มาร์กซิสสายเลนิน มองว่า กรรมกรเป็นพลังการเปลี่ยนแปลง
เหมาอิส หรือมาร์กซิสสายจีน มองว่า ชาวนาเป็นพลังการเปลี่ยนแปลง
สังคมวิทยาของเวเบอร์มอง ปชต.ว่า ชนชั้นกลางเป็นพลังการเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่ชนชั้นล่าง ไม่ใช่กลุ่มกรรมกร หรือกลุ่มชาวนา
ในสังคมไทย ยุคทุนใหม่ แต่ปี2544 หรือทักษิณหนึ่ง
นโยบายประชานิยม คือ การอุปถัมภ์โดยรัฐอย่างเป็นระบบ เพื่ออำนาจสถาปนารัฐไทยใหม่ผลิยอด
เกิดชนชั้นกลางใหม่ ที่เป็นพลังการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย กลุ่มชาวนาเดิมที่หันไปทำธุรกิจรายย่อย และอาชีพอิสระ
มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่ภาคเมืองกับภาคเกษตร ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจากล่างขึ้นบนอย่างมีนัยยะ
ประชานิยมมีข้อดีและเสียพร้อมกัน เพราะ ถ้าผลิตซ้ำๆ จะกลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะเสถียรภาพคงคลัง
ทุนนิยมเสรี มีแนวโน้ม เป็นทุนข้ามชาติ และทุนทิ้งชาติ คือ ก้าวพ้นจากผลประโยชน์ความเป็นชาติ
กลายเป็นผลประโยชน์ของกลุมทุนชั้นนำ โดยไม่คำนึงการกระจายผลประโยชน์อยู่แล้วในตัวมันเอง
เสรีนิยมสุดโต่ง จึงไม่ได้แก้ หรือหวังผลได้เลยต่อ การลดความเหลื่อมล้ำ ตรงกันข้าม สร้างความเหลื่อมล้ำในอัตราเร่งตามสัดส่วนจีดีพี
ดังนั้น ปชต ทางเลือกจึงไม่น่าใช่ ปชต แบบเสรีนิยมสุดโต่ง
และยิ่งเป็น เสรีนิยมแบบล้นเกิน ก็จะกลายเป็น อนาธิปไตย ความไร้ระเบียบ ตัวใครตัวมัน
นั่นยิ่งไปสร้างความเหลื่อมล้ำ หรือถ่างช่องว่างทางชนชั้นยิ่งขึ้น
ส่วนชนชั้นกลางขึ้นไป จะไม่แคร์อะไรนัก เพราะ พวกเขาได้ยึดกุมผลประโยชน์ไว้มากพอในระดับหนึ่งแล้ว
ชนชั้นและความเหลื่อมล้ำ
เหมาอิส หรือมาร์กซิสสายจีน มองว่า ชาวนาเป็นพลังการเปลี่ยนแปลง
สังคมวิทยาของเวเบอร์มอง ปชต.ว่า ชนชั้นกลางเป็นพลังการเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่ชนชั้นล่าง ไม่ใช่กลุ่มกรรมกร หรือกลุ่มชาวนา
ในสังคมไทย ยุคทุนใหม่ แต่ปี2544 หรือทักษิณหนึ่ง
นโยบายประชานิยม คือ การอุปถัมภ์โดยรัฐอย่างเป็นระบบ เพื่ออำนาจสถาปนารัฐไทยใหม่ผลิยอด
เกิดชนชั้นกลางใหม่ ที่เป็นพลังการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย กลุ่มชาวนาเดิมที่หันไปทำธุรกิจรายย่อย และอาชีพอิสระ
มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่ภาคเมืองกับภาคเกษตร ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจากล่างขึ้นบนอย่างมีนัยยะ
ประชานิยมมีข้อดีและเสียพร้อมกัน เพราะ ถ้าผลิตซ้ำๆ จะกลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะเสถียรภาพคงคลัง
ทุนนิยมเสรี มีแนวโน้ม เป็นทุนข้ามชาติ และทุนทิ้งชาติ คือ ก้าวพ้นจากผลประโยชน์ความเป็นชาติ
กลายเป็นผลประโยชน์ของกลุมทุนชั้นนำ โดยไม่คำนึงการกระจายผลประโยชน์อยู่แล้วในตัวมันเอง
เสรีนิยมสุดโต่ง จึงไม่ได้แก้ หรือหวังผลได้เลยต่อ การลดความเหลื่อมล้ำ ตรงกันข้าม สร้างความเหลื่อมล้ำในอัตราเร่งตามสัดส่วนจีดีพี
ดังนั้น ปชต ทางเลือกจึงไม่น่าใช่ ปชต แบบเสรีนิยมสุดโต่ง
และยิ่งเป็น เสรีนิยมแบบล้นเกิน ก็จะกลายเป็น อนาธิปไตย ความไร้ระเบียบ ตัวใครตัวมัน
นั่นยิ่งไปสร้างความเหลื่อมล้ำ หรือถ่างช่องว่างทางชนชั้นยิ่งขึ้น
ส่วนชนชั้นกลางขึ้นไป จะไม่แคร์อะไรนัก เพราะ พวกเขาได้ยึดกุมผลประโยชน์ไว้มากพอในระดับหนึ่งแล้ว