สวัสดีครับพี่น้องชาวสินธรอันเป็นที่รักทุกท่าน ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ
อะไรหลายอย่างในโลกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมนุษย์อย่างเราก็ต้องปรับตัวไป
ตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น แม้สุภาษิตจีนจะหล่าวเอาไว้ว่า ภูผาหินย่อมไม่-
ลู่ไปตามแรงลม แต่หากลมนั้นแรง การทานกระแสเหมือนไม้ใหญ่อาจจะไม่
ใช่เรื่องดีกว่ายอมลู่เหมือนต้นหญ้าเพื่อรอฟ้าใหม่ เพราะพายุคงจะไม่อยู่ได้
โดยตลอดไปตราบเท่าที่พระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางตะวันออก ความยุติธรรม
จะยังคงมีอยู่ ฉันนั้น
เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ ผลจากการทำรัฐประหาร ทำให้ประเทศไทยไม่มี
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาบริประเทศ แต่เป็นคณะ คสช. แทน ซึ่งส่วน
ใหญ่จะเป็นตัวแทนจากผู้บัญชาการทหารเหล่าทัพต่างๆ ถ้าจะพูดว่าประเทศ
ไทยตอนนี้เป็น "รัฐบาลทหาร" ก็ไม่น่าจะผิดนัก
(ผมพูดตามเนื้อผ้านะ ทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ต้องมาหาเรื่อง-
แบนไร้สาระ)
แน่นอนที่ว่า สังคมโลกคงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจ
การบริหารจากรัฐบาลพลเรือนมาเป็นรัฐบาลทหารบ้างไม่มากก็น้อย หนึ่งใน
นั้นคือยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกา เจ้าของประเทศที่ขึ้นชื่อว่า
เป็นประเทศเสรี ดินแดนแห่งเสรีภาพ (แบบแอบอิงผลประโยชน์)
ประเด็นที่สำคัญและน่าจับตามองในตอนนี้ คือ เรื่องการกีดกันทางการค้าที่
มิใช่ภาษี ที่อาจจะมีการนำมาบังคับใช้กับประเทศไทยอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็น
การแสดงถึงการไม่เห็นด้วยถ้าประเทศไทยจะบริหารโดยกลุ่มบุคคลที่มิได้มา
จากการเลือกตั้ง
ยังมิได้รวมถึงมาตรการการตอบโต้ทางการฑูต และการตัดลดความช่วยเหลือ
ในรูปแบบต่างๆ ที่จะตามมาอีกมากมายในอนาคต
โลกทุกวันนี้มันเชื่อมต่อถึงกันไปหมด ไม่มีใครสามารถยืนด้วยลำแข้งของตน-
เองได้โดยลำพัง (นี่ไม่ใช่โลกในอุดมคติ) แม้กระทั่งเกาหลีเหนือที่เป็นเผด็จการ
แบบเบ็ดเสร็จก็ยังต้องมีการค้ากับประเทศอื่น อย่างน้อยก็ประเทศเพื่อนบ้าน
ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ต้องยอมรับว่า GDP บ้านเรานั้นได้มาจากภาคบริการ
และอุตสาหกรรมเป็นหลักมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่สังคมเกษตรกรรมอย่างที่ล้าง
สมองกันอยู่เนืองๆ การติดต่อค้าขาย และการให้บริการนั้นดูจะเป็นกระดูกสันหลัง
ของชาติมากกว่าภาคกสิกรรม อันเป็นความจริงที่หลายคนปฏิเสธที่จะเชื่อ (แต่
ไปเชื่ออะไรก็ไม่รู้)
มาตรการใดๆ ก็ตามที่จะมีผลหรือมีอิทธิพลต่อการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยน
สินค้าหรือบริการระหว่างประเทศไทยกับสังคมโลกนั้น คงจะส่งผลกระทบต่อภาพ
รวมของเศรษฐกิจบ้างไม่มากก็น้อย
"ส่งออกจะตายก่อนเพื่อน"
กระทู้นี้ จึงอยากเชิญเพื่อนสมาชิกมาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการของ
สังคมโลกเกี่ยวกับประเทศไทยหลังการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองจากรัฐบาล
พลเรือนสู่คณะ คสช. ตามประเด็นคร่าวๆ ดังนี้
1. ท่านคิดว่ามาตรการดังกล่าว เป็นแค่เสือกระดาษหรือไม่ เพราะอเมริกาห่วงผล
ประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องประชาธิปไตยเท่าใดนักดอก ดู
การสนับสนุนฝ่ายกบฏในอียิปต์ แต่บุกรัฐบาลอิรัค ซึ่งภายหลังกลับไม่พบอาวุธร้าย-
แรงดั่งข้อกล่าวหา
2. ภาคส่งออกเริ่มมีปฏิกิริยากับการแสดงท่าทีของสังคมโลกอย่างไรบ้าง ผมมิได้
อยู่ในวงการส่งออกโดยตรง เพื่อนผองและญาติมิตรก็มีแต่ข้าราชการเสียเป็นส่วน
ใหญ่ จึงไม่ค่อยได้รับข้อมูลในจุดนี้เท่าใด
3. เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อสารมวลชนทุกวันนี้ "ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ" ฉะนั้นจะ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าหากเกิดหนทางสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจแล้วอาจจะเป็นระ-
เบิดเวลาที่เรารู้ตัวก็ต่อเมื่อมันระเบิดไปแล้ว
ป.ล. การเมืองและเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกันอยู่ มิอาจแยกได้โดย
สมบูรณ์ กระทู้นี้รบกวนขอให้อภิปรายกันแต่พองามในเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศร-
ษฐกิจเท่านั้น จักขอบคุณยิ่ง
ใครอยู่ในวงการส่งออก เริ่มหนาวบ้างแล้วหรือยัง
อะไรหลายอย่างในโลกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมนุษย์อย่างเราก็ต้องปรับตัวไป
ตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น แม้สุภาษิตจีนจะหล่าวเอาไว้ว่า ภูผาหินย่อมไม่-
ลู่ไปตามแรงลม แต่หากลมนั้นแรง การทานกระแสเหมือนไม้ใหญ่อาจจะไม่
ใช่เรื่องดีกว่ายอมลู่เหมือนต้นหญ้าเพื่อรอฟ้าใหม่ เพราะพายุคงจะไม่อยู่ได้
โดยตลอดไปตราบเท่าที่พระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางตะวันออก ความยุติธรรม
จะยังคงมีอยู่ ฉันนั้น
เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ ผลจากการทำรัฐประหาร ทำให้ประเทศไทยไม่มี
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาบริประเทศ แต่เป็นคณะ คสช. แทน ซึ่งส่วน
ใหญ่จะเป็นตัวแทนจากผู้บัญชาการทหารเหล่าทัพต่างๆ ถ้าจะพูดว่าประเทศ
ไทยตอนนี้เป็น "รัฐบาลทหาร" ก็ไม่น่าจะผิดนัก
(ผมพูดตามเนื้อผ้านะ ทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ต้องมาหาเรื่อง-
แบนไร้สาระ)
แน่นอนที่ว่า สังคมโลกคงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจ
การบริหารจากรัฐบาลพลเรือนมาเป็นรัฐบาลทหารบ้างไม่มากก็น้อย หนึ่งใน
นั้นคือยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกา เจ้าของประเทศที่ขึ้นชื่อว่า
เป็นประเทศเสรี ดินแดนแห่งเสรีภาพ (แบบแอบอิงผลประโยชน์)
ประเด็นที่สำคัญและน่าจับตามองในตอนนี้ คือ เรื่องการกีดกันทางการค้าที่
มิใช่ภาษี ที่อาจจะมีการนำมาบังคับใช้กับประเทศไทยอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็น
การแสดงถึงการไม่เห็นด้วยถ้าประเทศไทยจะบริหารโดยกลุ่มบุคคลที่มิได้มา
จากการเลือกตั้ง
ยังมิได้รวมถึงมาตรการการตอบโต้ทางการฑูต และการตัดลดความช่วยเหลือ
ในรูปแบบต่างๆ ที่จะตามมาอีกมากมายในอนาคต
โลกทุกวันนี้มันเชื่อมต่อถึงกันไปหมด ไม่มีใครสามารถยืนด้วยลำแข้งของตน-
เองได้โดยลำพัง (นี่ไม่ใช่โลกในอุดมคติ) แม้กระทั่งเกาหลีเหนือที่เป็นเผด็จการ
แบบเบ็ดเสร็จก็ยังต้องมีการค้ากับประเทศอื่น อย่างน้อยก็ประเทศเพื่อนบ้าน
ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ต้องยอมรับว่า GDP บ้านเรานั้นได้มาจากภาคบริการ
และอุตสาหกรรมเป็นหลักมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่สังคมเกษตรกรรมอย่างที่ล้าง
สมองกันอยู่เนืองๆ การติดต่อค้าขาย และการให้บริการนั้นดูจะเป็นกระดูกสันหลัง
ของชาติมากกว่าภาคกสิกรรม อันเป็นความจริงที่หลายคนปฏิเสธที่จะเชื่อ (แต่
ไปเชื่ออะไรก็ไม่รู้)
มาตรการใดๆ ก็ตามที่จะมีผลหรือมีอิทธิพลต่อการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยน
สินค้าหรือบริการระหว่างประเทศไทยกับสังคมโลกนั้น คงจะส่งผลกระทบต่อภาพ
รวมของเศรษฐกิจบ้างไม่มากก็น้อย
"ส่งออกจะตายก่อนเพื่อน"
กระทู้นี้ จึงอยากเชิญเพื่อนสมาชิกมาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการของ
สังคมโลกเกี่ยวกับประเทศไทยหลังการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองจากรัฐบาล
พลเรือนสู่คณะ คสช. ตามประเด็นคร่าวๆ ดังนี้
1. ท่านคิดว่ามาตรการดังกล่าว เป็นแค่เสือกระดาษหรือไม่ เพราะอเมริกาห่วงผล
ประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องประชาธิปไตยเท่าใดนักดอก ดู
การสนับสนุนฝ่ายกบฏในอียิปต์ แต่บุกรัฐบาลอิรัค ซึ่งภายหลังกลับไม่พบอาวุธร้าย-
แรงดั่งข้อกล่าวหา
2. ภาคส่งออกเริ่มมีปฏิกิริยากับการแสดงท่าทีของสังคมโลกอย่างไรบ้าง ผมมิได้
อยู่ในวงการส่งออกโดยตรง เพื่อนผองและญาติมิตรก็มีแต่ข้าราชการเสียเป็นส่วน
ใหญ่ จึงไม่ค่อยได้รับข้อมูลในจุดนี้เท่าใด
3. เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อสารมวลชนทุกวันนี้ "ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ" ฉะนั้นจะ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าหากเกิดหนทางสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจแล้วอาจจะเป็นระ-
เบิดเวลาที่เรารู้ตัวก็ต่อเมื่อมันระเบิดไปแล้ว
ป.ล. การเมืองและเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกันอยู่ มิอาจแยกได้โดย
สมบูรณ์ กระทู้นี้รบกวนขอให้อภิปรายกันแต่พองามในเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศร-
ษฐกิจเท่านั้น จักขอบคุณยิ่ง