สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ปี พ.ศ.2534
พ่อพาเรามาอยู่สวนลิ้นจี่แห่งหนึ่ง ในอ.แม่อาย ตามคำแนะนำของครู
พ่อเลี้ยงคนใหม่ของเรา (ทางเหนือเรียกนายจ้างว่าพ่อเลี้ยง) ท่านเป็นคนใจดี มีเมตตามาก (ปัจบันท่านเป็นนักการเมือง)
ตอนเราไปอยู่ ตอนนั้น เป็นช่วงใกล้เปิดเทอมพอดี พ่อเลี้ยงพาเราและพี่สาวไปสมัครเรียนในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน
และแกได้ตั้งชื่อจริงให้เราสองคน (ชื่อเก่าเป็นชื่อภาษาไทยใหญ่) เป็นชื่อไทย เพราะมาก
เราสองพี่น้องดีใจมาก ขนาดพ่อบอกว่า ให้เราช่วยกันถางหญ้า จากบ้านไปถึงโรงเรียน เราก็ทำ ทั้งๆที่เป็นถนนสาธารณะในหมู่บ้าน
พอเปิดเทอม เป็นอะไรที่เราตื่นเต้นมาก เราไม่รุ้หรอกว่า ตอนเข้าเรียน เราใช้เอกสารอะไรบ้าง รู้แค่ว่า เพื่อนๆและครูเรียกเราว่า "ศิราดา" พี่สาวชื่อ "ศิราณี"
พี่สาวอายุเลยเกณไปมากแล้ว และพี่สาวเองก็อ่านออกเขียนได้ จึงได้เรียน ป.1เลย ส่วนเราเรียนชั้น อนุบาลหนึ่ง
วันแรกที่ได้ใส่ชุดนักเรียน เราจำได้ว่า กลิ่นผ้ใหม่มันหอมมาก หอมจนเราไม่อยากถอดเลย เรามีชุดนักเรียนคนละชุด ตกเย็นเรารีบถอดซัก
เพราะกลัวจะไม่มีใส่วันพรุ่งนี้ เพราะแม่เราหลอกว่า ถ้าไม่มีชุดนักเรียน เขาจะไม่ให้เรียน ต้องอยู่บ้าน เรากลัวจะไม่ได้ไป จึงรีบซักรีบตาก
เด็กคนอื่น อาจจะดีใจเมื่อถึงวันเสาอาทิตย์ แต่สำหรับเราแล้ว มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก อยากไปโรงเรียน เพราะที่โรงเรียน มีเพื่อน มีของเล่น
มีนม มีขนมให้กิน ตอนนั้นเรายังไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลอะไรเกี่ยวกับความต่างของตัวเองเลย อาจเพราะเรายังเด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องพวกนี้
แต่ไม่นาน พี่สาวเราก็เริ่มไม่อยากไปโรงเรียน เธอบอกว่า เพื่อนๆชอบล้อเธอ ว่าเป็นไทยใหญ่ เพื่อนบางคนรังเกียจ แต่พี่สาวเป็นเด็กดี เรียนเก่ง จึงเป็นที่รักของคุณครู
ขออภัยค่ะ พอดีต้องทำงาน ถ้าว่างจะมาเล่าต่อนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
พ่อพาเรามาอยู่สวนลิ้นจี่แห่งหนึ่ง ในอ.แม่อาย ตามคำแนะนำของครู
พ่อเลี้ยงคนใหม่ของเรา (ทางเหนือเรียกนายจ้างว่าพ่อเลี้ยง) ท่านเป็นคนใจดี มีเมตตามาก (ปัจบันท่านเป็นนักการเมือง)
ตอนเราไปอยู่ ตอนนั้น เป็นช่วงใกล้เปิดเทอมพอดี พ่อเลี้ยงพาเราและพี่สาวไปสมัครเรียนในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน
และแกได้ตั้งชื่อจริงให้เราสองคน (ชื่อเก่าเป็นชื่อภาษาไทยใหญ่) เป็นชื่อไทย เพราะมาก
เราสองพี่น้องดีใจมาก ขนาดพ่อบอกว่า ให้เราช่วยกันถางหญ้า จากบ้านไปถึงโรงเรียน เราก็ทำ ทั้งๆที่เป็นถนนสาธารณะในหมู่บ้าน
พอเปิดเทอม เป็นอะไรที่เราตื่นเต้นมาก เราไม่รุ้หรอกว่า ตอนเข้าเรียน เราใช้เอกสารอะไรบ้าง รู้แค่ว่า เพื่อนๆและครูเรียกเราว่า "ศิราดา" พี่สาวชื่อ "ศิราณี"
พี่สาวอายุเลยเกณไปมากแล้ว และพี่สาวเองก็อ่านออกเขียนได้ จึงได้เรียน ป.1เลย ส่วนเราเรียนชั้น อนุบาลหนึ่ง
วันแรกที่ได้ใส่ชุดนักเรียน เราจำได้ว่า กลิ่นผ้ใหม่มันหอมมาก หอมจนเราไม่อยากถอดเลย เรามีชุดนักเรียนคนละชุด ตกเย็นเรารีบถอดซัก
เพราะกลัวจะไม่มีใส่วันพรุ่งนี้ เพราะแม่เราหลอกว่า ถ้าไม่มีชุดนักเรียน เขาจะไม่ให้เรียน ต้องอยู่บ้าน เรากลัวจะไม่ได้ไป จึงรีบซักรีบตาก
เด็กคนอื่น อาจจะดีใจเมื่อถึงวันเสาอาทิตย์ แต่สำหรับเราแล้ว มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก อยากไปโรงเรียน เพราะที่โรงเรียน มีเพื่อน มีของเล่น
มีนม มีขนมให้กิน ตอนนั้นเรายังไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลอะไรเกี่ยวกับความต่างของตัวเองเลย อาจเพราะเรายังเด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องพวกนี้
แต่ไม่นาน พี่สาวเราก็เริ่มไม่อยากไปโรงเรียน เธอบอกว่า เพื่อนๆชอบล้อเธอ ว่าเป็นไทยใหญ่ เพื่อนบางคนรังเกียจ แต่พี่สาวเป็นเด็กดี เรียนเก่ง จึงเป็นที่รักของคุณครู
ขออภัยค่ะ พอดีต้องทำงาน ถ้าว่างจะมาเล่าต่อนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
แสดงความคิดเห็น
# ยี่สิบปีที่รอคอย # ถ่ายบัตรประชาชนครั้งแรก # ฉันได้เป็นคนไทยอย่างเต็มภาคภูมิ #
กว่าจะมาถึงวันนี้ ฉันต้องใช้ชวิตอย่างยากลำบาก ด้วยความที่ว่า เราไม่มีสิทธิ์เหมือนใครๆ
ย้อนไปเมื่อสามสิบกว่าปี (ขอย้อนไปไกลหน่อยนะคะ)
เมื่อปี พ.ศ 2521 พ่อแม่ฉัน อพยพมาจาก เมือง ห้วยอ้อ เมืองเล็กๆประเทศพม่าติดกับชายแดนไทย ทางฝั่ง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่
ตอนแรกๆที่พ่อแม่เข้ามา ก็เพื่อขายแรงงาน พอเก็บเงินได้ก็กลับ ไม่คิดตั้งรกรากอะไร
แต่มันก็ไม่เป้นอย่างนั้น ตั้งแต่พ่อแม่เข้ามาก็ไม่มีโอกาสกลับไปอีกเลย ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างในตอนนั้น ทั้งการเดินทางที่ลำบาก เพราะต้องเดินกันทั้งวันทั้งคืน ด้วยเงินที่ไม่มี พ่อเล่าว่า ตอนนั้นพ่อได้ค่าแรงวันละ 25 บาท ส่วนแม่ได้ 17 บาท แต่ค่าครองชีพ ก็ไม่เท่าตอนนี้
แต่ถึงยังไง พ่อแม่ก็ไม่เคยมีเงินเก็บเหลือ เพราะนายจ้างหักค่าโน่นนี่ เหลือแค่พอกินไปวันๆ
พ่อแม่อพยพไปเรื่อยๆ ใครว่าที่ไหนดีก็ย้ายไป เสื่อผืนหมอนใบ
ปี พ.ศ.2523 ก็มีพี่ชาย ปี 2525 ก็มีพี่สาว และฉันเกิดในปี 2530
พ่อแม่อพยพไปเรื่อย ในจ.เชียงใหม่ แต่ไม่เคยเข้าเมือง แม่บอกว่า เมื่อก่อนกลัวมากที่จะเข้าเมือง เพราะกลัวโดนตำรวจจับ
พ่อแม่มักได้ยินข่าวลืออยู่บ่อยๆว่า ตำรวจจับคนั้น คนนี้ ไปฆ่าทิ้ง ซึ่งจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แม่กลัว เพราะคิดว่า จะเหมือนพม่า
เพราะในตอนนั้น ทหารพม่า ซึ่งแม่เรียก คนเถื่อน (อาจจะเป็นพวกที่แพ้การเมืองในตอนนั้น แล้วหนีเข้าป่า นานๆทีออกมาจับเด็กผู้ชายในหมู่บ้าน ไปเป็นข้าศึก บางทีก็คอยปล้นชาวบ้าน ฆ่าชาวบ้าน (ความเห็นส่วนตัวค่ะ) ทำให้คนหนุ่มสาวตอนนั้น หนีเข้ามาทำงานในประเทศไทย)
พ่อเล่าให้ฟังว่าเคยไปอยู่ไหนมาบ้าง เช่น สวนส้ม ดอยอ่างขาง และกรมป่าไม้ ต่างๆ บางทีก็มารับจ้างทำนาทำไร่ในหมู่บ้านบ้าง
ครั้งหนึ่งพ่อเคยพาครอบครัวไปอาศัยอยู่ในป่าช้า พวกเราจะดีใจมากเมื่อมีงาศพ เพราะเราจะได้กินขนมและน้ำหวาน
ตอนนั้นเรายังเด็กมาก จึงไม่รู้จักกลัว เวลาพ่อแม่ไปทำงาน ก็จะปล่อยเราไว้กับพี่ชาย วิ่งเล่นกันอยู่ในป่าช้า
บางวันพี่ชายเราพาไปคุย กองปอน (ที่เขาเผาศพ) เจอเหรียญบาทเรียญสลึง ก็จะเก็บมาให้พ่อแม่
ชีวิตตอนนั้นมันลำบากมากนะ แต่เราก็ยังจำความไม่ได้ เลยไม่ค่อยรู้ว่าการอยู่อดๆอยากแบบนั้น เราผ่านมันมาได้ไง
พี่ชายพี่สาวไม่ได้เรียนหนังสือ วันๆก็เลี้ยงน้องวิ่งเล่นกันตามประสาเด็ก
ครั้งที่ครอบครัวไปทำงานกรมป่าไม้ บ้านป่าแดง (บ้านป่าแดง ต.บ้านหลวง อ.แม่อาย) พ่อเล่าว่า ตอนนั้นหลังจากเลิกงาน พ่อจะเข้าป่าไปตัดไม้สัก บางทีก็เลือยเป็นแผ่นๆ บางทีก็เป็นเสาเป็นต้นๆ ตอนพ่อเลื่อยไม้ เราสามพี่น้องชอบไปขี่บนท่อนไม้ แรงสั่นของการเลื่อย เรามโนไปว่ากำลังนั่งรถเครื่อง (น่าขำเนาะ)
พอพ่อเลื่อยเสร็จ ตอนดึกๆหัวหน้า ก็จะมารับไม้ไป พ่อจะได้ค่าแรงเพิ่มอีก 15 บาท
ตอนนั้น พ่อไม่รู้หรอกว่า ผิดกฏหมาย แค่หัวหน้าบอกก็ทำ เพราะอยากได้ค่าแรงเพิ่ม
ตอนนั้น พ่อแม่จะพาเราเข้าเมืองบ้างเดือนละครั้ง ซึ่งเข้าเมืองก็คือ หมู่บ้านป่าแดง เพื่อซื้อของใช้ ข้าวสารต่างๆ
พ่อเล่าว่า เงินเดือนพ่อไม่เคยได้เห็นเลย เพราะเดือนหนึ่ง หัวหน้าจะพามาเอาของที่ร้านเมียแก พ่อก็จะเอาพวก ปลากระป๋อง เกลือ ผงชูรส ข้าวสาร สปอนเซอร์ และขนมหนึ่งห่อ แล้วหัวหน้าก็จะบอกว่า ค่าแรงที่ได้ ถูกหักหมดแล้ว แรกๆ พ่อยังได้ค่าตัดไม้ครั้งละ 15 บาท แต่หลังๆหัวหน้าบอกว่า ถูกหักไปหมดแล้ว
หลังๆมานี้พ่อต้องเข้าป่าไปตัดไม้มาเพิ่มเรื่อยๆ ให้เยอะกว่าเดิม เพราะหัวหน้าบอกว่า ไม่พอใช้หักค่าของ ทั้งๆที่ได้ของเท่าเดิม
เมื่อเห็นว่า ทำงานแล้วไม่เคยได้เงิน พ่อจึงพาพวกเราอพยพไปที่อื่น
พ่อพาเรามาอยู่สวนมะม่วงในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใน อ.ฝาง เจ้าของสวนเป็นตำรวจ เขาบอกพ่อแม่ว่า อยู่กับเขาไม่ต้องกลัวอะไร
พ่อแม่ก็พลอยอุ่นใจ สวนมะม่วงนี้ อยู่ท้ายๆหมู่บ้าน ตอนนั้นเราพอจำความได้บ้างแล้ว
เย็นๆแม่จะพาเราไปซื้อของร้านค้าในหมู่บ้าน ทำให้ได้พูดคุยกับชาวบ้านได้บ้าง
เย็นๆเราเห็นเด็กคนอื่นใส่ชุดนักเรียน เราจำได้ว่า เราบอกแม่ว่าเรากับพี่สาวอยากไปโรงเรียน
ซึ่งตอนนั้น พี่ชายพี่ชายเราถูกส่งไปอยู่กับน้า เพราะพ่อแม่เราดูแลไม่ไหว
พี่ชายเราได้เข้าโรงเรียน ด้วยความที่พี่ชายเป็นเด็กขยัน ฉลาด เข้าเรียนอนุบาลได้เดือนเดียว ครุก็เลื่อนชั้นให้เข้าเรียน ป.1 เลย
เพราะอายุเลยเกณฑ์แล้ว เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก เมื่อจบเทอม พี่ชายสอบได้ที่ 1 คะแนนสอบทุกวิชาเต็มร้อย (ตอนนั้นพี่ชายอายุ 9ขวบ)
คุณครูประจำชั้นพี่ชายเอ็นดู จึงรับไปอยู่ด้วยที่บ้าน พร้อมส่งเสียให้เรียนจนจบ ตอนนั้นฉันอิจฉาพี่ชายมาก
ฉันยังคอยรบเร้าแม่ให้พาไปโรงเรียน ชาวบ้านก็คอยสนับสนุน ว่าเด็กมันต้องเรียนหนังสือ จะได้ไม่ลำบาก
พอแม่ไปคุยกับพ่อเลี้ยง (เจ้าของสวน) เขากลับบอกว่าไม่ต้องเรียนก็ได้ อยู่กับเขาไม่ต้องกลัวลำบาก
โตขึ้นมาเขาจะรับทำงานเอง เขาเป็นตำรวจ ไม่มีใครทำอะไรเราได้อยู่แล้ว ตอนนั้นฉันกับพี่สาวหมดหวังจริงๆ
ถ้าชาวบ้านเขาเอาชุดนักเรียนเก่าๆ มาให้ เราสองพี่น้องจะใส่ แล้วสมมุติตัวเองเป็นนักเรียน
พอวันหยุดหรือปิดเทอม พี่ชายมาเที่ยวหา พี่ชายจะสอนเราอ่าน ก.ไก่ จนเรากับพี่เราสามารถเขียนได้
คุณครูที่ส่งเสียพี่ชายรู้ ว่าเราอยากเรียนหนังสือ และเขาก็สนับสนุน แต่จะให้เขาส่งเสียทั้งหมด ก็คงเกินกำลังเขา
เขาจึงแนะนำให้พ่อย้ายไปทำงานที่หนึ่ง เป็นสวนลิ้นจี่ อยู่ในอ.แม่อาย
และที่นี่เองที่เปลี่ยนชีวิตเราทั้งครอบครัว ยี่สิบปีที่นี่ ทำให้เราเรียนรู้อะไรได้มากมายจริงๆ
ปล.1พยายามเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องที่สุด หากยังผิดพลาด ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยค่ะ และพร้อมจะเข้ามาแก้ไขข้อความที่ผิดค่ะ
ปล.2 ตอนแรกตั้งกระทู้เป็นกระทู้สนทนา แต่ไม่ได้ เลยต้องตั้งเป็นกระทู้คำถามค่ะ