ตั้งแต่ที่เรียนประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะได้ยินคำว่า ฟาสซิสต์ (Fascism) ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของ เบนิโต มุสโสลินี นายกรัฐมนตรีอิตาลี โดยมีความหมาย
รัฐเป็นศูนย์กลางสูงสุด ภายใต้รัฐบาลพรรคการเมืองเดียว อำนาจนิยม ชาตินิยมรุนแรง และต่อต้านเสรีประชาธิปไตย ส่วนคำว่า ฟาสซิสต์ มาจากคำในภาษาอิตาลี คือ Fascio ที่แปลว่า เป็นหนึ่งเดียวกัน จนหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มุสโสลินี โดนลอบสังหาร และอิตาลี เข้าสู่ยุคประชาธิปไตย เราก็ไม่ได้ยินคำว่า ฟาสซิสต์อีกเลย
แต่ในปัจจุบันนี้ คุณเคยสังเกตไหมว่า คำว่า
“ฟาสซิสต์” มักถูกใช้เป็นคำด่าทางการเมือง เพราะเกิดจาก
การเปลี่ยนความหมายทางสังคมและประวัติศาสตร์ มากกว่าความหมายเชิงวิชาการเดิม
โดยเฉพาะพวกที่ด่าอย่างยิ่งจากพวกฝ่ายซ้าย
แล้วอะไรกันที่มันทำให้ คำว่า ฟาสซิสต์ ชื่อทางอุดมการณ์ทางการเมือง กลายป็น ชื่อตราหน้าฝ่ายขวาสุดโต่งแบบนี้ไปได้
คือ เราลองไปดู ภาพจำทางประวัติศาสตร์ คือ เรารู้ใช่ไหมว่า ฟาสซิสต์ มันคือ ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่ควบคุมอำนาจทุกอย่าง กดขี่ประชาชน และลดสิทธิเสรีภาพ มันเลยทำให้คนรุ่นใหม่ ที่นิยมฝ่ายซ้าย ที่มักจะมองเหล่า นักการเมืองฝ่ายขวาสุดโต่งบางคน ที่ตนไม่ชอบ หรือเกลียด จะชอบยกมาเป็นคำด่า เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม
และที่อย่างบอกอีกอย่างคือ เผด็จการแบบนาซี ก็คนละอุดมการณ์กับ ฟาสซิสต์ ถึงแม้ลักษณ์คล้ายทั้ง ต่อต้านประชาธิปไตย เผด็จการเบ็ดเสร็จ และชาตินิยมสุดโต่ง แต่ที่ต่างคือ นาซี จะเน้นไปที่ชาตินิยมทางเชื้อชาติ ถ้ายังจำได้ว่า ท่านผู้นำฮิตเลอร์ ต่อต้านชาวยิวสุดโต่ง จนเกิดการสังหารหมู่ แต่ส่วนของ อิตาลี เน้นไปที่ชาตินิยมทางวัฒนธรรม เน้นการฟื้นฟูจักรวรรดิโรมัน และที่สำคัญ เพื่อใครอาจไม่สังเกต สมาชิกใน พรรคฟาสซิสต์อิตาลีบางคน เป็นชาวยิว เช่น เอ็ตโตเร โอวัซซา (Ettore Ovazza) ที่เป็นนายธนาคารชาวยิว, อัลโด ฟินซี (Aldo Finzi) เคยเป็นถึง รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิตาลี จึงสรุปว่า ฟาสซิสต์ กับ นาซี มันคนละอย่างกัน
ต่อมากับคำถามที่เราสงสัยว่า
ทำไมฝ่ายซ้ายบางคนถึงด่านักการเมืองฝ่ายขวาบางคนว่า "ฟาสซิสต์"?
ประการแรกคือ
ชาตินิยมสุดโต่ง (Ultranationalism): เมื่อฝ่ายขวาเน้นเรื่อง "ชาติมาก่อน" หรือการปกป้องวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเข้มข้น ฝ่ายซ้ายอาจมองว่านี่คือการกีดกันคนกลุ่มน้อยหรือคนต่างด้าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มของฟาสซิสต์
ประการที่สองคือ
การเชิดชูผู้นำที่เข้มแข็ง (Cult of Personality): ฟาสซิสต์มักมีผู้นำที่อ้างว่า "ข้าพเจ้าเท่านั้นที่แก้ปัญหาได้" และใช้การสื่อสารที่เร้าอารมณ์มวลชน ซึ่งนักการเมืองฝ่ายขวาสายประชานิยม (Populist) หลายคนมีบุคลิกเช่นนี้
ประการที่สามคือ
การต่อต้านความหลากหลาย (Anti-pluralism): ฝ่ายซ้ายมักกังวลเมื่อฝ่ายขวาพยายามจำกัดสิทธิของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ หรือโจมตีสื่อและองค์กรอิสระ เพราะมองว่าเป็นการทำลายรากฐานประชาธิปไตยเพื่อรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
ประการสุดท้ายคือ
การใช้คำนี้เป็น "สัญญาณเตือนภัย": บางครั้งการเรียกผู้อื่นว่าฟาสซิสต์ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นฟาสซิสต์จริงๆ 100% แต่เป็นการ "ตีตรา" เพื่อให้สังคมตระหนักถึงความอันตรายของอุดมการณ์นั้นๆ
แล้วที่นี้คือ ทำไมเราถึงไม่ควรวิจารณ์คนอื่นว่าเป็น
"ฟาสซิสต์" โดยไม่ยั้งคิด? มีดังนี้
ประการแรกคือ
ความหมาย มันจะทำให้ ความหมายของ ฟาสซิสต์ บิดเบือนความจริงทางวิชาการไป จนทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า มันเป็นอย่างงี้นะ ดังที่ George Orwell เคยกล่าวไว้ว่า คำว่าฟาสซิสต์ถูกใช้อย่างไร้ความหมายจนกลายเป็นเพียงคำด่าที่มีค่าเท่ากับคำว่า "คนพาล" (Bully) หากเราเรียกทุกคนที่เราไม่ชอบว่าฟาสซิสต์ เมื่อมี "ฟาสซิสต์ตัวจริง" โผล่มา คำนี้จะไม่มีพลังในการเตือนภัยอีกต่อไป
ลองสมมตินะ ถ้าคุณเป็นนักการเมืองฝ่ายขวา ที่แนวทางไม่คล้ายฟาสซิสต์ แล้วโดนฝ่ายซ้ายบางคนกลายหาว่าคุณเป็น "ฟาสซิสต์" คุณพอใจไหม คุณโอเคไหม คือ มันก็ไม่ควรแล้วใช่ไหม แล้วถ้า ฝ่ายซ้ายบอกคุณว่า ก็คุณเป็นคนยังงี้จริงดิ
ถ้างั้นหากผมด่า พวกฝ่ายซ้ายบางคน ว่าเป็น เผด็จการคอมมิวนิสต์ แบบนี้หรอ มันก็ไม่ได้แล้วใช่ไหม
ดังนั้น ถ้าจะด่าใครว่าเป็นฟาสซิสต์ ไปศึกษามาก่อนนะว่า คำว่า ฟาสซิสต์ มีความหมายว่าอะไร
ประการที่สองคือ
ความไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ นักการเมืองฝ่ายขวาส่วนใหญ่ในปัจจุบัน (เช่น สายอนุรักษนิยม หรือฝ่ายขวาสุดโต่ง) ยังคงยอมรับระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง ซึ่งต่างจากฟาสซิสต์ขนานแท้ที่ต้องการล้มล้างประชาธิปไตยและสร้างระบอบพรรคเดียวที่คุมทุกอย่าง (Totalitarianism) และจะว่า ใครฟาสซิสต์จริง ต้องดูที่การกระทำ มากกว่า เหตุผลตนเอง
อารมณ์แบบ เลือกตั้งประธานสภานักเรียน แล้วคนที่ไม่ชอบชนะ คุณไปด่าเขาว่า นโยบายของเขา มันแย่ เลวทาง และแนวทางเห็นแก่ตัว ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำงานแม้แต่นิดเดียว
ประการที่สามคือ
สร้างความแตกแยก (Polarization) การด่าว่าฟาสซิสต์คือการปิดประตูการสนทนา เพราะมันคือการบอกว่าฝ่ายตรงข้ามคือ "ปีศาจ" ที่ไม่สามารถเจรจาด้วยได้ ทำให้การหาทางออกร่วมกันในสังคมทำได้ยากขึ้น แล้วคนฝ่ายตรงข้ามจะยิ่งโกรธแค้น และจะทำให้วันหนึ่งพวกเขา เอาแค้นมาลงในภายหลัง
คือเวลาเราคุยกับ เพื่อนคนธรรมดา ที่เขาจะมาทำความรู้จักกับเรา แล้วเราไปดูถูกว่า เพื่อนที่นิสัยไม่ดี และทำตัวเป็นอันธพาล ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้นิสัยเขา
ประการท้าย คือ
ทำให้ฝ่ายตัวเองดู "ขี้แพ้ชวนตี" ลองมองในมุมมองความเป็นกลาง การที่ฝ่ายซ้ายบางคน ไม่สามารถเถียงฝ่ายขวาได้ พวกเขาจะโกรธ ทำให้เอะอะก็ด่าว่า ฟาสซิสต์ อาจดูเหมือนเป็นการโจมตีด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล และทำให้การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายจริงๆ ถูกมองข้ามไป
เหมือน เวลาเราเล่นเกม แล้วอีกฝั่ง เก่งกว่า ชนะ แล้วคุณโมโหด่าว่า เขาโกง ซึ่งแบบนี้ก็ไม่สมควรเหมือนกัน แล้วมักจะคิดว่า ตนเองถูกเสมอ
สุดท้ายนี้คือ เราอย่างจะบอกว่า การใช้คำว่า
"ฟาสซิสต์" เป็นเหมือนการใช้
"ระเบิดนิวเคลียร์ทางวาทกรรม" ครับ คือมีพลังทำลายล้างสูงมากแต่ถ้าใช้ผิดที่ผิดเวลาจะสร้างความเสียหายถาวรแก่บทสนทนา การวิพากษ์วิจารณ์โดยชี้ไปที่
"ตัวนโยบาย" หรือ
"พฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิ" โดยตรงมักจะได้รับความเชื่อถือและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าการใช้ป้ายกำกับทางอุดมการณ์ครับ
ข้อมูลอ้างอิง
นิยาม "ฟาสซิสต์นิรันดร์" (14 ลักษณะ)
The New York Review of Books:Ur-Fascism by Umberto Eco
การวิพากษ์วิจารณ์การใช้คำว่าฟาสซิสต์พร่ำเพรื่อ
The Orwell Foundation:Politics and the English Language by George Orwell
คำอธิบายเชิงวิชาการเรื่องความแตกต่าง (Populism vs Fascism)
The Guardian:What is fascism? (Short Video & Article)
บทวิเคราะห์ว่าทำไมคำนี้ถึงถูกใช้เป็นคำด่า
The Atlantic:The End of the Word 'Fascism'
ขอบคุณที่อ่านของเรา ไม่มากก็น้อยก็ตาม

คำว่า "ฟาสซิสต์" ในปัจจุบัน กลายเป็นคำด่า มากกว่า อุดมการณ์?
แต่ในปัจจุบันนี้ คุณเคยสังเกตไหมว่า คำว่า “ฟาสซิสต์” มักถูกใช้เป็นคำด่าทางการเมือง เพราะเกิดจาก การเปลี่ยนความหมายทางสังคมและประวัติศาสตร์ มากกว่าความหมายเชิงวิชาการเดิม
โดยเฉพาะพวกที่ด่าอย่างยิ่งจากพวกฝ่ายซ้าย
แล้วอะไรกันที่มันทำให้ คำว่า ฟาสซิสต์ ชื่อทางอุดมการณ์ทางการเมือง กลายป็น ชื่อตราหน้าฝ่ายขวาสุดโต่งแบบนี้ไปได้
คือ เราลองไปดู ภาพจำทางประวัติศาสตร์ คือ เรารู้ใช่ไหมว่า ฟาสซิสต์ มันคือ ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่ควบคุมอำนาจทุกอย่าง กดขี่ประชาชน และลดสิทธิเสรีภาพ มันเลยทำให้คนรุ่นใหม่ ที่นิยมฝ่ายซ้าย ที่มักจะมองเหล่า นักการเมืองฝ่ายขวาสุดโต่งบางคน ที่ตนไม่ชอบ หรือเกลียด จะชอบยกมาเป็นคำด่า เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม
และที่อย่างบอกอีกอย่างคือ เผด็จการแบบนาซี ก็คนละอุดมการณ์กับ ฟาสซิสต์ ถึงแม้ลักษณ์คล้ายทั้ง ต่อต้านประชาธิปไตย เผด็จการเบ็ดเสร็จ และชาตินิยมสุดโต่ง แต่ที่ต่างคือ นาซี จะเน้นไปที่ชาตินิยมทางเชื้อชาติ ถ้ายังจำได้ว่า ท่านผู้นำฮิตเลอร์ ต่อต้านชาวยิวสุดโต่ง จนเกิดการสังหารหมู่ แต่ส่วนของ อิตาลี เน้นไปที่ชาตินิยมทางวัฒนธรรม เน้นการฟื้นฟูจักรวรรดิโรมัน และที่สำคัญ เพื่อใครอาจไม่สังเกต สมาชิกใน พรรคฟาสซิสต์อิตาลีบางคน เป็นชาวยิว เช่น เอ็ตโตเร โอวัซซา (Ettore Ovazza) ที่เป็นนายธนาคารชาวยิว, อัลโด ฟินซี (Aldo Finzi) เคยเป็นถึง รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิตาลี จึงสรุปว่า ฟาสซิสต์ กับ นาซี มันคนละอย่างกัน
ต่อมากับคำถามที่เราสงสัยว่า ทำไมฝ่ายซ้ายบางคนถึงด่านักการเมืองฝ่ายขวาบางคนว่า "ฟาสซิสต์"?
ประการแรกคือ ชาตินิยมสุดโต่ง (Ultranationalism): เมื่อฝ่ายขวาเน้นเรื่อง "ชาติมาก่อน" หรือการปกป้องวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเข้มข้น ฝ่ายซ้ายอาจมองว่านี่คือการกีดกันคนกลุ่มน้อยหรือคนต่างด้าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มของฟาสซิสต์
ประการที่สองคือ การเชิดชูผู้นำที่เข้มแข็ง (Cult of Personality): ฟาสซิสต์มักมีผู้นำที่อ้างว่า "ข้าพเจ้าเท่านั้นที่แก้ปัญหาได้" และใช้การสื่อสารที่เร้าอารมณ์มวลชน ซึ่งนักการเมืองฝ่ายขวาสายประชานิยม (Populist) หลายคนมีบุคลิกเช่นนี้
ประการที่สามคือ การต่อต้านความหลากหลาย (Anti-pluralism): ฝ่ายซ้ายมักกังวลเมื่อฝ่ายขวาพยายามจำกัดสิทธิของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ หรือโจมตีสื่อและองค์กรอิสระ เพราะมองว่าเป็นการทำลายรากฐานประชาธิปไตยเพื่อรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
ประการสุดท้ายคือ การใช้คำนี้เป็น "สัญญาณเตือนภัย": บางครั้งการเรียกผู้อื่นว่าฟาสซิสต์ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นฟาสซิสต์จริงๆ 100% แต่เป็นการ "ตีตรา" เพื่อให้สังคมตระหนักถึงความอันตรายของอุดมการณ์นั้นๆ
แล้วที่นี้คือ ทำไมเราถึงไม่ควรวิจารณ์คนอื่นว่าเป็น "ฟาสซิสต์" โดยไม่ยั้งคิด? มีดังนี้
ประการแรกคือ ความหมาย มันจะทำให้ ความหมายของ ฟาสซิสต์ บิดเบือนความจริงทางวิชาการไป จนทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า มันเป็นอย่างงี้นะ ดังที่ George Orwell เคยกล่าวไว้ว่า คำว่าฟาสซิสต์ถูกใช้อย่างไร้ความหมายจนกลายเป็นเพียงคำด่าที่มีค่าเท่ากับคำว่า "คนพาล" (Bully) หากเราเรียกทุกคนที่เราไม่ชอบว่าฟาสซิสต์ เมื่อมี "ฟาสซิสต์ตัวจริง" โผล่มา คำนี้จะไม่มีพลังในการเตือนภัยอีกต่อไป
ลองสมมตินะ ถ้าคุณเป็นนักการเมืองฝ่ายขวา ที่แนวทางไม่คล้ายฟาสซิสต์ แล้วโดนฝ่ายซ้ายบางคนกลายหาว่าคุณเป็น "ฟาสซิสต์" คุณพอใจไหม คุณโอเคไหม คือ มันก็ไม่ควรแล้วใช่ไหม แล้วถ้า ฝ่ายซ้ายบอกคุณว่า ก็คุณเป็นคนยังงี้จริงดิ
ถ้างั้นหากผมด่า พวกฝ่ายซ้ายบางคน ว่าเป็น เผด็จการคอมมิวนิสต์ แบบนี้หรอ มันก็ไม่ได้แล้วใช่ไหม
ดังนั้น ถ้าจะด่าใครว่าเป็นฟาสซิสต์ ไปศึกษามาก่อนนะว่า คำว่า ฟาสซิสต์ มีความหมายว่าอะไร
ประการที่สองคือ ความไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ นักการเมืองฝ่ายขวาส่วนใหญ่ในปัจจุบัน (เช่น สายอนุรักษนิยม หรือฝ่ายขวาสุดโต่ง) ยังคงยอมรับระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง ซึ่งต่างจากฟาสซิสต์ขนานแท้ที่ต้องการล้มล้างประชาธิปไตยและสร้างระบอบพรรคเดียวที่คุมทุกอย่าง (Totalitarianism) และจะว่า ใครฟาสซิสต์จริง ต้องดูที่การกระทำ มากกว่า เหตุผลตนเอง
อารมณ์แบบ เลือกตั้งประธานสภานักเรียน แล้วคนที่ไม่ชอบชนะ คุณไปด่าเขาว่า นโยบายของเขา มันแย่ เลวทาง และแนวทางเห็นแก่ตัว ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำงานแม้แต่นิดเดียว
ประการที่สามคือ สร้างความแตกแยก (Polarization) การด่าว่าฟาสซิสต์คือการปิดประตูการสนทนา เพราะมันคือการบอกว่าฝ่ายตรงข้ามคือ "ปีศาจ" ที่ไม่สามารถเจรจาด้วยได้ ทำให้การหาทางออกร่วมกันในสังคมทำได้ยากขึ้น แล้วคนฝ่ายตรงข้ามจะยิ่งโกรธแค้น และจะทำให้วันหนึ่งพวกเขา เอาแค้นมาลงในภายหลัง
คือเวลาเราคุยกับ เพื่อนคนธรรมดา ที่เขาจะมาทำความรู้จักกับเรา แล้วเราไปดูถูกว่า เพื่อนที่นิสัยไม่ดี และทำตัวเป็นอันธพาล ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้นิสัยเขา
ประการท้าย คือ ทำให้ฝ่ายตัวเองดู "ขี้แพ้ชวนตี" ลองมองในมุมมองความเป็นกลาง การที่ฝ่ายซ้ายบางคน ไม่สามารถเถียงฝ่ายขวาได้ พวกเขาจะโกรธ ทำให้เอะอะก็ด่าว่า ฟาสซิสต์ อาจดูเหมือนเป็นการโจมตีด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล และทำให้การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายจริงๆ ถูกมองข้ามไป
เหมือน เวลาเราเล่นเกม แล้วอีกฝั่ง เก่งกว่า ชนะ แล้วคุณโมโหด่าว่า เขาโกง ซึ่งแบบนี้ก็ไม่สมควรเหมือนกัน แล้วมักจะคิดว่า ตนเองถูกเสมอ
สุดท้ายนี้คือ เราอย่างจะบอกว่า การใช้คำว่า "ฟาสซิสต์" เป็นเหมือนการใช้ "ระเบิดนิวเคลียร์ทางวาทกรรม" ครับ คือมีพลังทำลายล้างสูงมากแต่ถ้าใช้ผิดที่ผิดเวลาจะสร้างความเสียหายถาวรแก่บทสนทนา การวิพากษ์วิจารณ์โดยชี้ไปที่ "ตัวนโยบาย" หรือ "พฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิ" โดยตรงมักจะได้รับความเชื่อถือและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าการใช้ป้ายกำกับทางอุดมการณ์ครับ
ข้อมูลอ้างอิง
นิยาม "ฟาสซิสต์นิรันดร์" (14 ลักษณะ)
The New York Review of Books:Ur-Fascism by Umberto Eco
การวิพากษ์วิจารณ์การใช้คำว่าฟาสซิสต์พร่ำเพรื่อ
The Orwell Foundation:Politics and the English Language by George Orwell
คำอธิบายเชิงวิชาการเรื่องความแตกต่าง (Populism vs Fascism)
The Guardian:What is fascism? (Short Video & Article)
บทวิเคราะห์ว่าทำไมคำนี้ถึงถูกใช้เป็นคำด่า
The Atlantic:The End of the Word 'Fascism'
ขอบคุณที่อ่านของเรา ไม่มากก็น้อยก็ตาม