ฐากูร บุนปาน : หมดโปร
วันที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21:00:18 น.
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ไม่น่าแปลกใจที่ผลสำรวจความนิยมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาในเดือนแรกจะออกมาสูงโด่งในแทบทุกแบบสำรวจ
ด้านหนึ่ง เป็นไปตามธรรมชาติของคนเห่อของใหม่
ด้านหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่า คสช.ทำการบ้านมาดี เลือกเรื่องที่จะทำซึ่งไม่ซับซ้อนและเห็นผลง่าย มีภาพขาว-ดำชัดเจน
เช่น จ่ายค่าข้าวชาวนา หรือจัดระเบียบโน่นนี่ทั้งหลาย
รวมไปถึงการยุติประกาศเรียกคนโน้นคนนี้เข้ารายงานตัว-พาไป
"ตากอากาศ" ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วต้องบอกว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติอะไรมากกว่าการระงับสถานการณ์เป็นการ "ชั่วคราว"
แต่หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป และภารกิจที่สำเร็จไม่ยากนักผ่านไปแล้ว
ก็ถึงเวลา
"ของจริง" มาเยือน
ของจริงที่จะเป็นปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวของ คสช.นั้น มีอยู่สองประเด็นใหญ่ด้วยกัน
ด้านแรก คือปัญหาคน
โดยเฉพาะคนที่คิดว่าตัวเองเป็น
"พวกเดียวกัน" หรือเป็นผู้แผ้วถางทางที่นำไปสู่การยึดอำนาจ ที่จะออกมาขอ
"วางบิล"
อย่างที่ปรากฏมาแล้วในกรณีของผู้นำม็อบนกหวีด
อีกด้าน คือปัญหาความ
การตัดสินใจจะเลือกนโยบายบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งจะต้องไปแตะไปกระทบโครงสร้างนั้น มีคนหรือกลุ่มคนที่ได้เสียอยู่เสมอ
และธรรมชาติของมนุษย์ก็คือถ้าฉลาดพอ เวลาได้ก็จะซุ่มอยู่เงียบๆ กลัวคนหมั่นไส้
แต่ถ้าเวลาเสีย หรือแค่ไม่ถูกใจ ต้องออกมาโวยวาย
เมื่อไม่มีทางที่ คสช.จะเอาใจทุกคนในประเทศได้เสมอหน้ากัน และต้องเลือกว่าจะใช้นโยบายหรือแนวทางใดในการบริหารประเทศ
ก็ต้องเตรียมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือปฏิกิริยาอันเนื่องมาจากความไม่พึงใจเอาไว้ด้วย
โดยเฉพาะถ้าเรื่องความไปพันกับเรื่องคน
ขนาดกรณีนโยบายพลังงานเรื่องเดียว ยังป่วนได้ถึงขนาดนี้
ลองนึกถึงเรื่องที่ใหญ่พอๆ กันหรือใหญ่กว่า เช่น จะออกแบบโครงสร้างการเมืองอย่างไร จะเสนอเค้าโครงรัฐธรรมนูญออกมาแบบไหน
ว่าจะป่วนได้ถึงขนาดไหน
ยิ่งถ้ากลุ่ม
"สุดโต่ง" ทั้งหลายที่ยังยึดสรณะจะต้องล้างโน่นล้างนี่ กำจัดโน่นนี่ให้สิ้นซาก
คสช. ที่ประกาศตัวว่าจะยืนอยู่ตรงกลาง จะรักษาสมดุลเอาไว้ได้ขนาดไหน
จะมีความสามารถในการปลุก
"คนกลางๆ" ให้ออกมาสนับสนุนนโยบายที่มีเหตุมีผล ไม่สุดโต่งไปข้างหนึ่งได้มากน้อยแค่ไหน
ซึ่งหมายความว่า นโยบายหรือแนวทางที่ออกมานั้นต้อง "กลาง" จริงๆ
แต่ผลข้างเคียงของความ "กลาง" ที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมก็คือ คนเสนอนโยบายหรือแนวทางนั้นมักจะไม่เป็นที่นิยมแก่ข้างไหนเลย
เพราะไม่ถูกนับว่าเป็นพวกใคร
และยิ่งนานไปก็จะยิ่งแรง จนสิ่งที่เกิดในวันนี้เป็นเด็กๆ ไปเลย
คสช. ทำใจรับสถานการณ์นี้เอาไว้แล้วหรือยัง
..............
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1404305653
"หมดโปร" ... "คสช. ทำใจรับสถานการณ์นี้เอาไว้แล้วหรือยัง!!"
วันที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21:00:18 น.
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ไม่น่าแปลกใจที่ผลสำรวจความนิยมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาในเดือนแรกจะออกมาสูงโด่งในแทบทุกแบบสำรวจ
ด้านหนึ่ง เป็นไปตามธรรมชาติของคนเห่อของใหม่
ด้านหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่า คสช.ทำการบ้านมาดี เลือกเรื่องที่จะทำซึ่งไม่ซับซ้อนและเห็นผลง่าย มีภาพขาว-ดำชัดเจน
เช่น จ่ายค่าข้าวชาวนา หรือจัดระเบียบโน่นนี่ทั้งหลาย
รวมไปถึงการยุติประกาศเรียกคนโน้นคนนี้เข้ารายงานตัว-พาไป "ตากอากาศ" ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วต้องบอกว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติอะไรมากกว่าการระงับสถานการณ์เป็นการ "ชั่วคราว"
แต่หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป และภารกิจที่สำเร็จไม่ยากนักผ่านไปแล้ว
ก็ถึงเวลา "ของจริง" มาเยือน
ของจริงที่จะเป็นปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวของ คสช.นั้น มีอยู่สองประเด็นใหญ่ด้วยกัน
ด้านแรก คือปัญหาคน
โดยเฉพาะคนที่คิดว่าตัวเองเป็น "พวกเดียวกัน" หรือเป็นผู้แผ้วถางทางที่นำไปสู่การยึดอำนาจ ที่จะออกมาขอ "วางบิล"
อย่างที่ปรากฏมาแล้วในกรณีของผู้นำม็อบนกหวีด
อีกด้าน คือปัญหาความ
การตัดสินใจจะเลือกนโยบายบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งจะต้องไปแตะไปกระทบโครงสร้างนั้น มีคนหรือกลุ่มคนที่ได้เสียอยู่เสมอ
และธรรมชาติของมนุษย์ก็คือถ้าฉลาดพอ เวลาได้ก็จะซุ่มอยู่เงียบๆ กลัวคนหมั่นไส้
แต่ถ้าเวลาเสีย หรือแค่ไม่ถูกใจ ต้องออกมาโวยวาย
เมื่อไม่มีทางที่ คสช.จะเอาใจทุกคนในประเทศได้เสมอหน้ากัน และต้องเลือกว่าจะใช้นโยบายหรือแนวทางใดในการบริหารประเทศ
ก็ต้องเตรียมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือปฏิกิริยาอันเนื่องมาจากความไม่พึงใจเอาไว้ด้วย
โดยเฉพาะถ้าเรื่องความไปพันกับเรื่องคน
ขนาดกรณีนโยบายพลังงานเรื่องเดียว ยังป่วนได้ถึงขนาดนี้
ลองนึกถึงเรื่องที่ใหญ่พอๆ กันหรือใหญ่กว่า เช่น จะออกแบบโครงสร้างการเมืองอย่างไร จะเสนอเค้าโครงรัฐธรรมนูญออกมาแบบไหน
ว่าจะป่วนได้ถึงขนาดไหน
ยิ่งถ้ากลุ่ม "สุดโต่ง" ทั้งหลายที่ยังยึดสรณะจะต้องล้างโน่นล้างนี่ กำจัดโน่นนี่ให้สิ้นซาก
คสช. ที่ประกาศตัวว่าจะยืนอยู่ตรงกลาง จะรักษาสมดุลเอาไว้ได้ขนาดไหน
จะมีความสามารถในการปลุก "คนกลางๆ" ให้ออกมาสนับสนุนนโยบายที่มีเหตุมีผล ไม่สุดโต่งไปข้างหนึ่งได้มากน้อยแค่ไหน
ซึ่งหมายความว่า นโยบายหรือแนวทางที่ออกมานั้นต้อง "กลาง" จริงๆ
แต่ผลข้างเคียงของความ "กลาง" ที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมก็คือ คนเสนอนโยบายหรือแนวทางนั้นมักจะไม่เป็นที่นิยมแก่ข้างไหนเลย
เพราะไม่ถูกนับว่าเป็นพวกใคร
และยิ่งนานไปก็จะยิ่งแรง จนสิ่งที่เกิดในวันนี้เป็นเด็กๆ ไปเลย
คสช. ทำใจรับสถานการณ์นี้เอาไว้แล้วหรือยัง
..............
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1404305653