จะลดการเกิดอาชญากรรมได้ยังไง เข้ามาอ่านกันค่ะ !!



มติชนรายวัน วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ทำดีได้ ไม่ต้องใช้คำขวัญ
พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/article/jitvivat255608.html




              ในหนังสือเรื่อง “ปัญญาเหนือทุกข์”  ของ แจ๊ค คอร์นฟิลด์ (กำธร เก่งสกุล แปล)  
ผู้เขียนเล่าถึงการวิจัยที่ทำในย่านพักอาศัยของคนจนในกรุงลอนดอน  ถนนสองสายถูกเลือกขึ้นมาเพื่อการศึกษาเปรียบเทียบ  
ทั้งสองสายมีสภาพคล้ายกันและอยู่ห่างกันไม่ถึง ๒ กม. ที่สำคัญคือมีสถิติอาชญากรรมในระดับสูงพอ ๆ กัน  
แต่นักวิจัยได้เลือกถนนสายหนึ่งให้มีการเอาใจใส่อย่างดี  เช่น ทำความสะอาดทุกวันเป็นเวลาหนึ่งปี  
เก็บขยะถูกชิ้น ลบรอยขีดเขียนบนกำแพงในที่สาธารณะ  ปลูกไม้ดอกตรงขอบทางเดินและรดน้ำต่อเนื่อง  
ไฟริมถนนตลอดจนป้ายที่แตกหักได้รับการซ่อมแซมและทาสีใหม่  


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการประกาศต่อสาธารณชน  
หลังจากนั้นหนึ่งปีได้มีการนำถนนทั้งสองสายมาเปรียบเทียบกัน
ปรากฏว่าสถิติอาชญากรรมบนถนนสายที่สะอาดและงดงามลดลงเกือบ ๕๐%




ปัญญาเหนือทุกข์ (The Wise Heart)


ผู้เขียนไม่ได้อธิบายว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น  แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในหลายเมืองของหลายประเทศ
เช่น สหรัฐอเมริกา และเนเทอร์แลนด์  เมื่อชุมชนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอาชญากรรมก็ลดลง  
สิ่งที่น่าคิดก็คือทั้งสองอย่างเกี่ยวพันกันอย่างไร  คำตอบก็คือ ชุมชนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นแสดงว่าผู้คนใส่ใจส่วนรวม  
คนที่อยู่ในบรรยากาศแบบนี้ย่อมเกิดตระหนักว่าตนจะทำตามอำเภอใจไม่ได้  จึงเกิดความยับยั้งชั่งใจเมื่อนึกอยากทำผิดกฎระเบียบ



คำอธิบายดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากความคิดที่ว่า อาชญากรรมตามชุมชนต่าง ๆ  
มักเริ่มจากการกระทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ  เช่น ปากระจกหน้าต่างแตก หรือขีดเขียนในที่สาธารณะแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น  
ผู้คนจึงได้ใจและกล้าทำสิ่งที่อุกอาจมากขึ้น เช่น ลักขโมย  และลุกลามไปสู่อาชญากรรมที่รุนแรง  
แนวความคิดนี้มองว่า  การปล่อยให้มีกระจกหน้าต่างแตกหรือสีขีดเขียนเปรอะเปื้อนในที่สาธารณะเป็นเวลานาน ๆ
คือการส่งสัญญาณว่า ชุมชนนี้ไม่มีใครเอาเป็นธุระ  อยู่อย่างตัวใครตัวมัน  เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้คนอื่น ๆ ทำตามอำเภอใจ
ไม่สนใจกฎเกณฑ์หรือกติกา เกิดความรู้สึกอยากทำสิ่งแย่ ๆ อย่างเดียวกันบ้าง หรือทำยิ่งกว่า  (แกทำได้ ฉันก็ต้องทำได้สิ)



jack kornfield



                ฟิลิป ซิมบาร์โด นักจิตวิทยาชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด   เคยทดลองเอารถคันหนึ่ง
ซึ่งไม่มีป้ายทะเบียนมาจอดโดยเปิดฝากระโปรงทิ้งไว้ในเมืองบรองซ์ กรุงนิวยอร์ค อันเป็นย่านคนจนและเต็มไปด้วยอาชญากรรม  
ส่วนรถอีกคันหนึ่งเอาไปจอดทิ้งไว้ที่เมืองพาโลอัลโต แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นย่านคนมีฐานะ
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในชั่วเวลาไม่กี่นาทีรถคันแรกก็ถูกถอดแบตเตอรี่และหม้อน้ำ  แล้วชิ้นส่วนอื่น ๆ ก็ถูกถอดตามมา
ภายในเวลา ๒๔ ชั่วโมง ก็ไม่เหลือของมีค่าอยู่เลย ในที่สุดก็มีคนทุบกระจกเข้าไปขโมยชิ้นส่วนภายในรถ


ตรงข้ามกับรถคันที่สอง ไม่มีใครแตะต้องรถคันนั้นนานเป็นอาทิตย์ แต่เมื่อซิมบาร์โดลงมือทุบกระจกรถคันนั้นเสียเอง  
ไม่นานก็มีคนไปรื้อถอดชิ้นส่วนรถไม่ต่างจากที่บรองซ์   ซิมบาร์โดชี้ว่าสาเหตุที่การรื้อถอดชิ้นส่วนรถเกิดขึ้นเร็วมากในบรองซ์
ก็เพราะคนที่นั่นรู้สึกว่า จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสนใจ  พฤติกรรมแบบเดียวกันนี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งในถิ่นคนมีฐานะ
หากมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า “ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสนใจ”



ในกรณีดังกล่าว สิ่งที่เป็นสัญญาณว่า “ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสนใจ” ก็คือ  กระจกรถที่ถูกทุบแตกนั่นเอง  
นี้เป็นที่มาของทฤษฎี “หน้าต่างแตก” ของเจมส์ วิลสัน และยอร์จ เคลลิ่ง ทั้งสองอธิบายดังนี้ว่า

“สมมติว่ามีอาคารหลังหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างแตกหลายบาน  หากหน้าต่างไม่ได้รับการซ่อม  
ก็มีแนวโน้มว่าอันธพาลจะทุบหน้าต่างแตกเพิ่มขึ้น  ในที่สุดพวกเขาก็จะแอบเข้าไปในอนาคารนั้น
และหากอาคารนั้นไม่มีคนอยู่  มันก็อาจกลายเป็นที่อาศัยของคนเหล่านั้นหรือจุดไฟข้างใน”




Philip Zimbardo


แนวความคิดนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายของสำนักงานตำรวจกรุงนิวยอร์คเมื่อ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว  
มีการขจัดรอยขีดเขียนในที่สาธารณะ  ดูแลสถานีรถไฟใต้ดินให้สะอาดสะอ้าน รวมทั้งใส่ใจกับการทำผิดกฎเล็ก ๆ น้อย
เช่น ไม่จ่ายค่าตั๋วรถไฟใต้ดิน หรือทำลายทรัพย์สินสาธารณะ สิ่งที่ตามมาก็คือ อาชญากรรมในกรุงนิวยอร์คซึ่งเคยพุ่งสูงได้ลดลงไปมาก  
ความสำเร็จดังกล่าวมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง แต่เชื่อว่าการทุ่มเทในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย


ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า  สภาพแวดล้อมกับพฤติกรรมของผู้คนนั้นเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง    
สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเป็นระเบียบนั้น สามารถลดทอนพฤติกรรมด้านลบของผู้คน
ทำให้อาชญากรรมลดลงได้  ในทางตรงข้ามสภาพแวดล้อมที่ถูกปล่อยปละละเลย
สามารถส่งเสริมให้คนมีพฤติกรรมในทางลบจนกระทำอาชญากรรมต่าง ๆ ได้ไม่ยาก





อันที่จริงสภาพแวดล้อมยังสามารถมีอิทธิพลในลักษณะอื่น ๆ ต่อพฤติกรรมของผู้คน  
ตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ การทดลองในสำนักงานของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ  
พนักงานสามารถหาชาหรือกาแฟได้จากครัวรวม  แต่ต้องชงเองและหยอดเงินใส่กล่องเองด้วย  
โดยมีป้ายบอกราคาติดไว้ที่ข้างฝา  วันหนึ่งมีคนเอาภาพโปสเตอร์มาติดเหนือป้ายนั้น
ภาพนั้นเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ ถ้าไม่ใช่ภาพดอกไม้ ก็เป็นภาพตาที่กำลังมองมายังผู้ดู  
ที่น่าแปลกก็คือ จำนวนเงินในกล่องจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ  
กล่าวคืออาทิตย์ใดที่เป็นภาพดอกไม้  จำนวนเงินที่ได้(ต่อนม ๑ ลิตร)จะลดลง  
แต่อาทิตย์ใดเป็นภาพตาจ้องมอง  จำนวนเงินที่ได้จะเพิ่มขึ้น  เฉลี่ยแล้วอาทิตย์ใดที่มีตาจ้องมอง
พนักงานจะหยอดเงินมากกว่าอาทิตย์ที่มีดอกไม้ เกือบ ๓ เท่า


กล่าวอีกนัยหนึ่งภาพโปสเตอร์นั้นมีผลต่อความซื่อสัตย์ของพนักงานด้วย  
ภาพตานั้นทำให้ผู้คนรู้สึกลึก ๆ ว่าถูกจ้องมอง จึงมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินตามราคา  
แต่หากเป็นภาพอื่น ก็อาจจะจ่ายบ้าง ไม่จ่ายบาง หรือจ่ายไม่ครบ







ทั้งหมดนี้ชี้ว่าความดีหรือศีลธรรมของผู้คนนั้น ไม่ได้อยู่ที่จิตสำนึกล้วน ๆ แต่ยังขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย  
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งแวดล้อมมีผลต่อจิตสำนึก และนำไปสู่พฤติกรรมที่สอดคล้องกัน  
ดังนั้นการพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนให้มีศีลธรรม  จึงไม่ควรเน้นที่การเทศน์การสอนหรือการรณรงค์ด้วยคำขวัญเท่านั้น  
แต่ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อม รวมถึงการสร้างเหตุปัจจัยภายนอกที่เกื้อกูลด้วย  
อาทิ การกระจายโภคทรัพย์ไม่ให้เกิดความยากไร้



เรื่องทำนองนี้อันที่จริงก็มีกล่าวในพระไตรปิฎก  หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องของพระราชาที่ต้องการปราบโจรผู้ร้ายซึ่งมีอยู่ชุกชุม  
ความคิดของพระราชาก็คือ เพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น แต่พราหมณ์ปุโรหิตทักท้วงเพราะเห็นว่าจะทำให้ปัญหาหนักขึ้น  
พราหมณ์เสนอให้มีการกระจายทรัพย์หรือส่งเสริมอาชีพ ไม่ว่าเกษตรกร พ่อค้า และขุนนาง  พระราชาคล้อยตาม
ปรากฏว่าเมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี มีอาชีพ มีรายได้พ่อแก่อัตภาพ  โจรผู้ร้ายก็หายไป   ชาวเมืองอยู่อย่างผาสุก
“รื่นเริงบันเทิงใจ อุ้มลูกฟ้อนรำไปมา  สนุกสนาน บ้านช่องไม่ต้องปิดประตูลั่นกุญแจ”



น่าสังเกตว่า พราหมณ์ (ซึ่งเป็นตัวแทนความคิดของพระพุทธเจ้า) ไม่ได้เสนอให้มีการเทศนาสั่งสอนประชาชน
หรือรณรงค์ให้ประชาชนมีศีลธรรมแต่อย่างใด เพียงแค่จัดระบบเศรษฐกิจให้ดี อาชญากรรมก็ลดลง ศีลธรรมก็กลับมา


เรื่องนี้ชี้ว่าในการเสริมสร้างศีลธรรมของผู้คน  สิ่งหนึ่งที่มิอาจมองข้ามได้เลยก็คือการเสริมสร้างสภาพแวดล้อม
และเหตุปัจจัยภายนอกให้เกื้อกูลต่อจิตสำนึกและพฤติกรรมของผู้คนด้วย










นานามาลัย

ถ้าเพื่อนๆเห็นว่าบทความนี้ดี มีประโยชน์ ขอให้ช่วยกันโหวตและช่วยกันแชร์ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่