วิเคราะห์หนังเรื่อง The Hours (2002) อย่าได้คิดค้นหาจุดเริ่มต้นของความสุข

วิเคราะห์หนังเรื่อง The Hours (2002) อย่าได้คิดค้นหาจุดเริ่มต้นของความสุข (Spoil นิดหน่อย)
.....ไม่มีจุดเริ่มต้นของความสุข ความสุขเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกได้ โดยไม่ทันนึกว่ามันเริ่มยังไง ดังนั้นอย่าพยายามหาจุดเริ่มต้นของความสุข เพราะยิ่งพยายามเท่าไหร่จะยิ่งหาไม่เจอ....

    ในช่วงเวลาที่ต่างกันทุกยุคทุกสมัย แต่เรื่องราวและความรู้สึกยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ อย่างที่เค้าเรียกกันว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย             รัก ยังคงแปลว่า รัก เมื่อ 100 ปีก่อน คนเรารู้จักความรักอย่างไร มีเรื่องราวที่ซับซ้อนแค่ไหน ปัจจุบันคนเราก็ยังรู้จักคำว่ารักเหมือนๆเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่ทว่า The Hours เลือกที่จะนำเสนอ ภาวะซึมเศร้า 100 ปีอย่างไร ปัจจุบัน ความนึกคิดของคนที่มีภาวะซึมเศร้าก็ไม่ต่างกันเลย
    จุดหักเหของเรื่องราวทั้งหมด มาจากบุคคลิกนิสัยตัวละครที่เป็น Type เดียวกัน (หรือถ้าใครรู้จักคำว่า นพลักษณ์ จะต้องบอกว่า คนลักษณ์เดียวกัน) นั่นก็คือ การมุ่งหาความสุขแท้จริงมากเกินไปจนเลื่อนลอย หลุดไปอยู่ในโลกแห่งความฝันซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ขยายที่มาที่ไปให้เข้าใจกันง่ายๆได้ว่า คนเหล่านี้เกิดมามักจะเป็นคนที่มีความสุขสมหวังมาก่อน ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ จนกระทั่งมาเกิดจุดหักเหในชีวิต และไม่สามารถพาตัวเองให้หลุดออกมาจากภวังค์ความผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น Virginia Woolf (Nicole Kidman) เป็นกวีที่มีชื่อเสียง แต่ในขณะเดียวกันเธอกับรู้สึกว่า ตัวที่เธอเป็นไม่ใช่ของเธอ กล่าวคือ เธอมักจะคิดถึงชีวิตที่เคยใช้ใน London ที่มีแสงสีเสียง Party มีความสุขสนุกสนานเฮฮา แต่หารู้ไม่ว่าแสงสีเสียงเหล่านั้นมันไม่ได้เข้ากับตัวเธอเลย มิหนำซ้ำนี่อาจจะเป็นเหตุให้เธอพบกับภาวะซึมเศร้า เพราะจริงๆแล้วเธอเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ต้องการความสงบ แต่งานเขียนของเธอกลับ Contrast ใส่สิ่งที่ตัวเธอเองอยากเป็นลงไปในหนังสือ เธอจะมักจะบอกกับตัวเองว่า เธออยู่ผิดที่ผิดทาง ใช้ชีวิตในแบบที่เธอไม่อยากเป็น อยู่ในเมืองที่ไม่อยากอยู่ ชีวิตโดนขโมย ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากมุมมองของเธอล้วนๆ คนลักษณะแบบนี้ถ้าไม่เข้าใจกันจริงๆ อยู่กันไม่รอด มีอยู่ฉากนึงที่ Leonard Woolf บอกกับเมียตัวเองว่า “ฉันทำทุกอย่างเพื่อคุณ เพราะความรัก ถ้าฉันไม่รู้จักคุณเพียงพอ ฉันคิดว่าคุณเณรคุณ”

    ต่อมาเรื่องของ Laura Brown(Julianne Moore) เป็นอีก 1 ตัวละครที่ถ่ายทอดอาการซึมเศร้าที่แยกย่อยออกมาได้อีกอารมณ์หนึ่ง ถ้า Virginia Woolf มุ่งหาความสุขใส่ตัวจนเกินไป Laura Brown คือคนที่ไม่กล้าหาความสุขให้ตัวเอง จะเห็นว่า เธอเป็นคนอะไรยังไงก็ได้ คนอื่นเป็นหลัก ฉันเป็นรอง ความรู้สึกของเธอสำคัญกว่าความรู้สึกของฉัน แม้ว่าฉันจะอึดอัดแต่ฉันเลือกที่จะทน จะเห็นว่าในสายตาคนอื่น เธอเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง และดูจะสมบูรณ์พร้อมทั้งลูกและสามีที่รักเธอ แต่กระนั้นเองเธอพบว่าเธอแบกรับกับตัวตนแบบนี้ไม่ไหว สักเกตุได้จากตอนทำเค้กวันเกิดให้กับสามี เธอตั้งใจจะทำออกมาให้มันสมบูรณ์แบบเพื่อที่สามีของเธอจะได้ประทับใจและเป็นการแสดงออกซึ่งความรัก แต่กระนั้นเองก็มีคำพูดหนึ่งโผล่ขึ้นว่า “แม่ครับ ผมช่วยร่อนแป้งทำเค้กได้มั๋ย” ลูกชาย 5 ขวบเอ่ย..แม้ใจของ Laura เองอยากจะปฏิเสธเพียงใด แต่นั่นคือลูก คือคนที่ฉันรัก ฉันยอมที่จะให้ลูกฉันช่วยทั้งที่ใจไม่อยากเลย และผลสรุปก็คือ เค้กไม่สวย เธอทำมันใหม่ แม้ว่าลูกของเธอจะบอกว่า ถ้าไม่ทำเค้กแล้วพ่อจะไม่รู้หรือว่ารักเค้า ในความเครียดและดูเหมือนจะไร้อิสรภาพของ Laura เธอมีเพื่อนคนหนึ่งที่คอยปล่อยใจได้ จนบางครั้งมันเลยเถิด.....จุดร่วมที่เราจะสังเกตุได้ดี นั่นคือฉากจูบระหว่าง ญ-ญ เป็นฉากการทอดอารมณ์เหงา โดดเดี่ยว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า อ่อนไหว ไร้คนเข้าใจ จะมีเพื่อนแท้สักคนที่เราสามารถปลดปลอยอารมณ์ทั้งหมดออกมาได้...

    เป็นที่เข้าใจว่า Laura Brown เป็นคนดีทำให้คนอื่นตลอดจนบางครั้งเธอไม่กล้าจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เธอคิดเสมอว่าเธอต้องทำดีให้ความรักเพราะเธอกลัวจะสูญเสียคนที่เธอรักไป แต่หารู้ไม่ว่า แม้เธอจะให้ความรักไปเท่าไหร่ แต่เธอกลับเหมือนไม่ได้รับความรักกลับมาเลย ดังนั้นความสุข ณ ตอนนี้คือ อิสรภาพที่จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ นั่นคืออ่านหนังสือ Mrs. Dollaway หนังสือที่เขียนโดย Virginia Woolf แต่จะอ่านที่บ้านก็ไม่มีสมาธิเพราะเป็นห่วงลูก เธอจึงเลือกสถานที่ที่เธอจะได้เป็นตัวของตัวเอง ปลดปล่อยพันธนาการไปกับการอ่านหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เธอสามารถทิ้งลูกและสามีที่รักเธอได้ลงคอ เพราะความอึดอัดบดบังความรักที่มีอยู่ตรงหน้าแท้ๆ คนเราหนอจิตใจช่างซับซ้อน
    บทสรุปสุดท้าย จบที่แม่หม้าย Clarissa Vaugh (Meryl Streep) เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูภายนอกเป็นหญิงแกร่ง ชีวิตดูปกติเหมือนคนทั่วๆไป แต่เธอก็มีแผลในใจของเธอเหมือนกัน และนั่นนำมาสู่ความกลัวที่จะสูญเสีย ความกลัวความอ้างว้าง เธอเป็นตัวละครที่เปรียบเสทือนตัวแทนของ Virginia Woolf ในฉบับความฝัน เป็นคนชอบจัด Party มีสังคม มี Connection กับคนอื่นๆ แต่ถ้าเหตุผลที่เธอทำไปเพราะกลบเกลื่อนความเงียบล่ะ ในใจองเธอจะปวดร้าวแค่ไหน
Clarissa พบรักกับ Richard นักเขียนนิยายเล็กๆที่บั้นปลายชีวิตต้องเผชิญกับโรคเอดส์และปมความหลังเรื่องแม่ ที่ยังคงตามหลอกหลอน เวลาไม่ช่วยอะไร ถ้าเรื่องๆนั้นไม่ได้รับการแก้ไข Richard ไม่เคยมองเห็นคุณค่าในตัวเองเลย แม้กระทั่งสิ่งที่เค้าทำได้ดีที่สุดในชีวิต คือการได้เขียนนิยาย เป็นกวีคนหนึ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้ลึกซึ้ง และเขากำลังจะได้รับรางวัลในงานเขียนของเค้า แต่เขาก็กลับมองว่าการได้รับรางวัลคือคนเขาสงสารเวทนาจึงให้ ไม่ได้ให้เพราะชื่นชมจริงๆ

    Clarissa กำลังจะจัด Party ยินดีกับ Richard ชวนเพื่อนสนิทมาร่วมยินดีกัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย สิ่งสำคัญของ Richard คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อ Clarissa…..Richard คงจะตายไปนานแล้วถ้าไม่มี Clarissa คอยดูแล เช่นเดียวกับ Virginia Woolf กับ Laura Brown ถ้าไม่มีคนรักและเข้าใจพวกเขาก็คงจะฆ่าตัวตายไปนานแล้วเหมือนกัน ดังนั้นอย่าปล่อยให้คนที่มีภาวะซึมเศร้าอยู่คนเดียว เพราะมีโอกาสสูงมากที่เค้าจะฆ่าตัวตาย
    บทสรุปสุดท้ายถือว่าแตะจบได้ดี การที่ Laura Brown มาสารภาพกับ Clarissa เรื่องที่ทิ้ง Richard ไปตั้งแต่เด็ก อีกทั้งเธอยังบอกว่า เธอโชคร้ายที่เธออายุยืน แต่คนที่เธอรักกลับตายไปทีละคน ชีวิตทุกวันดูไร้ค่าแต่เธอก็อยู่รอดมาได้ มันทำให้ Clarissa รู้ว่า คนใกล้ๆเธอ มีค่ากับเธอมากแค่ไหน ทั้งลูก แฟน เพื่อน คือคนสำคัญที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข แบ่งปันความเศร้า เธอควรจะรักพวกเขาให้มากๆ แค่นี้เธอก็จะได้เวลาแห่งความสุข โดยไม่ต้องหาจุดเริ่มต้น The Hours.

สุดท้าย ...การคิดถึงแต่ความสุขในอดีต จะทำให้ชีวิตปัจจุบันไม่พบความสุข...

--------------------พูดถึงเรื่องการแสดงและการกำกับ--------------------
นักแสดงหลักทั้ง 4 คน Nicole Kidman Julianne Moore Merly Streep Ed Harris เข้าถึงบทบาทได้ดี โดยเฉพาะ Nicole Kidman สารภาพโดยตรงว่าดูหนังเรื่องนี้เสร็จ อยากจะรู้มากว่าใครเป็นคนแสดงบท Virginia Woolf ไม่คิดว่าจะเป็น Nicole เพราะหน้าตาดูไม่เหมือนเลย บุคลลิกท่าทางอะไรถูกลืมไปหมดว่านี่หรือคือ Nicole ที่สัมผัสได้มีแต่ Virginia Woolf ส่วนอีกคนที่ทำได้ดีไม้แพ้กันนั่นคือ Julianne Moore เธอเล่นได้อึดอัด กระวนกระวาย ซึมเศร้า น่าสงสาร แล้วก็เป็นธรรมชาติมากๆ ส่วน Meryl กับ Ed Harris เรื่องนี้ถือว่ายังไม่โดดเด่นออกมามากเท่าไหร่ แต่ก็นับเป็นตัวละครหลักที่สำคัญ และถ้าขาดไปก็คงไม่บรรลุเรื่องของคำว่า The Hours


ส่วนงานกำกับของ Stephen Daldry ถือว่ากล้าเสี่ยงกล้าเล่น ที่จะหยิบจับงานที่ดูเป็นเรื่องเข้าใจยาก ที่คนดูทั่วไปมองแล้ว อาจจะเข้าไม่ถึงกับหนังมากๆ เพราะโดยรวมแล้ว ถ้าคนที่คิดจะเข้าไปดูเนื้อเรื่อง เส้นเรื่อง ว่าอะไรเป็นยังไง คงต้องผิดหวัง และไม่เข้าใจหนังที่เขาพยายามจะสื่อ แต่ก็ถือเป็นเรื่องท้าทาย ที่เขาจะนำเสนอมุมมองแบบนี้ ในแบบที่เอาคาแรคเตอร์ของคนที่มีภาวะซึมเศร้า มาให้เราได้รู้ชีวิตในหนึ่งๆวัน ว่าเขาคิดอะไร มาให้เรานั่งศึกษากัน ถ้าใครชอบหนังสไตล์ไม่เร่งรีบ มีคำพูดที่เป็น Contrast ในตัวเองอยู่ในทุกๆตอน ดูหนังแล้วแบบปล่อยอารมณ์ไปตามคาแรคเตอร์ของตัวละครได้ ก็จะชอบหนังเรื่องนี้มากๆครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่