤติกรรมบ่ายเบี่ยงด้วยการแสดงความล่าช้าจนผิดวิสัย จึงอยากสอบถามผู้ที่มีความรู้ทางกฏหมายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องว่าควรทำเช่นไร

ส่วนตัวแล้วบอกเลยว่าเสียความรู้สึกกับภาพลักษณ์ที่เคยมองว่าธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารที่ดี ดิฉันเคยชื่นชมการทำงานของพนักงานว่า "บริการทุกระดับประทับใจ" นั้นสามารถทำได้จริง (เว้นไว้เพียงพนักงานบางคนที่มักจะทำหน้าตาและท่าทางเย่อหยิ่งใส่ดิฉัน แต่ไม่ได้จำชื่อค่ะ) ซึ่งสาขาหัวหมากที่เกิดเหตุนี้ ดิฉันยังแอบเห็นแวบๆ ว่าเป็นสาขาที่ได้รางวัลการบริการดีเด่น แน่นอน ดิฉันทราบว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ดีพร้อม

แต่จากการบริหารและการดำเนินการที่ได้เกิดกับตัวเองแล้ว คำขวัญที่ว่าบริการทุกระดับประทับใจไม่ได้สะท้อนภาพลักษณ์ให้ดิฉันเห็นเลย สิ่งที่ได้คือเสียความรู้สึก และบอกได้คำเดียวว่าหลังจากเหตุการณ์นี้เสร็จสิ้นเรียบร้อย คงจะไม่กลับไปใช้บริการธนาคารกสิกรไทยสาขาหัวหมากอีก

เข็ดกับคำขวัญที่สร้างภาพลักษณ์ แต่ไม่สร้างภาพพจน์ที่ดีในความทรงจำ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่