เรื่องนี้เรียบเรียงมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้วครับ มี 3 เหตุการณ์ แบ่งเป็น 3 พาทนะครับ
ผมเพิ่งเคยเขียนเล่าเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก อาจมีอะไรผิดหรือขาดตกบกพร่องก็ขออภัยด้วยนะครับ
เรื่องสถานที่ขอละไว้นะครับเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ทุกคนรู้จัก อาจมีผลกระทบตามมาได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตัวผมนั้นศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงของกีฬาสีที่โรงเรียนจะจัดขึ้นในทุกๆปี
ผมและเพื่อนๆในห้องได้รับมอบหมายให้ดูแลจัดทำอุปกรณ์สำหรับขึ้นสแตนด์ประกอบการเชียร์ ในสุดสัปดาห์นั้นเองผมและเพื่อนๆก็นัดกันไปทำงานที่บ้านเพื่อนของผมคนนึง ชื่อว่า วี(นามสมมติ) อยู่แถวๆรัชดา วันนั้นมีเพื่อนไปทำงานกันประมาณ 10 คน มี ผช 2 คนคือผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อว่า กิต ที่เหลือเป็นผู้หญิงหมดเลยครับ
พวกผมออกเดินทางแต่เช้า เพื่อที่จะได้มีเวลาทำงานได้อย่างเต็มที่ เมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านของ วี สิ่งแรกที่เห็นคือ ศาลพระภูมิใหญ่มากตั้งอยู่ เห็นแล้วก็ขนลุกนิดๆด้วยที่ตัวผมเป็นคนมีเซ้นส์เรื่องนี้ เนื่องจากผมเกิดวันพุธกลางคืน(ไม่รู้เกี่ยวป่าว555) ผมสามารถรับรู้เรื่องพวกนี้ได้บ่อยๆ แต่จะไม่ชัดเจนอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ลางสังหรณ์และความรู้สึกเท่านั้น พวกผมก็พากันเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกแปลกๆครับ แถมหนังตาซ้ายกระตุกแต่เช้าด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรครับ กลางวันแสกๆ
แม่ของวีออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้นพวกผมก็ลงมือทำงานอย่างสนุกสนานครับ จนตกเที่ยงแม่ของวีก็บอกให้ทุกคนพักจากการทำงานและมานั่งล้อมวงกินข้าวกลางวันกัน ทุกคนก็ต่างรีบวางข้าวของแล้วมารวมตัวล้อมวงกันด้วยความหิว ระหว่างที่ทุกคนรับประทานอาหารกันผมได้เดินออกจากวงกินข้าวเพื่อไปหยิบน้ำมาเพิ่มครับ ระหว่างเดินออกไปผมรู้สึกเย็นวาบๆที่หลัง ด้วยสัญชาตญาณผมเลยหันหลังทันที ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับจนผมสังเกตุไปที่วงที่พวกเพื่อนๆผมนั่งล้อมกันกินข้าวอยู่นั้น มีที่ว่างที่นึงที่ไม่ควรมี ซึ่งทุกคนนั่งอยุ่ในวงและกำลังรับประทานอาหารกันอยู่มีเพียงผมคนเดียวที่ลุกออกมา แต่มีที่ว่าง 2 ที่ครับ คือที่ที่ผมนั่งและอีกที่นึง ข้างๆเพื่อนอีกคนที่ชื่อ เบส ครับ ทุกอย่างดูปกตินะครับ เป็นที่ว่าง และมีจานข้าวและช้อนส้อมวางอยู่พร้อม ผมก็ไม่ได้คิดไปทางเรื่องลี้ลับเลยนะครับ ในตอนนั้นคิดแค่ว่าแม่ของวีคงจะมาร่วมวงกินข้าวกับพวกผมด้วย สุดท้ายผมก็กลับมากินข้าวต่อ ไม่ได้คิดอะไรเรื่องจานข้าวและที่ที่เว้นว่างอยู่นะครับ แต่สายตาผมก็มองไปที่นั้นบ่อยๆ แต่แม่วีก็ไม่ได้มานั่งกินข้าวกับพวกผมจนพวกผมกินกันเสร็จทุกคนก็แยกย้ายบางคนก็ไปล้างจาน บางคนก็พักนั่งคุย ส่วนผมก็มานั่งเก็บรายละเอียดงานเล็กๆน้อยๆต่อ จนเวลาผ่านไปถึงช่วงเย็น ตอนนั้นงานของพวกผมเสร็จแล้วครับ และมีเพื่อน 2 คนขอตัวกลับก่อน พวกผมก็นั่งกันอยู่ในห้องรับแขกว่างๆเลยหาหนังดู สุดท้ายก็ได้หนังเรื่อง 4 แพร่ง มานั่งดูกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนตั้งใจดูมีเพียงแต่ผมที่ไม่ได้ตั้งใจดูอะไรเลย เพราะผมดูมา 3 4 รอบแล้ว มีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกๆรู้สึกเหมือนมีคนมองครับ เช่นเคย ผมหันหลังกลับไปดู ไม่มีอะไรผิดปกติครับแต่ทิศทางที่ผมคิดว่ามีคนมองพวกผมอยู่นั้นคือตำแหน่งที่ศาลพระภูมิตั้งอยู่ ผมเอะใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
ผ่านมาเมื่อทุกคนดูหนังเสร็จก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวกลับ อยุ่ดีดีแม่วีก็เดินมาทักพวกผมว่า " อ้าว แล้วเพื่อนผู้ชายอีกคนหายไปไหนแล้ว?" ไม่เอาไม่พูด
พวกผมถึงกับ งง หยุดยืนอึ้งกันหมด เพราะเพื่อนผมที่ขอตัวกลับก่อนทั้งสองคนนั้นเป็นผู้หญิงครับ และผมกับเพื่อนผู้ชายผมที่ชื่อกิตอีกคนก็ยืนอยู่ในเวลานั้น วีเลยพูดกับแม่ว่า " แม่ก็! เพิ่งดูหนังผีจบอย่ามาแกล้งอำเล่นสิ ไม่ตลกนะแม่ " แม่ของวีไม่มีทีท่าว่าเรื่องที่พูดมาเมื่อกี้เป็นเรื่องล้อเล่น และบอกกับพวกผมอีกว่า " ไม่ได้ตลก แม่จำได้แม่เห็นมีเพื่อนผู้ชายมากันสามคน อีกคนที่ไม่อยู่ใส่เสื้อยืดสีครีม ตอนกินข้าวก็นั่งอยู่ในวงด้วย " ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมสังเหตุเห็นพื้นที่ว่างที่มีจานวางทิ้งไว้อยู่ ผมเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนๆผมฟัง เพื่อนๆนี่ขนลุกกันเกรียวเลยครับ อีกอย่างคือ พวกผมมีผู้ชายมากันสองคนคือผมกับกิต และผมใส่เสื้อยืดสีดำ ส่วนกิตใส่เสื้อยืดสีน้ำตาล ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าคุณแม่ของวีจะจำผิดว่าคนที่หายไปเป็นผมหรือเป็นกิต พวกผมล้อมวงคุยกัน เพื่อนๆต่างอึ้งและเริ่มกลัวนิดๆกับเรื่องที่แม่ของวีพูด ..พวกเราเสียเวลาคุยกันสักพัก และตัดสินใจรีบกลับเพราะว่าใกล้จะมืดแล้วบรรยากาศก็น่ากลัวด้วย พวกผมจึงลาแม่ของวี และ วี พร้อมขอตัวกลับ ระหว่างทางกลับผมรุ้สึกเสียวสันหลังเป็นพักๆ และเพื่อนๆก็ยังคงคุยกันเรื่อง ผู้ชายเสื้อสีครีม ด้วยความที่ผมเป็นคนปากไวไม่ทันระวังจึงพูดประโยคหนึ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นการลบหลู่หรืออะไรทั้งนั้น " กูว่าที่แม่วีเห็นมันหายไปก่อนหน้าพวกเรากลับ เพราะมันตามเบสไปกับแป้งไปว่ะ " (เบส และ แป้ง คือเพื่อนผู้หญิงที่ขอตัวกลับไปก่อน) ทุกคนต่างเห็นด้วยกับที่ผมพูด ด้วยความที่ผมไม่กลัวผีและไม่คิดมากเรื่องพวกนี้ คำพูดเหล่านั้นจึงกลายเป็นเรื่องตลกไป
วันรุ่งขึ้นเพื่อนๆก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เบส และ แป้ง ฟัง และที่มารู้ภายหลังคือ แม่ของวีนั้นเคยเป็นร่างทรงมาก่อน ยิ่งทำให้ทั้งสองคนกลัวกันใหญ่และกลายเป็นเรื่องเครียดไปซะงั้น พวกเพื่อนๆผมจึงนัดกันไปทำบุญเพื่อความสบายใจ มีแต่เพียงผมคนเดียวที่ไม่ได้ไป สาเหตุน่ะเหรอ ขี้เกียจครับ =.,=
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเล่าที่น่ากลัวในระดับหนึ่งที่เป็นที่เล่าขานกันในห้องเป็นช่วงเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เงียบหายไปและทุกคนก็คงลืมกันไปหมดหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา 2 3 เดือน ทุกคนไม่ได้พูดถึงชายเสื้อสีครีมนั่นอีก รวมทั้งตัวผมที่ลืมเช่นกัน แต่ระหว่างปีนั้นผมก็เจออะไรผิดปกติเล็กๆน้อยตลอดนะครับ เช่น เหมือนมีคนเดินตาม ตอนนอนเหมือนมีคนเดินในห้อง ตอนสระผมเหมือนมีคนชะโงกหน้าอยู่ด้านหลัง แต่อย่างที่ผมบอกผมไม่กลัวเพราะมันเป็นเพียงความรู้สึก เมื่อผมหันกลับไปมองทีไรก็ไม่พบอะไรทั้งนั้น เรื่องทุกอย่างก็ผ่านเลยไปเป็นเวลา 1 ปี..
จบพาทแรกครับ เดี๋ยวผมมาพิมพ์ต่อ ขอโทษถ้ารอนานนะครับผมเป็นคนพิมพ์ช้า ขอตัวไปกินข้าวนะครับผม
3ปี ที่เขายังไม่ไป
ผมเพิ่งเคยเขียนเล่าเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก อาจมีอะไรผิดหรือขาดตกบกพร่องก็ขออภัยด้วยนะครับ
เรื่องสถานที่ขอละไว้นะครับเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ทุกคนรู้จัก อาจมีผลกระทบตามมาได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตัวผมนั้นศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงของกีฬาสีที่โรงเรียนจะจัดขึ้นในทุกๆปี
ผมและเพื่อนๆในห้องได้รับมอบหมายให้ดูแลจัดทำอุปกรณ์สำหรับขึ้นสแตนด์ประกอบการเชียร์ ในสุดสัปดาห์นั้นเองผมและเพื่อนๆก็นัดกันไปทำงานที่บ้านเพื่อนของผมคนนึง ชื่อว่า วี(นามสมมติ) อยู่แถวๆรัชดา วันนั้นมีเพื่อนไปทำงานกันประมาณ 10 คน มี ผช 2 คนคือผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อว่า กิต ที่เหลือเป็นผู้หญิงหมดเลยครับ
พวกผมออกเดินทางแต่เช้า เพื่อที่จะได้มีเวลาทำงานได้อย่างเต็มที่ เมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านของ วี สิ่งแรกที่เห็นคือ ศาลพระภูมิใหญ่มากตั้งอยู่ เห็นแล้วก็ขนลุกนิดๆด้วยที่ตัวผมเป็นคนมีเซ้นส์เรื่องนี้ เนื่องจากผมเกิดวันพุธกลางคืน(ไม่รู้เกี่ยวป่าว555) ผมสามารถรับรู้เรื่องพวกนี้ได้บ่อยๆ แต่จะไม่ชัดเจนอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ลางสังหรณ์และความรู้สึกเท่านั้น พวกผมก็พากันเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกแปลกๆครับ แถมหนังตาซ้ายกระตุกแต่เช้าด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรครับ กลางวันแสกๆ
แม่ของวีออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้นพวกผมก็ลงมือทำงานอย่างสนุกสนานครับ จนตกเที่ยงแม่ของวีก็บอกให้ทุกคนพักจากการทำงานและมานั่งล้อมวงกินข้าวกลางวันกัน ทุกคนก็ต่างรีบวางข้าวของแล้วมารวมตัวล้อมวงกันด้วยความหิว ระหว่างที่ทุกคนรับประทานอาหารกันผมได้เดินออกจากวงกินข้าวเพื่อไปหยิบน้ำมาเพิ่มครับ ระหว่างเดินออกไปผมรู้สึกเย็นวาบๆที่หลัง ด้วยสัญชาตญาณผมเลยหันหลังทันที ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับจนผมสังเกตุไปที่วงที่พวกเพื่อนๆผมนั่งล้อมกันกินข้าวอยู่นั้น มีที่ว่างที่นึงที่ไม่ควรมี ซึ่งทุกคนนั่งอยุ่ในวงและกำลังรับประทานอาหารกันอยู่มีเพียงผมคนเดียวที่ลุกออกมา แต่มีที่ว่าง 2 ที่ครับ คือที่ที่ผมนั่งและอีกที่นึง ข้างๆเพื่อนอีกคนที่ชื่อ เบส ครับ ทุกอย่างดูปกตินะครับ เป็นที่ว่าง และมีจานข้าวและช้อนส้อมวางอยู่พร้อม ผมก็ไม่ได้คิดไปทางเรื่องลี้ลับเลยนะครับ ในตอนนั้นคิดแค่ว่าแม่ของวีคงจะมาร่วมวงกินข้าวกับพวกผมด้วย สุดท้ายผมก็กลับมากินข้าวต่อ ไม่ได้คิดอะไรเรื่องจานข้าวและที่ที่เว้นว่างอยู่นะครับ แต่สายตาผมก็มองไปที่นั้นบ่อยๆ แต่แม่วีก็ไม่ได้มานั่งกินข้าวกับพวกผมจนพวกผมกินกันเสร็จทุกคนก็แยกย้ายบางคนก็ไปล้างจาน บางคนก็พักนั่งคุย ส่วนผมก็มานั่งเก็บรายละเอียดงานเล็กๆน้อยๆต่อ จนเวลาผ่านไปถึงช่วงเย็น ตอนนั้นงานของพวกผมเสร็จแล้วครับ และมีเพื่อน 2 คนขอตัวกลับก่อน พวกผมก็นั่งกันอยู่ในห้องรับแขกว่างๆเลยหาหนังดู สุดท้ายก็ได้หนังเรื่อง 4 แพร่ง มานั่งดูกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนตั้งใจดูมีเพียงแต่ผมที่ไม่ได้ตั้งใจดูอะไรเลย เพราะผมดูมา 3 4 รอบแล้ว มีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกๆรู้สึกเหมือนมีคนมองครับ เช่นเคย ผมหันหลังกลับไปดู ไม่มีอะไรผิดปกติครับแต่ทิศทางที่ผมคิดว่ามีคนมองพวกผมอยู่นั้นคือตำแหน่งที่ศาลพระภูมิตั้งอยู่ ผมเอะใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
ผ่านมาเมื่อทุกคนดูหนังเสร็จก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวกลับ อยุ่ดีดีแม่วีก็เดินมาทักพวกผมว่า " อ้าว แล้วเพื่อนผู้ชายอีกคนหายไปไหนแล้ว?" ไม่เอาไม่พูด
พวกผมถึงกับ งง หยุดยืนอึ้งกันหมด เพราะเพื่อนผมที่ขอตัวกลับก่อนทั้งสองคนนั้นเป็นผู้หญิงครับ และผมกับเพื่อนผู้ชายผมที่ชื่อกิตอีกคนก็ยืนอยู่ในเวลานั้น วีเลยพูดกับแม่ว่า " แม่ก็! เพิ่งดูหนังผีจบอย่ามาแกล้งอำเล่นสิ ไม่ตลกนะแม่ " แม่ของวีไม่มีทีท่าว่าเรื่องที่พูดมาเมื่อกี้เป็นเรื่องล้อเล่น และบอกกับพวกผมอีกว่า " ไม่ได้ตลก แม่จำได้แม่เห็นมีเพื่อนผู้ชายมากันสามคน อีกคนที่ไม่อยู่ใส่เสื้อยืดสีครีม ตอนกินข้าวก็นั่งอยู่ในวงด้วย " ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมสังเหตุเห็นพื้นที่ว่างที่มีจานวางทิ้งไว้อยู่ ผมเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนๆผมฟัง เพื่อนๆนี่ขนลุกกันเกรียวเลยครับ อีกอย่างคือ พวกผมมีผู้ชายมากันสองคนคือผมกับกิต และผมใส่เสื้อยืดสีดำ ส่วนกิตใส่เสื้อยืดสีน้ำตาล ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าคุณแม่ของวีจะจำผิดว่าคนที่หายไปเป็นผมหรือเป็นกิต พวกผมล้อมวงคุยกัน เพื่อนๆต่างอึ้งและเริ่มกลัวนิดๆกับเรื่องที่แม่ของวีพูด ..พวกเราเสียเวลาคุยกันสักพัก และตัดสินใจรีบกลับเพราะว่าใกล้จะมืดแล้วบรรยากาศก็น่ากลัวด้วย พวกผมจึงลาแม่ของวี และ วี พร้อมขอตัวกลับ ระหว่างทางกลับผมรุ้สึกเสียวสันหลังเป็นพักๆ และเพื่อนๆก็ยังคงคุยกันเรื่อง ผู้ชายเสื้อสีครีม ด้วยความที่ผมเป็นคนปากไวไม่ทันระวังจึงพูดประโยคหนึ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นการลบหลู่หรืออะไรทั้งนั้น " กูว่าที่แม่วีเห็นมันหายไปก่อนหน้าพวกเรากลับ เพราะมันตามเบสไปกับแป้งไปว่ะ " (เบส และ แป้ง คือเพื่อนผู้หญิงที่ขอตัวกลับไปก่อน) ทุกคนต่างเห็นด้วยกับที่ผมพูด ด้วยความที่ผมไม่กลัวผีและไม่คิดมากเรื่องพวกนี้ คำพูดเหล่านั้นจึงกลายเป็นเรื่องตลกไป
วันรุ่งขึ้นเพื่อนๆก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เบส และ แป้ง ฟัง และที่มารู้ภายหลังคือ แม่ของวีนั้นเคยเป็นร่างทรงมาก่อน ยิ่งทำให้ทั้งสองคนกลัวกันใหญ่และกลายเป็นเรื่องเครียดไปซะงั้น พวกเพื่อนๆผมจึงนัดกันไปทำบุญเพื่อความสบายใจ มีแต่เพียงผมคนเดียวที่ไม่ได้ไป สาเหตุน่ะเหรอ ขี้เกียจครับ =.,=
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเล่าที่น่ากลัวในระดับหนึ่งที่เป็นที่เล่าขานกันในห้องเป็นช่วงเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เงียบหายไปและทุกคนก็คงลืมกันไปหมดหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา 2 3 เดือน ทุกคนไม่ได้พูดถึงชายเสื้อสีครีมนั่นอีก รวมทั้งตัวผมที่ลืมเช่นกัน แต่ระหว่างปีนั้นผมก็เจออะไรผิดปกติเล็กๆน้อยตลอดนะครับ เช่น เหมือนมีคนเดินตาม ตอนนอนเหมือนมีคนเดินในห้อง ตอนสระผมเหมือนมีคนชะโงกหน้าอยู่ด้านหลัง แต่อย่างที่ผมบอกผมไม่กลัวเพราะมันเป็นเพียงความรู้สึก เมื่อผมหันกลับไปมองทีไรก็ไม่พบอะไรทั้งนั้น เรื่องทุกอย่างก็ผ่านเลยไปเป็นเวลา 1 ปี..
จบพาทแรกครับ เดี๋ยวผมมาพิมพ์ต่อ ขอโทษถ้ารอนานนะครับผมเป็นคนพิมพ์ช้า ขอตัวไปกินข้าวนะครับผม