ความกลัว ทำให้เสื่อม พระพุทธเจ้าทรงท้าท้ายสาวก ว่า ..............

ช่างน่าขัน ที่เพียงผมลอง "แหย่" ด้วยข้อความในทำนองว่า มีใครบางคนเข้ามาระบาย "ความกลัว" อยู่ในกระทู้ของผม
ล็อกอิน คันโตนาซี ก็ถึงกับ อดรนทนไม่ได้ ต้องเข้ามา "ตอกย้ำ" ความกลัวที่มีอยู่ภายในจิตใจ ให้ผู้อื่นได้แลเห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ด้วยการพิมพ์ข้อความที่ส่อไปในทางต่ำ  ด้วยหวังว่า ความสกปรก ดังกล่าว จะสามารถช่วย ปกปิด และ ปกป้อง
ความกลัวในใจของตนเอง จากการรับรู้ของสาธารณชน เอาไว้ได้ ซึ่งนั่นย่อมเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ของตัวมันเอง !



ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นนั่นแหละว่า ผมเพียงแค่เขียนเย้าแหย่เล่นๆ มิได้คิดจริงจังอะไร เพราะที่เขียนไปนั้น
ก็เป็นเพียงแค่ การสันนิษฐาน ด้วยความจำได้หมายรู้เดิมๆ อันเกิดจาก ประสบการณ์(ตรง) ที่ผ่านมาในอดีต เท่านั้น

หากถามผมว่า เหตุใด ผมจึงคิดว่า คันโตนาซี เกิดอาการกลัว "กระทู้" ของผม
อันนี้ ตอบได้ไม่ยากว่า ทุกครั้ง ที่เราพบกัน คันโตนาซี มักจะเกิดอาการ (๑) เงิบ หรือ (๒) อาจมแตก กลางกระทู้เสมอ
เนื่องจาก โดยธรรมชาติของผม เป็นคนที่ไม่เชื่อคำพูด แอบอ้าง ของใครง่ายๆ อยู่แล้ว
ดังนั้น วัตรปฏิบัติประจำของผม ก็คือ การตรวจสอบเทียบเคียง ถ้อยคำของผู้อวดอ้างนั้นๆ กับ พระสูตรพระวินัย

ซึ่งแน่นอนว่า คนปากไสว อย่างคันโตนาซี ย่อมถูกตรวจสอบมากกว่าคนอื่นๆ และก็เป็นธรรมดาเช่นกัน
ที่มันผู้นั้น จะเกิดอาการ (๑) เงิบ หรือ (๒) อาจมแตก กลางกระทู้เสมอๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว ตัวอย่างเช่น

*****************************************************

กรณีที่ ๑ พระพุทธเจ้า ไม่ตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" แก่ ภิกษุสาวก

นายคันโตนาซี เขาอ้างว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนศีลแก่ภิกษุ แม้ผมจะยก จุลศีล จาก สีลขันธวรรค มาอ้างก็ตาม
โดยได้พยายามตั้งเงื่อนไขในการแสดงหลักฐานต่างๆ นาๆ เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรกันว่า พระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" ให้แก่สาวกของพระองค์



แต่มันผู้นั้น ก็พูดจาเล่นลิ้น โยกโย้ อยู่เป็นเดือนๆ ครับ
จนแม้เมื่อผมยก นิรยสูตร ขึ้นแสดง มันก็ยังคงทำ ตาบอดตาใส ทำไม่รู้ไม่เห็นอยู่นานสองนาน
ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไอ้หมอนี่ ไม่เคยใส่ใจอ่าน ข้อความ และ หลักฐาน ของคู่สนทนา อย่างจริงจังเลย



ถึงแม้ มันไม่เห็น แต่คนอื่นเขาเห็นกันทั่วนี่ครับ !
ช่างน่าสมเพช ที่ในท้ายที่สุดมันก็ "จำใจ" ยอมรับ ว่าพระพุทธเจ้า ตรัสสอน ศีลเบื้องต้น ให้แก่ ภิกษุ จริงๆ
แต่มันกลับไม่ยอมรับว่า ได้ทำความผิด คือ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย
ทั้งๆ ที่มันได้กล่าวในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ว่าไม่ได้ตรัสสอน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า นั่นคือการกล่าวตู่พระองค์

ที่น่าขำ ก็คือ มันอ้างว่า ความผิด ความพลาด เหล่านั้น มิใช่ "การกล่าวตู่" หากแต่เป็นเพียงแค่ "ความเข้าใจผิด"

ช่างน่าประหลาดแท้ ที่ชาวพุทธทั้งโลก จะไม่มีสิทธิ์ในการ "แค่เข้าใจผิด" อย่างมันแอบอ้าง เพื่อเอาตัวรอด ได้เลย
เพราะไม่ว่าจะเป็น พระ หรือ ฆราวาส หาก มันเห็น หรือ เข้าใจเอาเองว่า กล่าวผิดไปจากพระคัมภีร์
มันก็จะตราหน้า บุคคลเหล่านั้นในทันทีว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย เป็น อัญเดียรถีย์ ฯลฯ !



และนี่ ก็คือ อุปนิสัยสันดาน ของคนอย่าง คันโตนาซี นะครับ

*****************************************************

กรณีที่ ๒ อริยสาวก แปลว่า สาวกผู้เป็นอริยะ เท่านั้น

ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ ก็มิได้มีอะไรที่ซับซ้อนเลย ประเด็นใจความหลักของเรื่องก็แค่ว่า อริยสาก แปลว่า อะไร เท่านั้นเอง
ทั้งๆ ที่จากหลักฐาน ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า อริยสาวก แปลว่า สาวกผู้เป็นอริยะ หรือ สาวกของพระอริยะ ก็ได้
โดยอรรถกถาจารย์ ได้อธิบายความเอาไว้อย่างละเอียดว่า อริยสาวก มีถึง ๔ ความหมาย



ปรากฏว่า บุคคลผู้ซึ่งมักจะออกอาการ ไม่พอใจ เป็นอย่างยิ่ง หากมีใครวิพากษ์วิจารณ์คัมภีร์อรรถกถา
แต่กลับแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งเช่นกันว่า ไม่เอาอรรถกถา เหมือนกัน หากข้อความนั้นๆ ไม่ตรงกับความเชื่อของมัน
ผมรู้สึกสงสัยเหลือเกินว่า แล้วมันจะทำเป็นปกป้องอรรถกถา ไปทำไมกัน ในเมื่อมัน ไม่อ่าน ไม่เชื่อ และ ไม่ยอมรับ

อย่าบอกนะว่า ที่มันและพวก ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงแค่ การสร้างภาพลวงโลก เท่านั้น !

*****************************************************

กรณีที่ ๓ พวก สัสสตทิฐิ ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด

กรณีนี้ เป็นเรื่องน่าตลก นะครับ กล่าวคือ คันโตนาซีและพวก ก็คงเหมือนกับชาวพุทธทั่วๆ ไป ที่ยังเชื่อในเรื่อง ผีสางนางไม้
เวียนว่ายตายเกิด หรือ เรื่อง งมงาย ไสยศาสตร์บ้าๆ บอๆ ดังนั้น หากพวกมันพบว่า มีชาวพุทธ(แท้) คนใด ปฏิเสธความเชื่อเหล่านั้น
หรือ ระบุว่า เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เป็นเพียงแค่ ความจริงในระดับสมมุติ มิใช่ความจริงแท้
หรือ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เป็น สัสสตทิฐิ มันและพวก ก็จะเคืองมากๆ

แต่ที่น่าสมเพช ก็คือ การพยายาม กล่าวตู่บิดเบือน พระธรรมวินัย เพื่อให้สอดคล้องกับ มิจฉาทิฐิของตนเอง
โดยหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่คันโตนาซี ยกขึ้นอ้าง ก็คือ ข้อความของท่านปยุตโต กับ พระบาลีจาก ทีฆนิกาย
ทั้งนี้ ก็เพื่อสนับสนุนทิฐิความเห็นผิดของมันที่ว่า สัสสทิฐิ เชื่อว่า อัตตาและโลกเที่ยงเท่านั้น
โดยที่ เรื่องตายแล้วเกิด มิได้เป็นความเชื่อของพวก สัสสตทิฐิ

แต่กลับปรากฏในทางตรงข้ามว่า ทั้งท่านปยุตโต และ พระบาลีจาก ทีฆนิกาย ที่มันยกขึ้นอ้าง ล้วนระบุตรงกันว่า
พวก สัสสตทิฐิ มีความเชื่ออยู่ ๒ ประการ คือ (๑) เชื่อว่า อัตตาและโลกเที่ยง (๒) เชื่อว่า สัตว์ ย่อมตาย ย่อมเกิด



งานนี้ ก็เงิบยกแผง จากนั้นก็แกล้งตาย แล้วฟื้นคืนชีพ ในบัดดล พร้อมกับ ความทรงทรงจำที่ถูกทำลายสิ้น
แน่นอนว่า คันโตนาซี จะพยายามทำเป็น ลืมๆ ข้ามๆ ในเรื่อง เงิบๆ นี้ไปเสีย พร้อมกับ ไม่ยอมรับผิดใดๆ ทั้งสิ้น

คำถาม ก็คือว่า ถ้าหากใครสักคน อาจมแตก คากระทู้ แบบนี้
คันโตนาซี จะให้โอกาส "ลืม" หรือแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า "แค่เข้าใจผิด" แก่เขาเหล่านั้น หรือไม่ ?

*****************************************************

ที่จริงแล้ว ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า แจกแจง ไม่หวาดไหว จริงๆ
ถ้าท่านทั้งหลาย สังเกต พฤติกรรม ของ คันโตนาซี ให้ดีๆ จะพบว่า โดยปกติ ไอ้หมอนี่ จะไม่ค่อย อธิบายความ
หรือ อ้างอิงหลักฐานมากนัก จนแม้แต่ถูกทวงถามหลักฐาน เพื่อยืนยันคำพูดของมันเอง มันก็จะพยายามหลีกเลี่ยง

สิ่งที่มันจะทำ ก็คือ การตั้งคำถามเข้าใส่คู่สนทนา เพื่อ (๑) ซื้อเวลา (๒) เบี่ยงเบนประเด็น และ (๓) อาศัยจับผิดคำตอบของผู้อื่น
ซึ่งถ้าหากเมื่อใด ที่คู่สนทนา เหนื่อยที่จะตอบคำถาม(โง่ๆ)ของมัน มันก็สรุปความเข้าข้างตนเองว่า (๑) มันเป็นฝ่ายถูกต้อง (๒) มันชนะ

สาเหตุหลักที่มัน ไม่กล้าอธิบายความอะไรมากนัก ก็เพราะว่ามันกลัวจะอธิบายผิด อ้างผิด แล้วถูกตรวจสอบ !
ก็เขาพยายามสร้างภาพว่า เป็นผู้รู้ เป็นผู้ทรงภูมิปัญญา แล้วเขาจะยอมเป็นฝ่ายผิดได้อย่างไร ?

จริงไหม ?



ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่เป็น คู่สนทนา กับคนอย่างมัน ผมขออนุญาตแนะนำว่า
คุณไม่จำเป็นจะต้อง ตอบในทุกๆ คำถามของมัน เพราะที่มันถามมานั้น
แท้ที่จริง มันก็มิได้สนใจ หรือ ใส่ใจ ในคำตอบของคุณนักหรอก
ต่อให้คุณตอบคำถามของมัน ดีแค่ไหน เอาเข้าจริง มันไม่สนใจจะอ่าน เสียด้วยซ้ำ !

*****************************************************

ในกระทู้ล่าสุด(ของผม) ปรากฏว่า คันโตนาซี ได้เข้ามา "ละเลง" สิ่งโสโครกเอาไว้จนเปรอะไปหมด
โดยข้อความล่าสุด คันโตนาซี ได้เขามา ละเลง ความกลัว ปน ความโสโครก เอาไว้ ดังนี้ว่า ................

(๑) แต่พอดี กระทู้คุณมะรึง ตั้งมาเพื่อด่ากะรู ไม่ใช่หรือครับ ?
(๒) ตกลงเป็น ถ้ากะรู เข้ามาในกระทู้ ที่คุณมะรึงตั้งมาเพื่อด่าเนี่ย
(๓) แปลว่า กะรู กลัว คุณมะรึง หรือครับ
(๔) อยากตามเลียก้นผม ก็เลียต่อไปครับ ผมไม่ว่า



ประการแรก
กระทู้ของผม ที่ชื่อ ....... เรื่องของ บักเงิบ กับ ขันธ์ อุปาทาน และ อุปาทานขันธ์
ไม่มีข้อความใดที่อาจนับได้ว่า เป็น "คำด่า" หรือ "การด่า" ได้เลยนี่ครับ
เพราะจนแม้แต่คำว่า "บักเงิบ" ผมก็ได้อธิบายความอย่างชัดแจ้งแล้วว่า มิได้เจาะจงถึงผู้ใดอย่างชัดเจน
แต่ขอให้เป็นดุลพินิจ ของผู้อ่านในการ วินิจฉัยเอาเอง และในตอนท้ายกระทู้ ผมก็ยังกล่าวไว้ว่า
หากท่านทั้งหลาย หา บักเงิบ ไม่ได้จริงๆ ก็ยกมันให้เป็นของผมในฐานะเจ้าของกระทู้ ก็ได้



ที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือ แท้ที่จริง คำว่า บักเงิบ นี้ ผมก็มิได้คิดขึ้นมาเอง
หากแต่นำมาจาก ข้อความของ คันโตนาซี ที่ใช้เรียกคู่สนทนา คือ คุณ ตองเก้า ด้วยอาการดูหมิ่นถิ่นแคลน
ดังนั้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไร ที่คนอย่าง คันโตนาซี จะต้องมาเคือง ด้วยคำๆ นี้ กระมังครับ
แต่ครั้นจะมองหาคำอื่นๆ ที่หยาบมากพอ ก็ยังหาไม่เห็นเลยสักคำ



ตกลงว่า ผมไป "ด่า" คันโตนาซี เอาไว้ตรงส่วนไหนของกระทู้ หรือครับ ?
ช่วยชี้ให้ดู หน่อยสิ !

*****************************************************

ประการที่ ๒
คันโตนาซี เขาอุตส่าห์ เน้นย้ำให้เห็นถึง ความกล้า ของเขา ที่สามารถเข้ามา(ละเลงความโสโครก)ในกระทู้ของผม
อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องอธิบาย ทำความเข้าใจ กันพอสมควรทีเดียว กล่าวคือ ถ้า คันโตนาซี ต้องการจะอ้างถึงความกล้าหาญแล้วไซร้
เหตุใดจึง ไม่แสดงความกล้าหาญ ในการตอบคำถาม ให้ตรงประเด็น เล่าครับ ?

ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ขันธ์ มิได้เป็นของ พระอรหันต์

แต่คันโตนาซี กลับกล่าวเป็นอีกอย่างหนึ่งว่า
จะว่า ขันธ์ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้ หรือ ขันธ์ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้

ผมก็แค่ถามคำถามง่ายๆ ว่า พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องนี้ เป็นธรรม ๒ แง่ (ตามที่คันโตนาซีกล่าวมา) เอาไว้ ณ ที่ใด ?

ปัญหา ก็คือ ผมไม่ยักเห็น คันโตนาซี แสดงความกล้าหาญ ด้วยการยกหลักฐานขึ้นมาแสดงให้เห็นจริงเลย
แต่กลับกลายเป็นว่า คันโตนาซีและพวก เข้ามาตอบในเรื่องที่ไม่ได้ถาม หรือไม่ ก็เป็นประเภท
(๑) ถามมะเฟือง ตอบมังคุด ถาม ละมุด ตอบลำไย (๒) ถามปรมัตถ์ ดิ้นไปสมมุติ

หรือมิใช่ ?

ต้องขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า พฤติกรรม เท่าที่เห็นอยู่นี้ หาใช่ ความกล้าหาญแต่อย่างใดไม่
การที่คนเขาถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่กลับมาตอบในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนๆนั้น เป็น .....



ชัดเจนนะครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนาพุทธ มหาสติปัฏฐาน 4 พระไตรปิฎก ศาสนา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่