ผมนึกถึงรอยยิ้มซื่อๆ ของเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย
เพื่อนผมคนนี้ชื่อ “ไพฑูรย์” เป็นเพื่อนที่แทบจะไม่นับเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ตลอดเวลา 4 ปีเจอกันแค่วิชาเดียว แถมเป็นวิชาเลือกที่แทบจะไม่เข้าห้องเรียนด้วยจึงเจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้
แต่ไม่รู้ว่าตัวผมมีอะไรไปกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นในตัวไพฑูรย์ เขาจึงชอบมาคุยกับผม ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้มีคนคอยบอกว่าที่ผ่านมาเขาเรียนอะไรกันไปบ้าง ตอนใกล้ๆ จะจบมีงานกลุ่มก็ดันอยู่กลุ่มเดียวกัน เลยมีเบอร์ติดต่อกันนับแต่นั้น
ห่างหายกันไปนาน แต่ไพฑูรย์ยังโทรหาผมประมาณปีละหน เขากลับไปทำงานเป็นข้าราชการที่บ้านเกิดในภาคอีสาน ส่วนผมก็เติบโตในหน้าที่การงานกลางเมืองหลวงเหมือนกับชนชั้นกลางทั่วๆ ไป
ครั้งหนึ่งไพฑูรย์จะมากรุงเทพ เลยโทรมาถามว่าที่ทำงานผมอยู่ตรงไหนจะแวะไปหา ผมหวั่นๆ เพราะพอจำนิสัยเสร่อๆ เฟอะฟะของเขาได้ ตอนนั้นผมเพิ่งได้โปรโมทเป็นผู้บริหาร จึงไม่ค่อยอยากให้เขามาเท่าไรเพราะอายลูกน้องจึงหาทางปฎิเสธเขา แต่ยังไม่ทันคิดออกไพทูรย์ก็ตัดบท “พรุ่งนี้เจอกัน” ก็เลยคิดว่าช่างมัน พรุ่งนี้ค่อยหาทางพาเขาออกไปกินกาแฟข้างๆ ออฟฟิศไม่ต้องให้เจอใครก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรนัก
แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นยังงั้น เพราะไพฑูรย์มาถึงที่ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ที่ผมรู้เพราะเลขาโทรมาบอกตั้งแต่ผมยังทันออกจากบ้านด้วยซ้ำ พอผมมาถึงที่ทำงานก็พบว่าเขาไปนั่งอยู่หน้าจอพนักงานอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจใครทั้งสิ้น ผมอดโมโหเลขาไม่ได้เพราะสั่งไว้แล้วว่าให้รออยู่แค่ในห้องประชุมแต่เขาก็ไม่ยอมจนจุ้นจ้านไปทั่ว แถมคุยโม้ไปทั่วว่าเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผม ที่สำคัญยังพูดจาไม่ค่อยไว้หน้าใคร รวมทั้งเลขาตัวดีของผมที่ไพทูรย์พูดต่อหน้าว่า “ผอมแห้งยังงี้ใครจะเอา..."
สรุปเช้านั้นแทบไม่เป็นอันทำงานเพราะไพฑูรย์เล่นตีสนิทคุยกับพนักงานทุกคน ถามเรื่องงานที่ทำ ชื่อแซ่ ประวัติต้นตระกูล ฯลฯ ผมอายก็อายแต่ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ลูกน้องก็ได้แต่ขำๆ กันเพราะนิสัยแบบไพฑูรย์ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ของคนทำงานในย่านสีลม-สาทรพอสมควร
ไพทูรย์ลากลับไปตอนเย็นวันนั้น พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาอีก ซึ่งผมคิดในใจว่าคงไม่พลาดแบบนี้อีกแล้วในชีวิต!
หนึ่งปีต่อมา ยังไม่ทันที่ไพฑูรย์จะแวะมาตามสัญญา กรุงเทพฯ ก็โดนน้ำท่วมใหญ่เสียก่อน ตอนนั้นผมกำลังลุ้นว่าน้องน้ำจะมาถึงบ้านเมื่อไร แล้วก็เป็นไพฑูรย์ที่โทรมา...
“เราเตรียมบ้านไว้ให้นายแล้ว พาลูกพาเมียมาอยู่ที่นี่ได้เลย” มิใยว่าผมจะบอกเขาว่าน้ำยังมาไม่ถึง ไพฑูรย์ก็ยืนยันว่าโดนน้ำท่วมแน่นอนและถามว่ามีรถขับออกมาได้ไหมเพราะรู้ว่าคนเมืองอย่างผมมีแต่รถเก๋ง เขาจึงอาสาจะขับกระบะของเขาลุยน้ำมารับถึงบ้านผม
ยังไม่อยากบอกว่าผมได้ไปใช้บริการที่บ้านไพฑูรย์หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ทุกวันนี้เรายังติดต่อถึงกันอยู่เสมอ
และยิ่งย้อนเวลากลับไป ผมก็ได้แต่เวทนาตัวเองที่ไปดูถูกดูแคลนเพื่อนคนนี้ โดยมองข้ามความจริงใจที่เขามีให้ตลอดเวลาที่คบกัน และแท้จริงแล้วเขาเองนั่นแหละที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขายังเป็นคนเดิมเสมอ มีแต่ผมเองที่เริ่มคบคนที่เปลือกนอก แคร์คนที่สถาบัน และใส่ใจบางคนเป็นพิเศษเพราะมีสถานภาพทางสังคมที่ดูสูงส่ง
ในขณะที่ไพฑูรย์ยังปฏิบัติกับเพื่อนทุกคนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ยิ่งคิดก็ยิ่งอายตัวเองเหลือเกิน จนผมหาโอกาสบอกเขาในวันหนึ่งว่า...
"โทษทีว่ะไพฑูรย์ เราดูนายผิดไป”
แล้วไพฑูรย์ก็ยิ้มซื่อๆ เหมือนที่ผมเคยเห็นเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายไม่ผิดเพี้ยน...
เคยอายกันมั้ยครับ ที่มีเพื่อนนิสัยบ้านนอกๆ จุ้นจ้าน สอดรู้สอดเห็น ไม่รู้กาละเทศะ แถมยังขวานผ่าซาก...
เพื่อนผมคนนี้ชื่อ “ไพฑูรย์” เป็นเพื่อนที่แทบจะไม่นับเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ตลอดเวลา 4 ปีเจอกันแค่วิชาเดียว แถมเป็นวิชาเลือกที่แทบจะไม่เข้าห้องเรียนด้วยจึงเจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้
แต่ไม่รู้ว่าตัวผมมีอะไรไปกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นในตัวไพฑูรย์ เขาจึงชอบมาคุยกับผม ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้มีคนคอยบอกว่าที่ผ่านมาเขาเรียนอะไรกันไปบ้าง ตอนใกล้ๆ จะจบมีงานกลุ่มก็ดันอยู่กลุ่มเดียวกัน เลยมีเบอร์ติดต่อกันนับแต่นั้น
ห่างหายกันไปนาน แต่ไพฑูรย์ยังโทรหาผมประมาณปีละหน เขากลับไปทำงานเป็นข้าราชการที่บ้านเกิดในภาคอีสาน ส่วนผมก็เติบโตในหน้าที่การงานกลางเมืองหลวงเหมือนกับชนชั้นกลางทั่วๆ ไป
ครั้งหนึ่งไพฑูรย์จะมากรุงเทพ เลยโทรมาถามว่าที่ทำงานผมอยู่ตรงไหนจะแวะไปหา ผมหวั่นๆ เพราะพอจำนิสัยเสร่อๆ เฟอะฟะของเขาได้ ตอนนั้นผมเพิ่งได้โปรโมทเป็นผู้บริหาร จึงไม่ค่อยอยากให้เขามาเท่าไรเพราะอายลูกน้องจึงหาทางปฎิเสธเขา แต่ยังไม่ทันคิดออกไพทูรย์ก็ตัดบท “พรุ่งนี้เจอกัน” ก็เลยคิดว่าช่างมัน พรุ่งนี้ค่อยหาทางพาเขาออกไปกินกาแฟข้างๆ ออฟฟิศไม่ต้องให้เจอใครก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรนัก
แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นยังงั้น เพราะไพฑูรย์มาถึงที่ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ที่ผมรู้เพราะเลขาโทรมาบอกตั้งแต่ผมยังทันออกจากบ้านด้วยซ้ำ พอผมมาถึงที่ทำงานก็พบว่าเขาไปนั่งอยู่หน้าจอพนักงานอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจใครทั้งสิ้น ผมอดโมโหเลขาไม่ได้เพราะสั่งไว้แล้วว่าให้รออยู่แค่ในห้องประชุมแต่เขาก็ไม่ยอมจนจุ้นจ้านไปทั่ว แถมคุยโม้ไปทั่วว่าเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผม ที่สำคัญยังพูดจาไม่ค่อยไว้หน้าใคร รวมทั้งเลขาตัวดีของผมที่ไพทูรย์พูดต่อหน้าว่า “ผอมแห้งยังงี้ใครจะเอา..."
สรุปเช้านั้นแทบไม่เป็นอันทำงานเพราะไพฑูรย์เล่นตีสนิทคุยกับพนักงานทุกคน ถามเรื่องงานที่ทำ ชื่อแซ่ ประวัติต้นตระกูล ฯลฯ ผมอายก็อายแต่ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ลูกน้องก็ได้แต่ขำๆ กันเพราะนิสัยแบบไพฑูรย์ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ของคนทำงานในย่านสีลม-สาทรพอสมควร
ไพทูรย์ลากลับไปตอนเย็นวันนั้น พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาอีก ซึ่งผมคิดในใจว่าคงไม่พลาดแบบนี้อีกแล้วในชีวิต!
หนึ่งปีต่อมา ยังไม่ทันที่ไพฑูรย์จะแวะมาตามสัญญา กรุงเทพฯ ก็โดนน้ำท่วมใหญ่เสียก่อน ตอนนั้นผมกำลังลุ้นว่าน้องน้ำจะมาถึงบ้านเมื่อไร แล้วก็เป็นไพฑูรย์ที่โทรมา...
“เราเตรียมบ้านไว้ให้นายแล้ว พาลูกพาเมียมาอยู่ที่นี่ได้เลย” มิใยว่าผมจะบอกเขาว่าน้ำยังมาไม่ถึง ไพฑูรย์ก็ยืนยันว่าโดนน้ำท่วมแน่นอนและถามว่ามีรถขับออกมาได้ไหมเพราะรู้ว่าคนเมืองอย่างผมมีแต่รถเก๋ง เขาจึงอาสาจะขับกระบะของเขาลุยน้ำมารับถึงบ้านผม
ยังไม่อยากบอกว่าผมได้ไปใช้บริการที่บ้านไพฑูรย์หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ทุกวันนี้เรายังติดต่อถึงกันอยู่เสมอ
และยิ่งย้อนเวลากลับไป ผมก็ได้แต่เวทนาตัวเองที่ไปดูถูกดูแคลนเพื่อนคนนี้ โดยมองข้ามความจริงใจที่เขามีให้ตลอดเวลาที่คบกัน และแท้จริงแล้วเขาเองนั่นแหละที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขายังเป็นคนเดิมเสมอ มีแต่ผมเองที่เริ่มคบคนที่เปลือกนอก แคร์คนที่สถาบัน และใส่ใจบางคนเป็นพิเศษเพราะมีสถานภาพทางสังคมที่ดูสูงส่ง
ในขณะที่ไพฑูรย์ยังปฏิบัติกับเพื่อนทุกคนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ยิ่งคิดก็ยิ่งอายตัวเองเหลือเกิน จนผมหาโอกาสบอกเขาในวันหนึ่งว่า...
"โทษทีว่ะไพฑูรย์ เราดูนายผิดไป”
แล้วไพฑูรย์ก็ยิ้มซื่อๆ เหมือนที่ผมเคยเห็นเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายไม่ผิดเพี้ยน...