สวัสดีค่ะ... นี่เป็นครั้งแรกที่อุ๊บอิ๊บเข้ามาเขียนอะไรยาวๆในพันทิพ
ปกติอิ๊บจะเขียนเล่าเรื่องอะไรต่างๆใน Facebook ส่วนตัวเท่านั้น
แต่เรื่องที่อิ๊บกำลังจะเล่านี้ ... "เป็นความภูมิใจ" ที่ไม่สามารถเก็บไว้ชื่นชมคนเดียวได้
และถ้าหากมันจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน หันมาลองทำอะไรในสิ่งที่คิดว่า"ตัวเองทำไม่ได้" ได้เปลี่ยนความคิดนั้น
... อิ๊บว่าเรื่องเล่าที่อิ๊บจะเล่านี้ ก็คุ้มค่าที่อิ๊บจะแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันแล้วค่ะ ...
( ขออนุญาตเรียกตัวเองว่า "ออ" นะคะ เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ค่ะ ^^ )
...........................................
ย้อนกลับไป 1 ปีก่อน
ในครั้งแรกที่ ออ ได้ยินว่ามีการวิ่ง 100 กิโลด้วย
"มันมีจริงเหรอ มหัศจรรย์มาก!!! คนที่วิ่งแบบนี้ ต้องบ้า บ้า บ้ามากๆ"
" และชาตินี้ ออ คงไม่มีวันที่จะทำได้ "
แค่มาราธอน ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดไหม ... 42.195 Km ที่ใครพูดกันว่าโหดนักโหดหนา
ขาของ ออ จะสามารถก้าวไปถึงรึเปล่าก็ไม่รู้
...
ใครจะรู้ว่าจากวันนั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงปี
คนที่วิ่งมาราธอน 3 ครั้งภายใน 2 เดือน... คนที่วิ่งเล่นในสวนรถไฟ 50 Km... และคนที่วิ่งแตะ 100 Kmได้
"ก็คือ ไอ่ ออ คนนี้นี่แหละ"
...
การวิ่งทุกวันของ ออ ไม่ได้เกิดจากการบังคับตัวเอง
"วิ่ง" คือส่วนหนึ่งของชีวิต ออ ไปแล้ว
เหมือนที่จะต้องตื่นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ... เราทุกคนทำมันอย่างอัตโนมัติ
เช่นเดียวกัน ... ออ วิ่งทุกวัน โดยอัตโนมัติ
ไม่ได้คิดว่ามันเป็นกิจกรรมเสริม แต่คิดว่ามัน "คือส่วนหนึ่งของชีวิตในแต่ละวัน"
ออ วิ่งเกือบทุกวัน ถ้าไม่ติดธุระอะไร ... ออ จะพักเฉพาะวันเสาร์
เป็นวันที่ให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายบ้าง
และวันอาทิตย์ จะเป็นวันที่วิ่งยาว ( ยาวในที่นี้จะ 15 - 50km แล้วแต่ว่าเป้าหมายของงานแข่งครั้งต่อไปต้องวิ่งระยะทางเท่าไหร่ )
ทุกวันที่สม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายเราปรับตัว
เมื่อก่อน วิ่ง 2-4 Km ได้ ก็น้ำตาจะไหลแล้ว ... คนอะไรวิ่งเก๊งเก่ง 55555
แต่เดี๋ยวนี้ 2-4 Km ไม่ต้องพูดถึง มันคือระยะของการ Warm up เท่านั้น
ออ จะพูดเสมอว่า " ร่างกายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ "
เค้าสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันของผู้ที่อาศัยอยู่ข้างในได้
เค้าสามารถรับรู้ได้ว่า คนที่อยู่ในนี้ "รักและดูแล"เค้าได้ดีแค่ไหน
ถ้าหากเราดูแลแลถนอมเค้าเป็นอย่างดี ...
" ร่างกายจะให้พลังที่ยิ่งใหญ่ พลังมหัศจรรย์ เป็นรางวัลตอบแทนเราเอง "
เอาล่ะ ... ออ จะเข้าเรื่องความเป็นมาเป็นไป ที่ทำให้ ออ มุ่งมันกับเจ้า 112.5 Km จากอุทยานแหลมสน จ.ระนอง ถึง อ.หลังสวน จ.ชุมพรให้ฟังค่ะ
หลังจาก ออ วิ่งจบมาแล้ว 3 มาราธอน ภายใน 2 เดือน
คือ กรุงเทพมาราธอน ต่อด้วย เชียงใหม่มาราธอน และ จอมบึงมาราธอน
ออ ทำลายสถิติตัวเองทุกครั้งในทุกมาราธอนอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
และหลังจากวิ่งจบแต่ละมาราธอน สภาพร่างกาย ออ ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
กล้ามเนื้อปวดน้อยลง ใช้เวลา Recover เร็วขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ออ ว่า ออ ได้มาจากการที่ ออ เล่นเวทในยิมเป็นประจำ ซึ่งมันจะทำให้กล้ามเนื้อเราแข็งแรงไปอย่างที่เราไม่รู้ตัว
ผ่านมาธอนมาได้ ออ ก็คิดการณ์ใหญ่ ด้วยการตัดสินใจลงแข่งเดี่ยวระยะ 100 Km "The North Face 2014" ที่เขาใหญ่
( ออ เล่าประสบการณ์นี้ไว้ในอัลบั้ม The North Face ...
www.facebook.com/iamoopaib เข้าไปอ่านได้นะคะ )
ออ มั่นใจ ... แต่ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิด และเส้นทางที่ค่อนข้างโหดร้าย ทำให้ ออ ต้อง DNF ( Did not Finish ) ไปด้วยระยะทางที่ทำได้ คือ 72 Km ซึ่งเป็นการ DNF ครั้งแรกในชิวิตของ ออ
" ยอมรับในผลลัพท์ ... แต่ยังมีแผลเป็นที่ฝังใจอยู่ "
สักวัน ออ จะผ่าน 100 กิโลให้ได้!!!!
...
การวิ่งได้ 72 Km คราวนั้น ทำให้ ออ บอกกับตัวเองว่า ออ เป็นนักวิ่งอัลตร้าแล้ว
และ ออ ก็ได้ค้นพบตัวเองแล้วว่า ... ออ ไม่ใช่นักวิ่งลมกรด
ออ ไม่ใช่คนวิ่งเร็ว วิ่งติดถ้วยทุกๆงาน
" แต่ ออ คือคนที่วิ่งในความเร็วที่กำลังพอดี จะพิเศษตรงที่ ออ สามารถวิ่งได้นาน "
เมื่อรู้ว่าเรามีศักยภาพทางด้านไหน เราก็ทุ่มเทไปกับสิ่งที่เราทำได้ดีด้านนั้น
ออ เพิ่มระยะซ้อมวิ่ง จากก่อน วิ่ง 7-10 Km
ถ้ามีเวลา ออ จะให้ได้มากกว่า 10 Km เพื่อรักษา endurance ของร่างกายไว้
ออ จะไม่ได้ไปงานวิ่งทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนอีก
เพราะ 10 Km ตามงานวิ่ง ออ สามารถวิ่งได้เองที่สวนสาธารณะ
เพียงแต่ตามสวนสาธารณะ มันมีเสน่ห์เทียบเท่ากับงานวิ่งไม่ได้เท่านั้นเอง
ออ ซ้อมมาเรื่อยๆ มีเป้าหมายงานต่องานไป
จนถึงงานที่ ออ รอคอยงานหนึ่ง คืองานวิ่ง "อัลตร้า 10 ชม" ที่ชมรมสวนพฤกษ์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี งานนี้นักวิ่งส่วนใหญ่รู้จักกันดีค่ะ
ในการแข่งขันผ่านไป 10 ชม. ออ รักษาความเร็วและวิ่งเรื่อยๆไม่ได้หยุด
อาจจะมีหยุดเข้าห้องน้ำบ้าง 2 ครั้ง แวะเติมพลังเกลือแร่บ้างทุกๆ 5-10 Km
" ออ ทำสถิติใหม่ให้ตัวเองได้ 77 Km " วิ่งได้เป็น อันดับที่ 7 จากผู้หญิงทั้งหมด และเป็นอันดับที่ 47 จากนักวิ่งที่ลงสมัครกว่า 300 คน
ภูมิใจมากแล้วกับประสบการณ์ของการวิ่งเพียง 1 ปีกับอีกไม่กี่เดือนอย่างเรา
...
ความฮึกเหิม กลับมาที่หัวใจอีกครั้ง
ออ มองหางานใหม่ ซึ่งจะต้องท้าทาย ออ ให้มากกว่าเดิม
และออ ก็ค้นพบ...
" Ocean to Ocean 112.5 Km "
จากมหาสมุทรอินเดีย ข้ามไปมหาสมุทรแปซิฟิก
ความจริงรายการนี้ เป็นรายการแข่งวิ่งผลัดค่ะ งานแข่งที่จัดขึ้นให้คนวิ่งผลัดกันเป็นทีมไปจนถึงเส้นชัย
แต่ด้วยความบ้า และอยากท้าทายตัวเอง
ออ ตัดสินใจขอวิ่งเดี่ยว วิ่งคนเดียวด้วยระยะทาง 112.5 Kmนี้คนเดียวเลย
ใครเคยเดินทางจากระนองไปชุมพร คงจะพอทราบดีว่า ถนนเส้นนั้นไม่ธรรมดา
ออ แทบจะหาทางเรียบไม่ได้เลย
ตามทางมีแต่ป้าย ระวังทางคดเคี้ยว ลดความเร็ว ห้ามแซง ทางข้างหน้าลาดชัน ... แต่ละป้ายสร้างขวัญและกำลังใจดีมาก 55555
การแข่งขันเริ่มตอนบ่ายโมงของวันเสาร์ และวิ่งข้ามคืนไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์
ช่วงบ่ายตอนปล่อยตัว ออ ต้องวิ่งตากแดดร้อนๆของประเทศไทยนี่แหล่ะค่ะ
ดีที่ ออ ไม่กังวลเรื่องสีผิวเท่าไหร่แล้ว การการวิ่งมันเปลี่ยนทัศนคติ ออ เรื่องความงามกับสีผิวไปแล้ว
ออ จะหยุดทุก 5 Km ที่รถเซอร์วิส ... ออ มีรสเซอร์วิสเอง ซึ่งในรถจะมีน้ำ เกลือแร่ อาหาร ผลไม้ คอยซัพพอร์ท ออ อยู่
หยุดเติมพลังครั้งละ 5-10 นาที ก่อนวิ่งต่อ ส่วนรถเซอร์วิส ก็จะขับไปรอีก 5 Kmข้างหน้า
วิ่งจากบ่ายจนถึงเย็น ยังได้เรื่อยๆสบายๆ
พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ท้องฟ้าเริ่มมืด
ออ บอกตามตรง ออ ยังปรับตัวไม่ได้ในช่วงที่ฟ้ามืดแรกๆ ทุกอย่างน่ากลัวไปหมด
ไหนจะสุนัขข้างทาง ที่พุ่งกระโจนมาหาเป็นระยะๆ เห่าระงมกันตลอดทาง คงเป็นเพราะคงไม่มีใครจะวิ่งผ่านหน้าบ้านพวกมันยามวิกาลแบบนี้
ออ เปิดไฟฉายที่ศีรษะ ( Head Lamp) ส่งไปตามไหล่ทาง รถในตอนกลางคืนวิ่งค่อนข้างเร็ว ผ่านข้างตัว ออ หลายต่อคลายคัน
บ้างเป็นรถขนสะตอ บ้างเป็นรถบัส ชวนหวาดเสียวไม่น้อย
แต่พอยิ่งดึก รถก็จะน้อยลง อากาศกำลังดี บางทีก็ชื้นๆ สลับกับฝนที่ตก ทำให้ ออ ต้องวิ่งตากฝนไปอย่างนั้น เพราะเสื้อกันฝนที่เตรียมมาอยู่ในรถเซอร์วิส ซึ่ง ออ ยังวิ่งไปไม่ถึง
โชคดีที่คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ... แสงจันทร์สว่าง ท้องฟ้าเปิด ช่วงสร้างบรรยากาศการวิ่งให้ ออ ได้บ้าง
ใช่ว่าการวิ่งทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี
ทางที่วิ่งเป็นทางเอียง ถนนเอียง
ออ ต้องวิ่งบนทางเอียงที่เท้าของ ออ ไม่สามารถวางราบตรงๆได้ ซึ่งมันส่งผลต่อ"ข้อเท้า"ของ ออ เอง
ออ ปวดข้อเท้าตั้งแต่ กม.30 กว่าๆ
พอรู้ตัว ... ออ จะพ่นสเปรย์เย็นทุกครั้งที่ถึงรถเซอร์วิส ทานยาแก้ปวด และค่อยๆประคองตัวเองให้วิ่งไปเรื่อยๆ
ใกล้แตะกิโลที่ 100 ... ข้อเท้า ออ บวมอย่างเห็นได้ชัด
บวมเกินออกมาจากถุงเท้าที่สวมอยู่
แต่ ออ ยังวิ่งไหว ... ออ กัดฟันวิ่งต่อ
ผ่าน 100 Km มาได้อย่างมีความสุข ด้วยเวลาที่ ออ ภูมิใจ 16:20 ชม. พร้อมกับโค้ชของ ออ ที่วิ่งด้วยกันมาตลอดทาง
โค้ชดีใจที่ออ ทำสำเร็จ
หลังจากที่โค้ชพยายามทำให้ ออ ผ่าน The North Face 100 มาครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ ออ ทำสิ่งที่โค้ชปรารถนาได้แล้ว <3
ออ ให้รถเซอร์วิสไปรอที่เส้นชัยได้เลย เพราะเหลือเพียงอีก 12.5 Km เท่านั้น
แต่นั่นคือสิ่งที่ ออ คิดผิด
ใครจะรู้ว่าผ่าน 100 Km มาได้ไม่นาน
ข้อเท้า ของ ออ บวมขึ้นเยอะมาก และปวดมากจนไม่สามารถแม้กระทั่ง Jog ไปช้าๆได้
...แต่โชคดีที่ยังเดินไหว ...
ออ ประคองตัวเองกับข้อเท้าที่บวมเป่งไปตลอดระยะทางที่เหลือ
ใครจะเชื่อว่า 12.5 Km นั้น ออ ใช้เวลาเกือบ 3 ชม.
มันเป็นระยะทางของความทรมานที่สุด
ใช่ค่ะ ... มันทรมาน แต่ไม่มีทางที่ ออ จะยอมแพ้แน่ๆ
ออ ผ่านมาได้แล้ว 100 กว่ากิโล เรื่องอะไรจะมายอมเอาตอนสิบกิโลสุดท้าย!!!!
ใจเย็นๆ ค่อยๆไป ยังไงก็ถึง
ความสำเร็จรอคอย ออ อยู่ไม่ไกลแล้ว
Never Give Up ยังคงใช้ได้ดีเสมอสำหรับหัวใจของนักกีฬา
วินาทีที่เห็นซุ้ม Finisher ความเจ็บปวดของข้อเท้าหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
ออ วิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และหัวใจที่บอกไม่ได้เลยว่ามันที่สุดแล้วแค่ไหน
ที่ดีใจกว่านั้นคือ ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนวิ่งเส้นทางนี้จนจบได้สำเร็จ
ออ เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียว
ภูมิใจจังเลยค่ะ
112.5 Km ที่2ขา กับ 1 หัวใจฝ่าฟันมา
มันคุ้มค่ามากกับการเอาชีวิตออกจากพื้นที่ปลอดภัย
เพื่อมาสัมผัสโลกอีกด้าน
โลกของความเสี่ยง
โลกของความมุ่งมั่น
และเอาชนะสิ่งที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ " ชั้นคงไม่มีวันทำมันได้ "
..............................
ไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ ...
ลองพยามดูค่ะ ใช้ชีวิตให้คุ้ม โอกาสที่จะทำมันไม่ได้มีทั้งชีวิตนะคะ ....
=======================================================
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนะ ^^
ติดตามเรื่องราวก่อนๆที่ อิ๊บเคยแชร์ไว้ได้ที่
www.facebook.com/iamoopaibได้นะคะ
ส่วนมากจะเป็นเรื่องวิ่ง เรื่องการออกกำลังกาย และเรื่องสุขภาพทั่วไป
แวะไปให้กำลังใจกันได้ค่ะ
ฉันเป็นผู้หญิงที่วิ่ง 112.5 Km
ปกติอิ๊บจะเขียนเล่าเรื่องอะไรต่างๆใน Facebook ส่วนตัวเท่านั้น
แต่เรื่องที่อิ๊บกำลังจะเล่านี้ ... "เป็นความภูมิใจ" ที่ไม่สามารถเก็บไว้ชื่นชมคนเดียวได้
และถ้าหากมันจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน หันมาลองทำอะไรในสิ่งที่คิดว่า"ตัวเองทำไม่ได้" ได้เปลี่ยนความคิดนั้น
... อิ๊บว่าเรื่องเล่าที่อิ๊บจะเล่านี้ ก็คุ้มค่าที่อิ๊บจะแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันแล้วค่ะ ...
( ขออนุญาตเรียกตัวเองว่า "ออ" นะคะ เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ค่ะ ^^ )
...........................................
ย้อนกลับไป 1 ปีก่อน
ในครั้งแรกที่ ออ ได้ยินว่ามีการวิ่ง 100 กิโลด้วย
"มันมีจริงเหรอ มหัศจรรย์มาก!!! คนที่วิ่งแบบนี้ ต้องบ้า บ้า บ้ามากๆ"
" และชาตินี้ ออ คงไม่มีวันที่จะทำได้ "
แค่มาราธอน ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดไหม ... 42.195 Km ที่ใครพูดกันว่าโหดนักโหดหนา
ขาของ ออ จะสามารถก้าวไปถึงรึเปล่าก็ไม่รู้
...
ใครจะรู้ว่าจากวันนั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงปี
คนที่วิ่งมาราธอน 3 ครั้งภายใน 2 เดือน... คนที่วิ่งเล่นในสวนรถไฟ 50 Km... และคนที่วิ่งแตะ 100 Kmได้
"ก็คือ ไอ่ ออ คนนี้นี่แหละ"
...
การวิ่งทุกวันของ ออ ไม่ได้เกิดจากการบังคับตัวเอง
"วิ่ง" คือส่วนหนึ่งของชีวิต ออ ไปแล้ว
เหมือนที่จะต้องตื่นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ... เราทุกคนทำมันอย่างอัตโนมัติ
เช่นเดียวกัน ... ออ วิ่งทุกวัน โดยอัตโนมัติ
ไม่ได้คิดว่ามันเป็นกิจกรรมเสริม แต่คิดว่ามัน "คือส่วนหนึ่งของชีวิตในแต่ละวัน"
ออ วิ่งเกือบทุกวัน ถ้าไม่ติดธุระอะไร ... ออ จะพักเฉพาะวันเสาร์
เป็นวันที่ให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายบ้าง
และวันอาทิตย์ จะเป็นวันที่วิ่งยาว ( ยาวในที่นี้จะ 15 - 50km แล้วแต่ว่าเป้าหมายของงานแข่งครั้งต่อไปต้องวิ่งระยะทางเท่าไหร่ )
ทุกวันที่สม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายเราปรับตัว
เมื่อก่อน วิ่ง 2-4 Km ได้ ก็น้ำตาจะไหลแล้ว ... คนอะไรวิ่งเก๊งเก่ง 55555
แต่เดี๋ยวนี้ 2-4 Km ไม่ต้องพูดถึง มันคือระยะของการ Warm up เท่านั้น
ออ จะพูดเสมอว่า " ร่างกายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ "
เค้าสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันของผู้ที่อาศัยอยู่ข้างในได้
เค้าสามารถรับรู้ได้ว่า คนที่อยู่ในนี้ "รักและดูแล"เค้าได้ดีแค่ไหน
ถ้าหากเราดูแลแลถนอมเค้าเป็นอย่างดี ...
" ร่างกายจะให้พลังที่ยิ่งใหญ่ พลังมหัศจรรย์ เป็นรางวัลตอบแทนเราเอง "
เอาล่ะ ... ออ จะเข้าเรื่องความเป็นมาเป็นไป ที่ทำให้ ออ มุ่งมันกับเจ้า 112.5 Km จากอุทยานแหลมสน จ.ระนอง ถึง อ.หลังสวน จ.ชุมพรให้ฟังค่ะ
หลังจาก ออ วิ่งจบมาแล้ว 3 มาราธอน ภายใน 2 เดือน
คือ กรุงเทพมาราธอน ต่อด้วย เชียงใหม่มาราธอน และ จอมบึงมาราธอน
ออ ทำลายสถิติตัวเองทุกครั้งในทุกมาราธอนอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
และหลังจากวิ่งจบแต่ละมาราธอน สภาพร่างกาย ออ ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
กล้ามเนื้อปวดน้อยลง ใช้เวลา Recover เร็วขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ออ ว่า ออ ได้มาจากการที่ ออ เล่นเวทในยิมเป็นประจำ ซึ่งมันจะทำให้กล้ามเนื้อเราแข็งแรงไปอย่างที่เราไม่รู้ตัว
ผ่านมาธอนมาได้ ออ ก็คิดการณ์ใหญ่ ด้วยการตัดสินใจลงแข่งเดี่ยวระยะ 100 Km "The North Face 2014" ที่เขาใหญ่
( ออ เล่าประสบการณ์นี้ไว้ในอัลบั้ม The North Face ... www.facebook.com/iamoopaib เข้าไปอ่านได้นะคะ )
ออ มั่นใจ ... แต่ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิด และเส้นทางที่ค่อนข้างโหดร้าย ทำให้ ออ ต้อง DNF ( Did not Finish ) ไปด้วยระยะทางที่ทำได้ คือ 72 Km ซึ่งเป็นการ DNF ครั้งแรกในชิวิตของ ออ
" ยอมรับในผลลัพท์ ... แต่ยังมีแผลเป็นที่ฝังใจอยู่ "
สักวัน ออ จะผ่าน 100 กิโลให้ได้!!!!
...
การวิ่งได้ 72 Km คราวนั้น ทำให้ ออ บอกกับตัวเองว่า ออ เป็นนักวิ่งอัลตร้าแล้ว
และ ออ ก็ได้ค้นพบตัวเองแล้วว่า ... ออ ไม่ใช่นักวิ่งลมกรด
ออ ไม่ใช่คนวิ่งเร็ว วิ่งติดถ้วยทุกๆงาน
" แต่ ออ คือคนที่วิ่งในความเร็วที่กำลังพอดี จะพิเศษตรงที่ ออ สามารถวิ่งได้นาน "
เมื่อรู้ว่าเรามีศักยภาพทางด้านไหน เราก็ทุ่มเทไปกับสิ่งที่เราทำได้ดีด้านนั้น
ออ เพิ่มระยะซ้อมวิ่ง จากก่อน วิ่ง 7-10 Km
ถ้ามีเวลา ออ จะให้ได้มากกว่า 10 Km เพื่อรักษา endurance ของร่างกายไว้
ออ จะไม่ได้ไปงานวิ่งทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนอีก
เพราะ 10 Km ตามงานวิ่ง ออ สามารถวิ่งได้เองที่สวนสาธารณะ
เพียงแต่ตามสวนสาธารณะ มันมีเสน่ห์เทียบเท่ากับงานวิ่งไม่ได้เท่านั้นเอง
ออ ซ้อมมาเรื่อยๆ มีเป้าหมายงานต่องานไป
จนถึงงานที่ ออ รอคอยงานหนึ่ง คืองานวิ่ง "อัลตร้า 10 ชม" ที่ชมรมสวนพฤกษ์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี งานนี้นักวิ่งส่วนใหญ่รู้จักกันดีค่ะ
ในการแข่งขันผ่านไป 10 ชม. ออ รักษาความเร็วและวิ่งเรื่อยๆไม่ได้หยุด
อาจจะมีหยุดเข้าห้องน้ำบ้าง 2 ครั้ง แวะเติมพลังเกลือแร่บ้างทุกๆ 5-10 Km
" ออ ทำสถิติใหม่ให้ตัวเองได้ 77 Km " วิ่งได้เป็น อันดับที่ 7 จากผู้หญิงทั้งหมด และเป็นอันดับที่ 47 จากนักวิ่งที่ลงสมัครกว่า 300 คน
ภูมิใจมากแล้วกับประสบการณ์ของการวิ่งเพียง 1 ปีกับอีกไม่กี่เดือนอย่างเรา
...
ความฮึกเหิม กลับมาที่หัวใจอีกครั้ง
ออ มองหางานใหม่ ซึ่งจะต้องท้าทาย ออ ให้มากกว่าเดิม
และออ ก็ค้นพบ...
" Ocean to Ocean 112.5 Km "
จากมหาสมุทรอินเดีย ข้ามไปมหาสมุทรแปซิฟิก
ความจริงรายการนี้ เป็นรายการแข่งวิ่งผลัดค่ะ งานแข่งที่จัดขึ้นให้คนวิ่งผลัดกันเป็นทีมไปจนถึงเส้นชัย
แต่ด้วยความบ้า และอยากท้าทายตัวเอง
ออ ตัดสินใจขอวิ่งเดี่ยว วิ่งคนเดียวด้วยระยะทาง 112.5 Kmนี้คนเดียวเลย
ใครเคยเดินทางจากระนองไปชุมพร คงจะพอทราบดีว่า ถนนเส้นนั้นไม่ธรรมดา
ออ แทบจะหาทางเรียบไม่ได้เลย
ตามทางมีแต่ป้าย ระวังทางคดเคี้ยว ลดความเร็ว ห้ามแซง ทางข้างหน้าลาดชัน ... แต่ละป้ายสร้างขวัญและกำลังใจดีมาก 55555
การแข่งขันเริ่มตอนบ่ายโมงของวันเสาร์ และวิ่งข้ามคืนไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์
ช่วงบ่ายตอนปล่อยตัว ออ ต้องวิ่งตากแดดร้อนๆของประเทศไทยนี่แหล่ะค่ะ
ดีที่ ออ ไม่กังวลเรื่องสีผิวเท่าไหร่แล้ว การการวิ่งมันเปลี่ยนทัศนคติ ออ เรื่องความงามกับสีผิวไปแล้ว
ออ จะหยุดทุก 5 Km ที่รถเซอร์วิส ... ออ มีรสเซอร์วิสเอง ซึ่งในรถจะมีน้ำ เกลือแร่ อาหาร ผลไม้ คอยซัพพอร์ท ออ อยู่
หยุดเติมพลังครั้งละ 5-10 นาที ก่อนวิ่งต่อ ส่วนรถเซอร์วิส ก็จะขับไปรอีก 5 Kmข้างหน้า
วิ่งจากบ่ายจนถึงเย็น ยังได้เรื่อยๆสบายๆ
พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ท้องฟ้าเริ่มมืด
ออ บอกตามตรง ออ ยังปรับตัวไม่ได้ในช่วงที่ฟ้ามืดแรกๆ ทุกอย่างน่ากลัวไปหมด
ไหนจะสุนัขข้างทาง ที่พุ่งกระโจนมาหาเป็นระยะๆ เห่าระงมกันตลอดทาง คงเป็นเพราะคงไม่มีใครจะวิ่งผ่านหน้าบ้านพวกมันยามวิกาลแบบนี้
ออ เปิดไฟฉายที่ศีรษะ ( Head Lamp) ส่งไปตามไหล่ทาง รถในตอนกลางคืนวิ่งค่อนข้างเร็ว ผ่านข้างตัว ออ หลายต่อคลายคัน
บ้างเป็นรถขนสะตอ บ้างเป็นรถบัส ชวนหวาดเสียวไม่น้อย
แต่พอยิ่งดึก รถก็จะน้อยลง อากาศกำลังดี บางทีก็ชื้นๆ สลับกับฝนที่ตก ทำให้ ออ ต้องวิ่งตากฝนไปอย่างนั้น เพราะเสื้อกันฝนที่เตรียมมาอยู่ในรถเซอร์วิส ซึ่ง ออ ยังวิ่งไปไม่ถึง
โชคดีที่คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ... แสงจันทร์สว่าง ท้องฟ้าเปิด ช่วงสร้างบรรยากาศการวิ่งให้ ออ ได้บ้าง
ใช่ว่าการวิ่งทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี
ทางที่วิ่งเป็นทางเอียง ถนนเอียง
ออ ต้องวิ่งบนทางเอียงที่เท้าของ ออ ไม่สามารถวางราบตรงๆได้ ซึ่งมันส่งผลต่อ"ข้อเท้า"ของ ออ เอง
ออ ปวดข้อเท้าตั้งแต่ กม.30 กว่าๆ
พอรู้ตัว ... ออ จะพ่นสเปรย์เย็นทุกครั้งที่ถึงรถเซอร์วิส ทานยาแก้ปวด และค่อยๆประคองตัวเองให้วิ่งไปเรื่อยๆ
ใกล้แตะกิโลที่ 100 ... ข้อเท้า ออ บวมอย่างเห็นได้ชัด
บวมเกินออกมาจากถุงเท้าที่สวมอยู่
แต่ ออ ยังวิ่งไหว ... ออ กัดฟันวิ่งต่อ
ผ่าน 100 Km มาได้อย่างมีความสุข ด้วยเวลาที่ ออ ภูมิใจ 16:20 ชม. พร้อมกับโค้ชของ ออ ที่วิ่งด้วยกันมาตลอดทาง
โค้ชดีใจที่ออ ทำสำเร็จ
หลังจากที่โค้ชพยายามทำให้ ออ ผ่าน The North Face 100 มาครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ ออ ทำสิ่งที่โค้ชปรารถนาได้แล้ว <3
ออ ให้รถเซอร์วิสไปรอที่เส้นชัยได้เลย เพราะเหลือเพียงอีก 12.5 Km เท่านั้น
แต่นั่นคือสิ่งที่ ออ คิดผิด
ใครจะรู้ว่าผ่าน 100 Km มาได้ไม่นาน
ข้อเท้า ของ ออ บวมขึ้นเยอะมาก และปวดมากจนไม่สามารถแม้กระทั่ง Jog ไปช้าๆได้
...แต่โชคดีที่ยังเดินไหว ...
ออ ประคองตัวเองกับข้อเท้าที่บวมเป่งไปตลอดระยะทางที่เหลือ
ใครจะเชื่อว่า 12.5 Km นั้น ออ ใช้เวลาเกือบ 3 ชม.
มันเป็นระยะทางของความทรมานที่สุด
ใช่ค่ะ ... มันทรมาน แต่ไม่มีทางที่ ออ จะยอมแพ้แน่ๆ
ออ ผ่านมาได้แล้ว 100 กว่ากิโล เรื่องอะไรจะมายอมเอาตอนสิบกิโลสุดท้าย!!!!
ใจเย็นๆ ค่อยๆไป ยังไงก็ถึง
ความสำเร็จรอคอย ออ อยู่ไม่ไกลแล้ว
Never Give Up ยังคงใช้ได้ดีเสมอสำหรับหัวใจของนักกีฬา
วินาทีที่เห็นซุ้ม Finisher ความเจ็บปวดของข้อเท้าหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
ออ วิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และหัวใจที่บอกไม่ได้เลยว่ามันที่สุดแล้วแค่ไหน
ที่ดีใจกว่านั้นคือ ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนวิ่งเส้นทางนี้จนจบได้สำเร็จ
ออ เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียว
ภูมิใจจังเลยค่ะ
112.5 Km ที่2ขา กับ 1 หัวใจฝ่าฟันมา
มันคุ้มค่ามากกับการเอาชีวิตออกจากพื้นที่ปลอดภัย
เพื่อมาสัมผัสโลกอีกด้าน
โลกของความเสี่ยง
โลกของความมุ่งมั่น
และเอาชนะสิ่งที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ " ชั้นคงไม่มีวันทำมันได้ "
..............................
ไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ ...
ลองพยามดูค่ะ ใช้ชีวิตให้คุ้ม โอกาสที่จะทำมันไม่ได้มีทั้งชีวิตนะคะ ....
=======================================================
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนะ ^^
ติดตามเรื่องราวก่อนๆที่ อิ๊บเคยแชร์ไว้ได้ที่ www.facebook.com/iamoopaibได้นะคะ
ส่วนมากจะเป็นเรื่องวิ่ง เรื่องการออกกำลังกาย และเรื่องสุขภาพทั่วไป
แวะไปให้กำลังใจกันได้ค่ะ